ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

diet-eating-blood-type.jpg

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือดถือเป็นเทรนด์สุดฮิต ที่มาจากแนวคิดว่าร่างกายของทุกคนล้วนแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น การกินอาหารที่เหมาะสมกับยีนในร่างกายเรา โดยแบ่งเป็นสี่ประเภทใหญ่ ๆ ตามกรุ๊ปเลือดนั้น อาจจะทำให้ร่างกายของเราจะเผาผลาญได้ดีขึ้น  ซึ่งจะทำให้มีผลต่อน้ำหนัก การควบคุมอาหาร และเรื่องของสุขภาพที่ตามมา แต่คุณอาจเกิดคำถามที่ว่า แล้วการรับรอง ? ผลวิจัย ? ความเป็นจริงเบื้องหลังทฤษฎียอดนิยมนี้ล่ะ เป็นอย่างไร ? มาไขข้อข้องใจกันดีกว่า…

 

อะไรคือ กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด ‘Blood Type Diet’ ?

จากแนวคิดของ Peter D’Adamo ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด และนักวิจัยการแพทย์ทางเลือก ซึ่งได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยม จากสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 1990 เขาได้เผยแพร่เทรนด์การกินอาหารที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเลือดทั้งสี่ คือ A, B, O และ AB เป็นหลัก โดยได้ให้คำแนะนำด้านโภชนาการเพื่อพัฒนาสุขภาพที่วิเคราะห์จากแนวโน้ม และผลการวิจัย ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป A มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และโรคเบาหวานมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าแผนอาหารประเภท A คือ กลุ่มอาหารที่สามารถเติมพลังระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น โดยแบ่งเป็นชุดอาหาร ดังนี้

  • สำหรับเลือดกรุ๊ปเอ (A): อาหารมังสวิรัติ คงรูปแบบจากธรรมชาติ สด และไม่ผ่านการแปรรูป อาหารออร์แกนิค
  • สำหรับเลือดกรุ๊ปบี  (B): ควรหลีกเลี่ยงไก่ ข้าวโพด ข้าวสาลี เค้ก ถั่ว มะเขือเทศ ถั่วลิสง และเมล็ดงา และรับประทานผักใบเขียว ไข่ นมไขมันต่ำ และเนื้อสัตว์ จำพวกเนื้อแกะ หรือเนื้อกวาง
  • สำหรับเลือดกรุ๊ปโอ (O): ควรกินเนื้อไม่ติดมัน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ แต่ตัดธัญพืช ถั่ว และนมออกไปจากลิสต์อาหาร
  • สำหรับเลือดกรุ๊ปเอบี (AB): หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์และเนื้อสัตว์ที่ผ่านการรมควัน มุ่งเน้นไปที่อาหารประเภทเต้าหู้ อาหารทะเล นม และผักสีเขียว

 

การกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด ‘Blood Type Diet’ ได้ผลจริงหรือไม่ ?

จากความเห็นของ Kris Sollid, RD, ผู้อำนวยการอาวุโส การสื่อสารด้านโภชนาการจาก The International Food Information Council Foundation ได้กล่าวถึงแนวคิดด้านความรู้สุขภาพของการ “กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด” ว่ามีความน่าสนใจ แต่ร่างกายของมนุษย์ซับซ้อนกว่านั้นมาก การจะแบ่งเพียงแค่ 4 ประเภท แล้วยึดหลักการนั้นสำหรับทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบางครั้งอาจจะมีข้อยกเว้น หรือความจำเป็นเฉพาะตัวของแต่ละคน ซึ่งบางส่วนก็ยังเป็นผลดีเมื่อผู้คนทำตาม อย่างน้อยก็เป็น กลุ่มอาหารที่มีประโยชน์ และเป็นการช่วยให้หลายคนรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีการวางแผนจำกัดการกิน ที่ปราศจากอาหารขยะอาหารแปรรูปและน้ำตาล แต่เมื่อพิจารณาดูงานวิจัยอย่างละเอียด การสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์สำหรับ Blood Type Diet ยังคงไม่พอเพียง และไม่มีสิ่งที่ชี้ชัดให้เห็นว่าการกินที่แตกต่างกันจะสามารถช่วยในการเผาผลาญ ทำให้ผู้ที่ทำตามแนวคิดนี้อย่างเคร่งครัด อาจกลายเป็นผลเสียในด้านความครบถ้วนสมบูรณ์ของสารอาหารที่ร่างกายจะได้รับ

 

ควรรับประทานอาหารอย่างไรให้เหมาะสม ?

ลองวิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลสำหรับทุกคน อย่างการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มีโปรตีนสูง ที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยเผาผลาญได้ดี ทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักผลไม้ จะช่วยป้องกันการเพิ่มของน้ำหนัก และไขมันสะสม รวมถึงการเลือกรับประทานไขมันดีในอาหารจำพวกถั่ว และน้ำมันมะกอก เป็นต้น

ที่สำคัญ…อย่าลืมลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังทำให้รู้สึกหิวง่าย และควรหลีกเลี่ยงน้ำตาล ไม่ว่าจะในรูปแบบอาหาร หรือน้ำ พวกโซเดียม เป็นต้น นอกจากการกินที่ดีแล้ว การออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างถูกสุขลักษณะ ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้คุณสุขภาพดีและน้ำหนักลดได้อีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.prevention.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


-และมีอันตรายหรือไม่.jpg

การอบสมุนไพร เป็นการนำสมุนไพรหลาย ๆ ชนิดมารวมกัน ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย และสมุนไพรรักษาตามอาการ นำมาต้มจนเดือด เพื่อให้ไอน้ำน้ำมันหอมระเหย และสารระเหยต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ในสมุนไพร จะออกมาสัมผัสถูกผิวหนังทำให้มีผลเฉพาะที่ และเมื่อสูดดมเข้าไปกับลมหายใจ จะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ

 

ประโยชน์ของการอบสมุนไพรมีดังนี้

  1. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น คลายความตึงเครียด
  2. ช่วยชำระล้าง และขับของเสียออกจากร่างกาย
  3. ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น บรรเทาอาการปวดเมื่อย
  4. ช่วยทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น ช่วยบำรุงผิวพรรณ บรรเทาอาการคัน รักษาผดผื่น
  5. บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ โรคผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรงและไม่ติดเชื้อ อาการปวดบวม เหน็บชา ลมพิษ โรคหืด ยอก โรคเกาต์ และอัมพฤกษ์ เป็นต้น
  6. ช่วยทำให้น้ำหนักร่างกายลดลงได้ชั่วคราว
  7. บรรเทาอาการปวดประจำเดือนที่ไม่มีไข้ร่วม และหญิงหลังคลอดบุตร ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น
  8. เป็นการส่งเสริมสุขภาพ อาจใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

 

อันตรายจากการอบสมุนไพร อาจพบปัญหาต่าง ๆ ดังนี้

  1. การอบสมุนไพรในห้องที่ทึบและแคบ จะส่งผลให้ร่างกายเกิดการขาดออกซิเจนในการหายใจ ซึ่งจะมีอันตรายต่อสุขภาพถึงขั้นเสียชีวิตได้
  2. ระยะเวลาการอบสมุนไพร ถ้านานเกินไปอาจส่งผลให้ร่างกายเกิดการช็อกได้ เนื่องจากร่างกายสูญเสียเหงื่อและน้ำในปริมาณสูง
  3. การติดเชื้อโรค เมื่ออบสมุนไพรร่วมกับผู้ป่วยโรคติดต่อร้ายแรง เช่น วัณโรค

 

เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายจากการอบสมุนไพร

ผู้มีปัญหาดังต่อไปนี้จึงไม่ควรอบสมุนไพร

  1. มีไข้สูง (มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) เพราะร่างกายอ่อนแอ ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย
  2. โรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด
  3. โรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต หัวใจ หอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายในระยะรุนแรง หรือรายที่มีความดันโลหิตสูง
  4. สตรีมีประจำเดือน ร่วมกับมีอาการไข้และปวดศีรษะร่วมด้วย
  5. มีการอักเสบจากบาดแผลต่าง ๆ
  6. อ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานใหม่ ๆ
  7. มีอาการปวดศีรษะชนิดเวียนศีรษะ คลื่นไส้

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


-Almond-ธัญพืชวิเศษ…เพื่อสุขภาพที่ดี.jpg

อัลมอนด์ เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์กุหลาบ (ROSACEAE) โดยเป็นพืชพื้นเมืองในตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ลำต้นสูงประมาณ 4 – 10 เมตร ใบเป็นขอบหยัก ดอกมี 5 กลีบ สีขาวหรือชมพูอ่อน ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล มีเปลือกแข็งหุ้มเมล็ด นิยมทานเมล็ดอัลมอนด์ โดยมีขายทั้งแบบพร้อมเปลือกและแบบไม่มีเปลือก

 

อัลมอนด์มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จากข้อมูลของ USDA Nutrient Database ระบุว่าอัลมอนด์อุดมไปด้วยพลังงาน ไฟเบอร์ โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นมากมาย เช่น วิตามินบี โพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี ในการรับประทานอัลมอนด์ 30 กรัม หรือประมาณ 24 เมล็ด ให้พลังงานทั้งหมด 160 แคลอรี่ โดยมีกรดไขมันอิ่มตัว 1 กรัม กรดไขมันไม่อิ่มตัว 13 กรัม และโปรตีน 6 กรัม ปัจจุบันอัลมอนด์ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน

 

ประโยชน์ดี ๆ ของอัลมอนด์

  • ช่วยลดน้ำหนัก จากการที่อัลมอนด์มีไขมันชนิดดี (HDL) ปริมาณมาก สามารถช่วยลดไขมันชนิดเลว (LDL) ลดคอเลสเตอรอลในเลือด โดยงานวิจัยจากสถาบันชั้นนำในอเมริกาและยุโรปพบว่า การรับประทานวันละ 1 หยิบมือจะช่วยลดระดับไขมันเลวได้ 4.4% ขณะที่การรับประทานวันละ 2 หยิบมือก็จะช่วยลดระดับไขมันเลวได้ 9.4% นอกจากนี้การมีโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น การมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โปรตีนสูง ใยอาหารสูง ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนาน ใครที่ต้องการลดน้ำหนัก เบิร์นไขมัน ลีนหุ่น การทานอัลมอนด์ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นทางเลือกที่ดี
  • ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ในอัลมอนด์ มีไขมันชนิดดี (HDL) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และมีวิตามินอี แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีอาร์จินีน แมกนีเซียม ทองแดง แมงกานีส แคลเซียมและโพแทสเซียม ช่วยให้ออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ไหลเวียนในเลือดได้ดี ทำให้การรับประทานอัลมอนด์มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การรับประทานอัลมอนด์ มีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล โดยจะชะลออัตราการปล่อยน้ำตาลกลูโคสออกสู่กระแสเลือดไม่ให้เร็วจนเกินไป จึงไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย
  • บำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม ไรโบฟลาวินและแอลคานิทีน มีส่วนช่วยบำรุงการทำงานของระบบประสาทและสมอง นอกจากนี้เหล็ก ทองแดง และวิตามิน ในอัลมอนด์ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สมองไม่ขาดออกซิเจน
  • บำรุงผิวและลดริ้วรอย อัลมอนด์มีวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี และลดการเกิดริ้วรอยได้ น้ำมันอัลมอนด์มีความอ่อนโยนและระคายเคืองน้อยมาก จึงสามารถใช้กับผิวทารกได้

นอกจากนี้แล้ว การทานอัลมอนด์พบว่ายังมีประโยชน์ในเรื่องการบำรุงสายตา กระตุ้นแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย บำรุงกระดูกและฟัน ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการอ่อนเพลียได้เร็ว

 

กินอัลมอนด์อย่างไร ให้เกิดประโยชน์

  • ควรรับประทานอัลมอนด์วันละประมาณ 1 กำมือ หรือ 24 เมล็ด โดยไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพื่อให้ได้รับพลังงาน ไขมันดี (HDL) เส้นใยอาหาร โปรตีนและวิตามินในปริมาณที่เหมาะสมและส่งผลดีต่อสุขภาพ
  • จัดอัลมอนด์เป็นอาหารว่าง แทนอาหารว่าง ของกินเล่นทั่วไปที่มีไขมัน น้ำตาลปริมาณสูง เช่น ขนมเค้ก มันฝรั่งทอดกรอบ อื่น ๆ โดยคุมปริมาณให้อยู่ในข้อก่อนหน้า ทั้งนี้อัลมอนด์มีจำนวนแคลอรี่และไขมันสูง หากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้เสี่ยงเกิดคอเลสเตอรอลสูงได้เช่นกัน
  • เลือกรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหรือทำจากอัลมอนด์ เช่น นมอัลมอนด์ โยเกิร์ตผสมอัลมอนด์ หรือการนำอัลมอนด์ผสมลงในอาหารมื้อหลัก เพื่อเพิ่มคุณค่าทางสารอาหาร

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com
ข้อมูลจาก : www.honestdocs.co   www.pobpad.com   www.medthai.com

 

 

 


-เมื่อต้องเดินทาง.jpg

อาหาร และการกินสำหรับผู้ดูแลสุขภาพหรืออยู่ระหว่างการลดน้ำหนัก หากต้องเดินทาง ซึ่งมีทั้งในและต่างประเทศ โดยรูปแบบการกินไม่สามารถกำหนดเป็นแบบที่กินอยู่ประจำได้ มาดูแนวทางเบื้องต้นบ้างว่า ควรทำอย่างไร

 

การเลือก ” อาหาร หรือ การกิน ” สามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

 

  1. เลือกอาหาร และของว่างที่ดีต่อสุขภาพไว้ก่อน เลือกอาหารแบบที่คุณทานตามปกติเมื่ออยู่บ้าน เช่น ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ไร้ไขมัน ซึ่งปลอดภัยและดีกว่าของว่างกรุบกรอบ หากไม่มั่นใจในความสะอาดของผลไม้ ใช้น้ำขวดที่พกไปด้วยล้างผักผลไม้ให้สะอาดอีกรอบ หรือปอกเปลือกผลไม้เลยก็ได้
  2. เตรียมขนมและของว่างจากบ้านไปเอง บางสายการบินอนุญาตให้เอาของว่างขึ้นเครื่องได้ อย่าลืมตรวจสอบกับสายการบินด้วยว่ามีข้อห้ามอะไรหรือไม่เรื่องการนำอาหารไปเอง เมื่อไปพักโรงแรม คุณอาจไปสำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาดใกล้ ๆ เพื่อซื้ออาหารสดและกล่องอาหารเล็ก ๆ แล้วเตรียมอาหารง่าย ๆ แช่ตู้เย็นไว้รับประทานเอง
  3. หากจำเป็นต้องสั่งอาหาร ขอดูเมนูภาษาอังกฤษเสมอ อย่าสั่งอาหารที่คุณไม่รู้จักหรือแค่อยากลองของแปลก หากอยู่ในประเทศที่พูดคนละภาษา พยายามจดจำคำศัพท์ง่าย ๆ พื้นฐานไว้ เช่นไข่ ผัก น้ำสะอาด นม เนื้อไก่ ขนมปัง เผื่อในกรณีที่ไม่มีคนรอบข้างพูดอังกฤษได้เลย คุณจะยังสั่งอาหารได้อย่างปลอดภัย
  4. ในสถานที่ซึ่งผลไม้ดูแล้วไม่มั่นใจเรื่องความสะอาด ให้เลือกผลไม้ที่มีเปลือกหนาเอาไว้ก่อน เช่น กล้วย ส้ม และถ้าอยากสั่งผัก เลือกผักลวกหรือต้มปลอดภัยกว่าผักสด
  5. หากสั่งอาหารที่ต้องปรุงสุก ดูให้แน่ใจว่าปรุงสุกทั่วถึงดีแล้ว ไม่จำเป็นอย่าสั่งอาหารดิบ เลือกรับประทานแต่อาหารที่ปรุงร้อนควันกรุ่น ๆ เท่านั้น
  6. ดื่มน้ำบรรจุขวดที่ดูน่าเชื่อถือ สังเกตความใสของน้ำทุกครั้ง อย่าดื่มน้ำจากก๊อก เพราะบางประเทศมีปัญหาเกี่ยวกับความสะอาดของน้ำ และน้ำแข็งก็อาจทำจากน้ำก๊อกก็ได้ เพื่อความปลอดภัยพยายามใช้น้ำบรรจุขวดเท่านั้นเพื่อแปรงฟัน
  7. เลือกร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเอาไว้ก่อน หลีกเลี่ยงร้านเล็ก ๆ ตามตรอกซอยซึ่งอาจไม่สะอาดนัก และหลีกเลี่ยงอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารดิบ
  8. ถ้าไม่มั่นใจ อย่าดื่มนม เพราะมาตรฐานความสะอาดในการผลิตนมของแต่ละประเทศต่างกัน
  9. เลือกผลไม้เปลือกหนาที่ต้องปอกเปลือกเสมอ และพยายามปอกเองด้วยหากทำได้

 

นอกจากทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว พยายามอย่ากินอาหารแบบเดิมซ้ำ ๆ และสำรวจตัวเองว่ามีอาการผิดปกติหลังจากกินอาหารอะไรบ้าง เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง เพื่อครั้งต่อไปจะได้หลีกเลี่ยง หากทำได้เช่นนี้ คุณจะปลอดภัยจากเชื้อโรค ห่างไกลอาการไม่พึงประสงค์ เช่น การแพ้อาหาร อาหารไม่ย่อย และยังคงบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้ แม้เมื่ออยู่ไกลบ้าน

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.everydayhealth.com
ภาพประกอบ : www.unsplash.com


-Atkins-Diet-ดีจริงหรือ-.jpg

นายแพทย์โรเบิร์ต แอทกิ้นส์ (Dr. Robert Atkins) แพทย์หัวใจชาวอเมริกันเป็นผู้ค้นคิดสูตร Atkins Diet ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 และได้ถูกปรับเปลี่ยนมาหลายเวอร์ชั่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเน้นการกินคาร์โบไฮเดรตต่ำ โปรตีนสูง เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันในร่างกาย ทำให้น้ำหนักลด และประโยชน์ในด้านอื่น ๆ 

 

อย่างไรก็ตาม Atkins Diet เป็นหนึ่งในสูตรอาหารลดน้ำหนักที่เป็นที่รู้จักกันดี โดยเน้นการทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยมีหลักการว่า การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น น้ำตาล ผลไม้ แป้ง ข้าว จะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ซึ่งเชื่อว่ามีผลต่อความหิว และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

 

โดยหลักในการทำงาน คือ การปรับลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานให้เหลือน้อย ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ Ketosis ซึ่งร่างกายจะดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล ช่วยให้น้ำหนักตัวและไขมันส่วนเกินในร่างกายลดลง ผู้ที่ทำตามโปรแกรมนี้ นอกจากจะสามารถลดน้ำหนักลงได้แล้ว ยังช่วยรักษาระดับน้ำหนักให้คงที่ มีสุขภาพที่ดี แข็งแรงไม่เจ็บป่วย

 

อาหารที่ควรทานและไม่ควรทาน 

ควรทานอาหารโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาหารที่มีค่าไกลซิมิคต่ำ (Glycemic Index – GI) ซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มช้า ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ถือเป็นอาหารที่ดี ตัวอย่างอาหารที่ควรทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ เนื้อหมู เบคอน เนื้อปลา อาหารทะเล อาโวคาโด ไข่ นม ผักใบเขียว ถั่วและเมล็ดธัญพืชที่มีแป้งน้อย  ไขมันดีจากน้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอาโวคาโด เป็นต้น

 

ส่วนอาหารที่ไม่ควรทาน จะอยู่ในอาหารที่มีค่าไกลซิมิคสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน เค้ก ลูกกวาด ธัญพืช เป็นต้น ซึ่งหลังจากทานไปแล้ว ร่างกายจะดูดซึมอาหารอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเร็ว และมีการหิวเร็ว โดยการทานอาหารตามสูตรนี้ ควรที่จะบริโภคแร่ธาตุให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น

 

4 ระยะหลักของการกินแบบ Atkins Diet

  • ระยะเริ่มต้น ช่วงแรกของการเริ่มรับประทานอาหารสูตรนี้ จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานให้เหลือน้อยกว่า 20 กรัมต่อวัน (และมี Atkins 40 plan ซึ่งเป็นอีกสูตรที่มีการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ที่รับประทานให้เหลือน้อยกว่า 40 กรัมต่อวัน แทนที่จะเป็น 20 กรัมต่อวัน) โดยได้คาร์โบไฮเดรตจากสลัด และผักคาร์โบไฮเดรตต่ำ และอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันสูง จากการที่ระบบเผาผลาญจะดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล ทำให้อาจมีอาการข้างเคียงในระยะนี้ คือ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ท้องผูก มีกลิ่นปากได้
  • ระยะน้ำหนักลดต่อเนื่อง ค่อย ๆ เพิ่มคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอื่น ๆ โดยเน้นอาหารประเภทที่ให้พลังงานต่ำ และมีกากใยสูง โดยเพิ่มปริมาณ 25 กรัมภายใน 2 อาทิตย์แรก เพิ่ม 30 กรัมช่วงอาทิตย์ที่ 2 และเพิ่มทุก ๆ สัปดาห์จนน้ำหนักไม่ลดแล้ว จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานเข้าไป 5 กรัมทุก ๆ วันจนน้ำหนักเริ่มจะลดลงอีก
  • ระยะก่อนเข้าสู่ระยะน้ำหนักคงตัว อัตราการลดน้ำหนักของคุณจะค่อย ๆ ลดลง คุณสามารถเพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานได้ 10 กรัมต่อสัปดาห์ จนรู้สึกว่าน้ำหนักตัวลดลงอย่างช้า ๆ
  • ระยะน้ำหนักคงตัว เมื่อคุณสามารถลดน้ำหนักได้ถึงระดับที่ต้องการ คุณจะเริ่มเข้าสู่ระยะน้ำหนักคงตัว และอาจเริ่มเพิ่มการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ ได้ แต่ต้องเป็นแบบที่มีค่าไกลซิมิคต่ำ ๆ ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดดี โดยหากคุณเริ่มกลับมามีน้ำหนักเพิ่ม คุณอาจเริ่มการรับประทานอาหารสูตรนี้ใหม่อีกครั้ง

 

การทานอาหารตามสูตรจะช่วยในการลดน้ำหนัก และช่วยป้องกันโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด อย่างไรก็ดี การศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ของผู้ทานอาหารตามสูตรนี้ หยุดปฏิบัติหลังจากผ่านไป 2 – 3 ปี โดยช่วงแรกมีรายงานของอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการปวดศีรษะ เวียนหัว อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ท้องผูก ซึ่งอาจเกิดจากการใช้พลังงานจากไขมัน ทำให้เกิดการสะสมของคีโตน และอาจนำไปสู่อาการดังกล่าว นอกจากนี้ อาหารตามสูตรนี้ยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ยาขับปัสสาวะ ฉีดอินซูลิน ใช้ยาเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต สตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร

 

ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มทานอาหารแบบ Atkins diet ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อน รวมถึงผู้ที่จะปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารแบบทันทีทันใด ควรเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนการปรับเปลี่ยน

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล: www.medicalnewstoday.com
ภาพประกอบ: www.freepik.com


clean-food-re.jpg

เทรนด์อาหารคลีน/อาหารคลีนเพื่อสุขภาพ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้คนหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน รวมถึงคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือต้องการลดน้ำหนักเร่งด่วนโดยไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก การสั่งอาหารคลีนเพื่อสุขภาพแบบ Delivery จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนหนุ่มสาวออฟฟิศ อาหารคลีน Delivery ที่จัดส่งตามพื้นที่ให้บริการเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน กำลังเป็นที่นิยมรวมถึงอาหารคลีนส่งทั่วประเทศ ผู้ที่สนใจใช้บริการสั่งอาหารคลีน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกร้านไหน จึงจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์ และคุ้มค่าที่สุด เรามี 10 แนวทางเลือกร้านอาหารคลีน Delivery เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ที่สนใจตัดสินใจให้เลือกร้านได้

 

อาหารคลีนเพื่อสุขภาพ แบบ Delivery  เลือกอย่างไร 

1. มีจุดประสงค์ที่แน่ชัดในการเลือกทานอาหารคลีนเพื่อสุขภาพ

จุดประสงค์ของการเริ่มต้นการกินอาหารคลีน คือ อะไร คนที่กินต้องตอบได้ เช่น อยากกินอาหารคลีนเพื่อสุขภาพ ให้ร่างกายปลอดสารพิษ หรือกินอาหารคลีนเพราะต้องการควบคุมน้ำหนัก ลดไขมัน ควบคุมแคลอรี่ หรือกินอาหารคลีนเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อสำหรับเล่นฟิตเนส เป็นต้น เมื่อรู้จุดประสงค์แล้วจะช่วยให้ตามหาอาหารคลีนประเภทที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

 

2. การดูรีวิว หรือประสบการณ์การเปิดร้านจำหน่ายอาหารคลีน

ส่วนใหญ่อาหารคลีนเหล่านี้จะไม่ค่อยมีหน้าร้าน สามารถสั่งซื้อได้ช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ แฟนเพจ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูประวัติการซื้อขายอาหารคลีน คอมเมนต์ของลูกค้าที่ผ่านมา หรือดูภาพอาหารที่จำหน่าย เพื่อประกอบการตัดสินใจ

 

3. เลือกประเภทอาหารคลีนที่ต้องการ

ยกตัวอย่างเช่น ชื่นชอบอาหารคลีนแบบเมนูไทย ๆ หรือชื่นชอบอาหารคลีนแบบเมนูฝรั่ง ซึ่งแต่ละร้านอาหารคลีน จะมีเมนูที่สลับกันไปตามสัปดาห์ รายเดือน เพื่อไม่ให้จำเจ บางร้านมีแต่เมนูอาหารคลีนแบบไทย ๆ หรือบางร้านเน้นเป็นอาหารคลีนสไตล์ฝรั่ง ซึ่งเราสามารถดูจากเว็บไซต์ที่ให้บริการสั่งอาหารคลีน

 

4. วัตถุดิบออแกนิก มีคุณภาพ ได้ประโยชน์ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

อาหารคลีนส่วนใหญ่มีกรรมวิธีการปรุงที่ประณีต จำเป็นต้องเลือกวัตถุดิบให้ได้คุณภาพสูงสุด เช่น ผักบางร้านใช้วิธีปลูกเองโดยไม่ใช้สารเคมี ปลูกแบบออแกนิก หรือใช้น้ำมันงาแทนน้ำมันหมู หรือไม่ใส่สารกันบูด ผงชูรส ผงก้อน ใช้หญ้าหวานแทนการใส่น้ำตาล เป็นต้น วิธีการเหล่านี้เป็นการลดปริมาณแคลอรี่ในเมนูอาหารเพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมในการกินอาหารคลีน เพื่อการควบคุมน้ำหนัก

 

5. ราคา

วิธีการสั่งซื้อจะแจ้งราคาเป็นแบบกล่อง แบบคอร์สรายสัปดาห์ หรือรายเดือน พร้อมรายการเมนูอาหารคลีน ซึ่งเราต้องศึกษาว่ามีรายการอาหารคลีนอะไรบ้าง หากเป็นเนื้อสัตว์หมู หรือไก่ ราคาจะถูกกว่าเนื้อสัตว์ประเภทปลา กุ้ง หรือผักที่ใช้สามารถหาซื้อได้ง่าย หรือต้องปลูกเองจึงจะได้คุณภาพ ราคาที่ขายจะต้องคุ้มค่ากับเมนูอาหารคลีนที่แจ้งไว้ ไม่ควรตั้งราคาขายที่สูงจนเกินไป

 

6. วิธีการสั่งซื้อและการจัดส่ง

การสั่งซื้อที่รวดเร็ว เข้าใจง่าย สามารถเลือกได้ตามใจ จะสามารถดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนที่ยุ่งยากจะทำให้เราเลือกร้านอื่น ยิ่งไปกว่านั้น ควรเลือกร้านอาหารคลีนที่สามารถจัดส่งในพื้นที่ที่เราอยู่ได้ ไม่เสียค่าบริการมาก หรือบางร้านมีโปรโมชั่นสั่งซื้อขั้นต่ำจึงจะจัดส่งฟรีในพื้นที่ที่บริการ จะสร้างความสะดวก ความประทับใจเรามากขึ้น

 

7. ประสบการณ์ปรุงอาหารคลีนของเชฟ

การปรุงอาหารคลีน ผู้ปรุงอาหารจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการทำอาหารประเภทนี้ เนื่องจากการทำอาหารคลีนมีขั้นตอนที่ต้องระวัง วัตถุดิบที่ใช้ไม่เหมือนการปรุงอาหารตามปกติ รสชาติต้องถูกปากลูกค้าในวัตถุดิบที่สามารถใช้ได้

 

8. การแนะนำ หรือให้ความรู้ในการกินอาหารคลีน

สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นกินอาหารคลีนนั้น อาจยังไม่มีความรู้ในการเลือกคอร์ส หรือระยะเวลาในการกินอาหารคลีน เจ้าของร้าน หรือเชฟต้องให้คำแนะนำ หรือใส่ใจในคำพูดของลูกค้า เช่น ลูกค้าแพ้วัตถุดิบทะเล ทางร้านต้องจำและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความผิดพลาด และให้คำแนะนำในการเลือกอาหารคลีนได้

 

9. อาหารคลีนปรุงสดใหม่

เราควรเลือกร้านอาหารคลีนที่มีการปรุงอาหารสดใหม่ทุกวัน เพื่อให้ได้อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ควรเลือกร้านที่ทำอาหารในปริมาณมาก ๆ ครั้งเดียว และแบ่งขายจนหมด ซึ่งอาจทำให้อาหารคลีนสูญเสียประโยชน์ นานวันอาจบูดและเสียได้ หรือหากเลือกเป็นคอร์สรายเดือน การจัดส่งอาหารควรแบ่งส่งเป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ เพื่อให้ได้อาหารปรุงสดใหม่ตลอด

 

10. เมนูอาหารคลีนได้รับสารอาหารครบถ้วน

เมนูอาหารคลีนที่ร้านคิดเมนูขึ้นมา จะต้องได้รับคุณประโยชน์ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ 5 หมู่ คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ และวิตามิน ในแต่ละมื้อนอกจากการได้รับจำนวนแคลอรี่ที่เหมาะสมแล้ว ต้องได้รับสารอาหารครบถ้วนเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: https://topbestbrand.com/แสนดีคลีนฟู๊ด/
ภาพประกอบจาก: www.cleanfoodcrush.com


-Ketosis-และ-Keto-flu.jpg

รู้จัก Ketosis และ Keto flu สำหรับผู้ที่สนใจสูตรไดเอท แบบ “คาร์บต่ำ ไขมันสูง” โดยเฉพาะสูตร “คีโต” หรือ Ketogenic diet อาจจะเคยผ่านตาเรื่องของภาวะคีโตซิส (Ketosis) และคีโต ฟลู (Keto flu) กันมาบ้าง มาดูกันนะค่ะว่า 2 คำนี้ มีความหมายอย่างไร

 

สูตรไดเอทแบบ “คาร์บต่ำ ไขมันสูง” เน้นการดึงเอาพลังงานจากไขมันมาใช้แทนคาร์โบไฮเดรต ยกตัวอย่างเช่น สูตรไดเอทแบบคีโต หรือ Ketogenic diet และสูตรไดเอทแบบแอทกิ้นส์ หรือ Atkins Diet ซึ่งร่างกายของผู้ที่ไม่คุ้นเคยต้องมีการปรับตัว เรามารู้จักกับ 2 คำ ที่ควรรู้กันค่ะ

 

Ketosis และ Keto flu คืออะไร และสำคัญอย่างไร 

 

1.Ketosis 

คีโตซิส (Ketosis) เป็นกระบวนการเผาผลาญไขมันที่เก็บไว้ในร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังงาน ในภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลกลูโคสไม่เพียงพอ กระบวนการดังกล่าวส่งผลให้เกิดการสะสมของกรดคีโตน (Ketone) ภายในร่างกาย

ทั้งนี้ภาวะนี้ จะพบได้ในผู้ที่ทานอาหารแบบ Ketogenic diet โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงอย่างมาก เพื่อบังคับให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน เพื่อเอาพลังงานที่ได้มาแทนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ภาวะนี้ยังพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน  ซึ่งร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติ ร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิสโดยพลังงานหลักมาจากไขมัน ต่อมาเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (Ketoacidosis)

โดยมีคีโตนในเลือดสูงจนเกิดอันตราย มีอาการปากแห้ง กระหายน้ำ มึนงง สับสน คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก กรณีรุนแรงอาจเกิดสมองบวม โคม่าและเสียชีวิตได้ โดยผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) ซึ่งตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ มีโอกาสเกิดภาวะเลือดเป็นกรดได้มากกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ซึ่งมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน และจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลทันที

 

2.Keto flu 

คีโตฟลู (Keto flu) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดกับหลาย ๆ คน ในช่วงแรกของการปรับตัวทานอาหารแนวคีโต (Ketogenic diet) ซึ่งเป็นสูตรอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก โดยมักจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 50 กรัมต่อวัน การลดลงอย่างมากนี้อาจเกิดผลกระทบต่อร่ากายคล้ายกับอาการจากการถอนคาเฟอีน หรือสารเสพติดบางประเภท

โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องร่วง ปวดหัว เวียนหัว อ่อนแรง หงุดหงิด ตะคริว ปวดท้อง ขาดสมาธิ ปวดกล้ามเนื้อ นอนหลับยาก จนถึงการอยากกินน้ำตาล โดยผู้ทานอาหารแนวคีโตอาจพบอาการเหล่านี้ในหนึ่งสัปดาห์แรก

ในขณะที่บางคนมีอาการต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลานาน อาการเหล่านี้มีผลโดยตรง ทำให้หลายๆคนไม่สามารถประสบความสำเร็จกับการทานอาหารแนวคีโต รู้จัก Ketosis, Keto flu ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.medicalnewstoday.com   www.healthline.com   www.haamor.com
ภาพประกอบจาก : www.unsplash.com


green-tea-good-health.jpg

ท่ามกลางวัฒนธรรมการดื่มชาอันเก่าแก่ หนึ่งในชาที่ถูกยกย่องในเรื่องของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็คือ “ ชาเขียว ” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน  นอกจากนั้น ยังมีแนวโน้มความนิยมที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเรามักจะเห็นชาชนิดนี้เป็นส่วนประกอบในอาหารประเภทต่าง ๆ รวมไปจนถึงงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาเขียวมากมาย

 

ชา = ศาสตร์การเยียวยาโบราณ

“ชา” ถูกใช้ทางการแพทย์เป็นครั้งแรกในกลุ่มชาวมณฑลด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว หรือราว 1,100 – 200 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งตรงกับช่วงราชวงศ์ถัง พวกเขาเชื่อว่าการดื่มชาสามารถช่วยรักษาความสมดุลในร่างกาย ความนิยมนี้ก่อให้เกิดธุรกิจการค้าใบชาขนาดใหญ่ในประเทศจีนยุคนั้น กระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และ “ชาเขียว” ก็เป็นหนึ่งในประเภทของชาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

“ชาเขียว” คือ ใบชาที่ไม่ผ่านขั้นตอนการหมัก เป็นใบสดที่เข้าสู่กระบวนการอบแห้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สามารถเก็บได้จากต้นชาที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Camellia sinensis  ทำให้รสสัมผัสที่ได้จากเครื่องดื่มชาประเภทนี้ มีความหอม สดชื่น และยังมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าใบชาประเภทอื่น ๆ อาทิ วิตามินบี วิตามิอี วิตามินซี, Polyphenol, EGCG, Catechin รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระต่างชนิดอีกมากมาย

หากพิจารณาเฉพาะสรรพคุณในการเยียวยาโดยแพทย์แผนโบราณ จะพบว่าชาเขียวนั้นไม่ว่าจะเป็นแบบใบชา หรือแบบผงมัทฉะ ล้วนส่งผลดีต่อการบรรเทาอาการปวดศีรษะ และผู้ที่ป่วยเป็นโรคสมอง นอกจากนั้น ยังแก้ร้อนใน ปรับสมดุลในร่างกาย ขับเหงื่อ และช่วยกระตุ้นความเจริญอาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่ชักนำให้ชาเขียวกลายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ จากการวิจัยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิระดับโลกหลายท่าน

 

ชาเขียว และประโยชน์ทางการแพทย์ยุคปัจจุบัน

  1. ชาเขียวลดคอเลสเตอรอล
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์เมื่อปี 2011 พบว่า การดื่มชาเขียวทั้งในรูปแบบเครื่องดื่ม หรือการรับประทานในรูปแบบแคปซูลสกัด ล้วนส่งผลต่อการลดระดับ LDL หรือคอเลสเตอรอลประเภทไม่ดีในร่างกาย จึงเหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก หรือต้องการรักษาความสมดุลร่างกายโดยรวม
  2. ชาเขียวลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์ใน “Journal of the American Medical Association” เมื่อปี 2006 พบว่า การดื่มชาเขียวลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยคาเตชิน (Catechin) เป็นสารที่มีผลต่อการป้องกันความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือด
  3. ชาเขียวลดความเสี่ยงเส้นโลหิตแตกเฉียบพลัน
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์ใน “Journal of the American Heart Association” พบว่า การดื่มชาเขียวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตกเฉียบพลัน โดยเจ้าของงานวิจัยนี้ คือ รศ. ดร. โยชิฮิโกะ โคคุโบะ ได้กล่าวแนะนำว่า อย่างน้อยควรดื่มชาเขียวทุกวัน ในเวลาของมื้ออาหารใดก็ได้
  4. ชาเขียวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    มีงานวิจัยทางคลินิก พบว่า ชาเขียวส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วยเช่นกัน เนื่องจากในกลุ่มผู้ทดลองทั้งมนุษย์ และสัตว์ ล้วนมีอัตราการทำงานของเซลล์ที่ดีขึ้น ทั้งการสร้าง เติบโต ซ่อมแซม ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่แข็งแรงนั่นเอง
  5. ชาเขียวช่วยบำรุงสมอง
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร “Psychopharmacology” แสดงให้เห็นว่า ชาเขียวสามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการคิดของสมอง โดยเฉพาะหน่วยความจำในการสั่งงาน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ชี้ให้เห็นว่า ชาเขียวอาจมีแนวโน้มในการรักษาความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคสมองเสื่อมได้ด้วย
  6. ชาเขียวลดความเสี่ยงอัลไซเมอร์
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์เมื่อปี 2011 พบว่า สาร  CAGTE หรือสารสกัดจากชาเขียวที่เก็บมาจากลำไส้ใหญ่ เพื่อทำการทดสอบว่าหลังจากชาเขียวถูกย่อย และดูดซึมนั้น จะส่งผลต่อโปรตีนในร่างกายของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์อย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า สาร Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) ที่มีมากในชาเขียวอาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน
  7. ชาเขียวลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
    อ้างอิงจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่มีเป็นปริมาณมากในชาเขียวสามารถลดการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้ และจากการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มประเทศที่มีการบริโภคชาเขียวเป็นปริมาณมาก พบว่า มีอัตราการป่วยเป็นโรคมะเร็งของประชากรต่ำกว่า อีกทั้งผลการศึกษาในขั้นตอนถัดมายังพบว่า ชาเขียวนั้นส่งผลในเชิงบวกต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ ลำไส้ใหญ่ ลำคอ ต่อมลูกหมาก ผิวหนัง และกระเพาะอาหาร และยังส่งผลในแง่การป้องกัน ลดความเสี่ยงในกลุ่มผู้ทดลองอีกด้วย

 

จากหลักฐานงานวิจัยทั้งหมด บ่งชี้ได้ถึงคุณประโยชน์ซึ่งสามารถพิสูจจน์ได้จริงของชาเขียว จึงไม่เป็นที่แปลกใจเมื่อวงการสุขภาพมากมายต่างยกย่องให้เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอันดับหนึ่ง ที่สามารถดื่มได้ทันที ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในทุก ๆ วัน ลองเพิ่มชาเชียวลงไปในมื้ออาหาร ตามเวลาที่สะดวก จะก่อนหรือหลังรับประทานอาหารก็ได้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถดูดซึมประโยชน์ดี ๆ จากชาเขียวเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.shen-nong.com, www.medicalnewstoday.com
ภาพประกอบจาก: www.pixabay.com

 


faqs-exercise-part-3.jpg

Q: ถ้าหิว ควรทานอาหารก่อนหรือหลังออกกำลังกายจะดี

A: มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกในขณะท้องว่าง ร่างกายจะใช้พลังงานจากไขมันมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ร่างกายคุ้นเคยกับการเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น ควรออกกำลังกายในขณะท้องว่างจากเบาไปหนัก และควรกินคาร์โบไฮเดรตล่วงหน้า ก่อนการออกกำลังกายหนัก อ่านเพิ่มเติม กินอาหารก่อนออกกำลังกายดีไหม

 

Q: ควรดื่มน้ำทุกครั้งที่ออกกำลังกายหรือไม่ มีหลักการดื่มอย่างไร

A: ควรดื่ม โดยแบ่งดื่มก่อนออกกำลังกายเป็น 2 ช่วง คือ ดื่มล่วงหน้า 1 – 2 ชม. และดื่ม 15 – 20 นาทีก่อนออกกำลังกาย ในปริมาณที่ลดลง ระหว่างออกกำลังกายมีการสูญเสียเหงื่อ ควรมีการดื่มน้ำเป็นระยะประมาณ 15 – 20 นาที/ครั้ง ครั้งละไม่มาก หากมีเหงื่อออกมาก ควรมีการเสริมเกลือแร่เพิ่ม หลังการออกกำลังกายควรมีการดื่มน้ำเพื่อเติมน้ำกลับคืนร่างกาย ให้ใกล้เคียงกับที่สูญเสียไป ปริมาณมากน้อยสังเกตจากน้ำหนักตัวที่ลดลง

 

Q: ถ้าไม่สบายนิดหน่อย ออกกำลังกายได้ไหม

A: หากเป็นอาการเหนือคอขึ้นไป เช่น คัดจมูก เจ็บคอ น้ำมูกใส สามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรลดความหนักของการออกกำลังกายลงอย่างน้อย 50% พร้อมกับการดูแลด้านอื่นในเบื้องต้น เช่น ดื่มน้ำอุ่น นอนหลับพักผ่อน ทั้งนี้หากอาการแย่ลงควรหยุดออกกำลังกายทันที

 

Q: ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ควรออกกำลังกายลักษณะไหน

A: หลักการเบื้องต้น ลดน้ำหนักควรออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหาร ให้พลังงานที่ร่างกายใช้มากกว่าพลังงานที่ได้รับ สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมจะเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ให้หัวใจเต้นอยู่ในโซน 2 ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 3 ครั้งหรือมากกว่านั้น พร้อมกับการออกกำลังกายแบบเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มการเผาผลาญให้มากขึ้น อ่านเพิ่มเติม ออกกำลังกาย ร่างกายใช้พลังงานอย่างไร 

 

Q: เลือกควบคุมอาหารโดยไม่ออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักได้ไหม

A: ไม่แนะนำ แม้ว่าการคุมอาหารโดยให้พลังงานที่ร่างกายใช้มากกว่าพลังงานที่ได้รับ สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แต่การออกกำลังกายร่วมกับการควบคุมอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ต้องฝืนกับการควบคุมอาหารอย่างหนัก ๆ อีกทั้งยังทำให้ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ มีความแข็งแรง ทำงานได้ดีขึ้น

 

Q: ออกกำลังกายเพื่อลดไขมันเฉพาะส่วนได้ไหม

A: ไม่ได้ เพราะร่างกายไม่สามารถกำหนดได้ว่า จะลดไขมันตรงไหนก่อนหลัง โดยหลักการแล้วร่างกายจะเริ่มสะสมไขมัน ซึ่งเป็นพลังงานส่วนเกินไว้ที่ พุง เอว สะโพก แขน ขา โดยการนำมาใช้จะเริ่มจากที่สะสมใหม่ โดยไขมันที่เอว พุง จะค่อย ๆ ลดภายหลังจากการลดน้ำหนักไปได้สักระยะ ทั้งนี้อาจมีการบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เพื่อสร้างความแข็งแรงบริเวณนั้นได้

 

Q: ถ้าออกกำลังกายหนักแล้ว จะกินมากเท่าไรก็ได้

A: ไม่ถูก การออกกำลังกายหนัก ทำให้กินได้มากกว่าไม่ออกกำลังกาย แต่ต้องไม่ทำให้พลังงานที่ร่างกายได้รับมากกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ เพื่อให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

 

Q: ออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เน้นการใช้น้ำหนักพอดี ทำจำนวนชุดมาก ๆ

A: ไม่ถูกต้อง หากต้องการสร้างกล้ามเนื้อ ควรเน้นการใช้น้ำหนักมาก ๆ จำนวนชุดน้อย ๆ โดยต้องรู้สึกตึงกล้ามเนื้อในระดับหนึ่ง เสริมด้วยการกินโปรตีนเสริมตามความเหมาะสม อ่านเพิ่มเติม อาการที่บอกว่า ออกกำลังกายไม่ได้ผล

 

Q: ออกกำลังกายแบบเสริมความยืดหยุ่น ควรเน้นการใช้น้ำหนักมาก ออกแรงสั้น ๆ ไม่หายใจ

A: ไม่ถูกต้อง การเสริมความยืดหยุ่น ควรเน้นให้กล้ามเนื้อ ได้มีการยืด คลายตัวอย่างช้า ๆ ไม่เน้นความหนักหรือความเร็ว เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อตึง และเกิดการบาดเจ็บได้ อ่านเพิ่มเติม ออกกำลังกายแบบไหน ฝึกความอึดทนแกร่ง

 

Q: ออกกำลังกาย จำเป็นต้องกินเวย์ โปรตีนไหม

A: ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานมีโปรตีนเพียงพอไหม โดยไม่จำเป็นต้องกินให้เกินพอ เนื่องจากโปรตีนส่วนที่เกินร่างกายจะขับออก สำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งต้องใช้โปรตีนที่สูง การกินเวย์โปรตีนอาจเป็นประโยชน์

 

Q: ออกกำลังกาย ต้องกินน้ำเกลือแร่ไหม

A: โดยทั่วไปไม่จำเป็น โดยทานน้ำให้เพียงพอทั้งก่อน ระหว่างและหลังการออกกำลังกายเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปได้ ยกเว้นการออกกำลังกายหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น วิ่งมาราธอน ควรดื่มเกลือแร่ เพื่อเสริมเกลือแร่ที่สูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อขณะวิ่งได้

 

Q: ผู้ป่วยในทุกประเภท ไม่ควรออกกำลังกาย

A: การออกกำลังกายมีประโยชน์หลายประการ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำถึงวิธีการออกกำลังกายที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

อ่านต่อ ตอบข้อสงสัย เรื่องออกกำลังกาย ตอนที่ 1ตอบข้อสงสัย เรื่องออกกำลังกาย ตอนที่ 2ตอบข้อสงสัย เรื่องออกกำลังกาย ตอนที่ 3

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


g-exercise.jpg

เมื่อพูดถึงการมีสุขภาพดีแล้ว มักจะมีการพูดถึงการกินอาหารให้ถูกโภชนาการ การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอและแน่นอนต้องมีการออกกำลังกายที่ถูกต้องและหนักเพียงพอ ในเบื้องต้นมาดูกันว่าการออกกำลังกาย ถ้าหากทำได้อย่างถูกต้อง หนักเพียงพอ เรียกง่าย ๆ ว่าสอดคล้องกับเพศและวัยได้อย่างเหมาะสมนั้น มีข้อดีอะไรบ้าง

 

ออกกำลังกาย ช่วยลดน้ำหนัก

การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในช่องทางที่ร่างกายจะเผาผลาญพลังงาน ให้เหลือเป็นส่วนเกินเก็บสะสมในรูปของไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายน้อยที่สุด ยิ่งถ้าคุณวางแผนในการออกกำลังกายให้เหมาะสม ร่วมกันกับการกินอาหารหรือไดเอทตามหลักโภชนาการที่ถูกต้องด้วยแล้ว นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยคุณลดน้ำหนักตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ บวกเพิ่มด้วยการมีสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน

 

ออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ

การออกกำลังกายให้เหมาะสม ช่วยกระตุ้นไขมันชนิดดีที่เรียกว่า Lipoprotein (HDL) ให้สูงขึ้น โดย HDL มีหน้าที่จับคอเลสเตอรอลไปทำลายที่ตับ ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดลดลง นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ยังทำให้การหดตัวของเส้นเลือดหัวใจน้อยลง เพิ่มแขนงหลอดเลือดฝอยในหัวใจ สามารถคุมความดันไขมันและน้ำหนักตัวได้ดี

 

ออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้สูงขึ้น

การออกกำลังกายที่เหมาะสม นอกจากจะส่งผลต่อการมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจ โดยเพิ่มความมั่นใจให้สูงขึ้น ลองนึกภาพถ้าใครสามารถเปลี่ยนแปลง เช่น สามารถตื่นเช้าขึ้น สามารถคุมอาหารได้ดีขึ้น มีซิคแพค มีกล้ามอก เล่นกีฬาเก่งขึ้น ใส่เสื้อผ้ากระชับขึ้น รู้สึกตัวเองมีพลังงานมากขึ้น ความมั่นใจจะมีมากขึ้นขนาดไหน

 รู้แบบนี้แล้ว ออกกำลังกายดีกว่า

ออกกำลังกาย ช่วยเสริมให้คุมน้ำตาลในเลือดได้ดี

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลิน ได้รับการวิจัยจนเป็นที่ยอมรับแล้วว่า สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของอินซูลินที่มีอยู่ในร่างกายได้ ทำให้สามารถนำน้ำตาลในเลือดเข้าไปใช้งานในเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

 

ออกกำลังกาย ช่วยให้ร่างกายป่วยยาก

มีข้อมูลที่ยืนยันว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ส่งผลให้ป่วยยาก เช่น ลดความเสี่ยงจากการเป็นหวัด ลดความเสี่ยงภาวะจุดรับภาพที่ตาเสื่อม (Macular Degeneration) ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งทรวงอก ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองตื้อ (Brain fog) รวมถึงการลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคที่เกี่ยวกับการเผาผลาญอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคซึมเศร้า โรคมะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น

 

ออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มพลังงาน ลดอาการอ่อนเพลีย และทำให้อารมณ์ดี

จากผลการศึกษาพบว่า การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเพิ่มพลังงาน ลดอาการอ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังช่วยให้มีการหลั่งสารเคมีในสมอง เช่น สาร Norepinephrine และ Dopamine ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตลอดจนสาร Serotonin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี มีความสุข ผ่อนคลายมากขึ้น

 

ออกกำลังกาย ช่วยให้หลับดีขึ้น

จากผลการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายและหลับสนิทขึ้น เช่น ผู้หญิงสูงอายุที่ออกกำลังเป็นประจำจะตื่นกลางดึกน้อยกว่าผู้หญิงวัยเดียวกันที่ไม่ออกกำลังกายถึง 50% และมีการนอนหลับเฉลี่ยต่อคืนยาวนานกว่า 45 นาทีด้วย อย่างไรก็ตามกรณีออกกำลังกายช่วงเย็น อย่าให้ใกล้กับเวลาเข้านอนมากเกินไป เพราะการตื่นตัวของร่างกายจากการออกกำลังกาย อาจทำให้คุณนอนไม่หลับได้

 

ออกกำลังกาย ช่วยกระตุ้นอารมณ์เพศกลับมาอีกครั้ง

จากข้อมูลที่ว่าการออกกำลังกายทำให้สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง มีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้สิ่งหนึ่งที่อาจเคยขาดหายไปจากการที่คุณน้ำหนักเกิน พุงใหญ่ อ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง จะกลับมาอีกครั้ง นั่นคือเรื่องของความต้องการในเรื่องเพศ ออกกำลังอย่างเหมาะสมตั้งแต่วันนี้ เพื่อการมีสุขภาพทางเพศที่ดีในระยะเวลาอันสั้น

 

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การออกกำลังกายเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ทั้งนี้หากต้องการได้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงประเด็นทางด้านสุขภาพจากเรื่องออกกำลังกายแบบนี้ ปลอดภัยแน่

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 

 

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก