ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

cover-malassezia-ketoconazole.jpg

 

เชื้อราเป็น 1 ใน 5 เชื้อโรคหลัก ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส ริกเกตเซีย  เชื้อรา และปรสิต ที่เข้าไปในร่างกายมนุษย์ ในบางภาวะจะก่อให้เกิดความผิดปกติในอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงก่อให้เกิดโรคได้ โดยเชื้อรามีหลายชนิดพบได้ทั่วไปในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น ดิน น้ำ อากาศ พื้นผิวสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงคนและสัตว์

เชื้อราสามารถพบได้ในหลายส่วนของร่างกายมนุษย์ แต่จะทำให้เกิดโรคได้ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง เช่น สภาพอากาศร้อน ความชื้นสูง ซึ่งทำให้เชื้อเติบโตได้ดี ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง  มีการสัมผัสเชื้อโดยตรง หรือผิวหนังอยู่ในสภาพที่เอื้อต่อการติดเชื้อ

มาลาสซีเซีย (Malassezia) เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของมนุษย์ โดยจะคอยกินไขมันที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมันเป็นอาหาร ในบางสภาวะเชื้อราชนิดนี้ก็จะเจริญเติบโตได้ดี และก่อให้เกิดการอักเสบของผิวหนังตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น

  • ผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม (seborrheic dermatitis) หรือโรคต่อมไขมันอักเสบ พบบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก จมูก หนังศีรษะ รอบสะโพก ขาหนีบ โดยมีลักษณะเป็นผื่นแดง มีสะเก็ดสีขาว หรือสีเหลืองบริเวณผิวหนัง และมีอาการคัน
  • สิวเชื้อรา หรือสิวยีสต์ (malassezia folliculitis)เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและการติดเชื้อราชนิดนี้ โดยมักพบบริเวณหน้าอก แผ่นหลัง รวมถึงบริเวณหัวไหล่ คอ และใบหน้า
  • เกลื้อน (pityriasis versicolor) เป็นการติดเชื้อราบริเวณผิวหนังชั้นตื้น โดยจะทำให้ผิวหนังเป็นผื่นสีขาว หรือสีน้ำตาล มักพบตามลำตัว แขนขา และหน้าอก

ทั้งนี้การรักษาอย่างถูกต้องและตรงจุดคือกุญแจสำคัญ


คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ยาที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับ Malassezia

เชื้อราที่ผิวหนังรักษาได้โดยการใช้ยา ซึ่งมีทั้งชนิดที่เป็นยาทาและยารับประทาน ketoconazole (คีโตโคนาโซล) เป็นยาต้านเชื้อราในกลุ่ม imidazole ที่ออกฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อรา โดยมีฤทธิ์ไปยับยั้งเอนไซม์ lanosterol 14α-demethylase ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อรา ส่งผลให้เชื้อราไม่สามารถเจริญเติบโตได้โดยเฉพาะกับเชื้อในกลุ่มมาลาสซีเซีย (malassezia species) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาผิวหนังเรื้อรังที่กล่าวมาข้างต้น

สำหรับยารับประทานนั้น จะใช้ในกรณีที่มีการติดเชื้อรุนแรงและลุกลาม โดยต้องไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง 


ประสิทธิภาพคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ครีม ในการรักษาโรคเชื้อรา

  • งานวิจัยทดสอบฤทธิ์การต้านเชื้อมาลาสซีเซีย (malassezia) ในหลอดทดลอง ยืนยันว่าคีโตโคนาโซลมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อมาลาสซีเซียในหลอดทดลอง ได้ดีกว่ายาต้านเชื้อราในกลุ่ม imidazole ตัวอื่น ๆ 1 (รูปที่ 1)
    .malassezia ketoconazole

    รูปที่ 1

    .
  • งานวิจัยโดยเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยเซ็บเดิร์มบนใบหน้า 30 ราย เทียบผู้ป่วยกลุ่มควบคุม (HC) 15 ราย ก่อนและหลังการรักษาด้วยคีโตโคนาโซล 2% พบว่า สามารถลดความรุนแรงของเซ็บเดิร์มได้ 73% และลดความคันเรื้อรังได้ 68% ภายใน 2 สัปดาห์แรกของการใช้ 2 (รูปที่ 2)
    .
    malassezia ketoconazole
    รูปที่ 2
    ..
  • งานวิจัยคีโตโคนาโซล 2% ชนิดครีม สามารถรักษาผู้ป่วยโรคเกลื้อน 84% ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง หายภายใน 2 สัปดาห์ โดยคีโตโคนาโซล ชนิดแชมพูอาบน้ำ สามารถรักษาโรคเกลื้อนได้ใน 31 วัน3 (รูปที่ 3)
    .malassezia ketoconazole
    รูปที่ 3

.
คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ความเข้มข้น 2% ใช้ทาเพื่อรักษาเชื้อราบนผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน เซ็บเดิร์ม โดยทาลงบนผิวหนังบริเวณที่มีอาการ วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ เพื่อผลการรักษาที่ดี ป้องกันเชื้อดื้อยา เมื่ออาการหายดีแล้วควรใช้ต่อเนื่องไปอีกประมาณ 2 – 3 วัน ไม่ควรหยุดใช้ยาทันที

ปรึกษาและถามหาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ครีมกับเภสัชกร หรือร้านยาใกล้บ้าน

 

เอกสารอ้างอิง
  1. F Van Gerven, F C Odds. The anti-Malassezia furfur activity in vitro and in experimental dermatitis of six imidazole antifungal agents: bifonazole, clotrimazole, flutrimazole, ketoconazole, miconazoleand sertaconazole. Access: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/8569815/
  2. Tao, R., Wang, R., Wan, Z., Song, Y., Wu, Y., & Li, R. (2022). Ketoconazole 2% cream alters the skin fungal microbiome in seborrhoeic dermatitis: a cohort study. Clinical and Experimental Dermatology, 47(6), 1088-1096. Access: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/35092701/
  3. Pityriasis versicolor. Adapted from Tao, R., Wang, R., Wan, Z., Song, Y., Wu, Y., & Li, R. (2022). Ketoconazole2% cream alters the skin fungal microbiome in seborrheic dermatitis: a cohort study. Clinical and Experimental Dermatology, 47(6), 1088-1096. Access: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/35092701/

 

 

 


-โอมิครอน-ให้ดีที่สุดอย่างไรดี.jpg

สวัสดีปีใหม่ครับ ปีนี้ผมหวังว่า คนไทยจะโชคดีจากการระบาดของเชื้อ “SARS-CoV-2” เมื่อสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) เข้ามาระบาดในเมืองไทย ข้อมูลเบื้องต้นแต่ชัดเจนสำหรับเชื้อตัวนี้คือ แพร่กระจายเก่งกว่าสายพันธุ์เดลต้า 3-5 เท่า ส่วนใหญ่ก่อโรคในทางเดินหายใจส่วนบนและหลอดลม ข้อมูลแรกเริ่มจาก LKS คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKUMed) พบว่า หลังปล่อยเชื้อไวรัสลงบนผิวเซลล์ได้ 24 ชั่วโมง สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มจำนวนในเซลล์หลอดลมเร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้าถึง 70 เท่า แต่เพิ่มจำนวนในเนื้อปอดช้ากว่าสายพันธุ์อู่ฮั่นถึง 10 เท่า นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น เยอรมันและอเมริกาทำการศึกษาในหนูก็พบข้อมูลตรงกันว่า เชื้อโอมิครอนก่อโรคหลัก ๆ ในทางเดินหายใจส่วนบน ทำลายเนื้อปอดน้อยกว่าและทำให้สัตว์ทดลองตายน้อยกว่าด้วย ตอนนี้ในไทย สายพันธุ์โอมิครอนกำลังเบียดแย่งที่สายพันธุ์เดลต้าอยู่ (โอมิครอนพบร้อยละ 20 เดลต้าพบร้อยละ 80) ขอให้สายพันธุ์โอมิครอนเบียดแย่งที่จนกลายเป็นเชื้อเด่นและเบียดเดลต้าให้หมดไปเลย ถึงแม้เชื้อโอมิครอนจะหลบหลีกภูมิคุ้มกัน lgG ที่เกิดจากการติดเชื้อและการฉีดวัคซีนได้บ้าง แต่คนไทยยังมีภูมิคุ้มกันชนิดอื่น ๆ เหลือพอที่จะสู้เชื้อโอมิครอนได้ หากป้องกันตนเองได้ดี

คนไทยฉีดวัคซีนไป 105 ล้านโดสแล้ว ผู้ป่วยสะสมอย่างน้อย 2,230,000 ราย ตายไป 22,000 ราย ยาขนานใหม่กำลังขึ้นทะเบียนทั้ง molnupiravir และ paxlovid ใช้ร่วมกับ favipiravir ได้ นี่ยังไม่รวมแอนติบอดีค็อกเทล ที่กำลังขึ้นทะเบียน สรุปว่า คนไทยส่วนมากมีภูมิคุ้มกันกับเชื้อ SARS-CoV-2 และสายพันธุ์โอมิครอนบ้างแล้ว เรากำลังจะมียาต้านไวรัส เราจะรับมืออย่างไรกับเชื้อโอมิครอนให้เกิดผลดีที่สุดแก่คนไทย ให้การระบาดครั้งนี้กลายเป็นโอกาสดีของคนไทยบ้าง

 

ข้อแรก

คนไทยรีบไปฉีดวัคซีนกันเถอะ ใครตกขบวนเข็มหนึ่งเข็มสองต้องรีบฉีดด่วนแล้วเก็บกักตัวเองไว้เลย ตอนนี้เราฉีดเข็มสามกันแล้ว ระยะเวลาที่ภูมิคุ้มกันของเราเกิดดีที่สุดในการป้องกันโรคคือ ตั้งแต่สองสัปดาห์หลังเข็มที่สอง/สามขึ้นไปจนถึงสามเดือน หลังสามเดือนถึงหกเดือนก็ยังพอไหว หลัง 6 เดือนไปแล้วก็ยังพอป้องกันความรุนแรงของโรคได้ แต่ขอสรุปว่า หลังฉีดเข็มที่สอง / สามได้สองสัปดาห์ไปจนถึงสามเดือน จะมีภูมิคุ้มกันดีที่สุด ประเทศตะวันตกหรือในยุโรปที่รีบฉีดวัคซีนก่อนประเทศไทยหลายเดือน ตอนนี้ติดเชื้อโอมิครอนมากเพราะหลังเข็มสุดท้ายนานเกินหกเดือนแล้ว เลยติดเชื้อง่ายกว่าแต่ส่วนใหญ่ไม่ป่วยรุนแรง ดังนั้นระยะเวลาสามเดือนหลังเข็มสามจะเกิดภูมิคุ้มกันสูงจนหากตัวเราเผลอติดเชื้อ ก็จะไม่มีอาการจนบางคนไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อไปแล้ว ระยะเวลาการแพร่เชื้อไปให้คนอื่นจะสั้นลงด้วย ดังนั้น จังหวะที่เชื้อโอมิครอนกำลังมา เราก็รีบเร่งฉีดวัคซีนเข็มสอง/สาม กันเสีย ใครฉีดเข็มสี่ไม่ว่า จะได้ไม่ป่วยเลย ตอนนี้รีบไปฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 5 ขวบขึ้นไปด้วย

 

ข้อที่สอง

เรายังต้องป้องกันตนเองจากการติดเชื้ออยู่ดี สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในกลุ่มชนแออัดนานเกิน 30 นาทีและอากาศไม่ถ่ายเท ผู้ที่ระวังตนแบบนี้ จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยมาก แม้สายพันธุ์โอมิครอนจะแพร่กระจายเก่งมาก ผมขอย้ำเรื่องการถ่ายเทอากาศในห้องแถว / ขนาดเล็ก ตลาดนัดที่หลังคาเตี้ยจนอากาศไม่ถ่ายเท เจ้าของร้อนต้องเปิดประตู หน้าต่าง เปิดพัดลมเป่า / ดูดอากาศออกจากห้องเลย จะเปิดแอร์ด้วยก็ไม่ว่า ดังนั้น เรายังต้องป้องกันการติดเชื้อด้วยการใช้วิถีชีวิตใหม่เต็มที่ หากติดเชื้อได้อีกก็เป็นเหตุสุดวิสัย และจะเป็นผลดีกับภูมิคุ้มกันที่จะถูกกระตุ้นให้สูงขึ้นมาสู้กับเชื้อจำนวนน้อยนิดที่เล็ดลอดเข้ามา เท่ากับสร้างภูมิคุ้มกันตัวเราเองให้สูงขึ้นอีก

แต่ผมขอคัดค้านความเห็นที่ได้ยินมาว่า เราไม่ต้องระวังตัว ไปสูดรับเชื้อโอมิครอนเข้าไปเลย จะได้เกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ การตั้งใจไปสูดรับเชื้อ ท่านอาจจะได้รับเชื้อจำนวนมากในทันทีและเข้าไปในปอดเลย ก็จะเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบรุนแรงได้ เชื้อโอมิครอนยังก่อโรคในปอดได้นะครับ จึงไม่คุ้มกับการไปสูดรับเชื้ออย่างตั้งใจ ที่สำคัญกว่านี้คือ หากเราปล่อยให้มีการติดเชื้อในประชากรจำนวนมากอย่างในบางประเทศตอนนี้ อาจจะมีเชื้อกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ได้อีก หากได้สายพันธุ์ที่แพร่กระจายง่ายและก่อโรคในปอดได้รุนแรง เราจะพลาดการใช้โอกาสดีที่จะทำประโยชน์จากการระบาดของเชื้อโอมิครอน ต้องเรียนว่า กว่าเราจะได้สายพันธุ์โอมิครอนนี้มาก็ต้องมีการกลายพันธุ์มาหลายครั้งนานถึงสองปีแล้ว เราจึงต้องพยายามป้องกันการกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ได้อีก

 

ข้อที่สาม

มาตรการการตรวจหาเชื้อ ผมเสนอว่า เราไม่ปิดประเทศ ไม่มี curfew ไม่มี lockdown ระหว่างจังหวัด ผู้ที่จะบินเข้ามาในประเทศ แนะนำให้ทำ RT-PCR ก่อนมา 72 ชั่วโมง (ต้องได้ผลลบ) และให้เลือกว่า จะทำการตรวจแบบ RT-PCR ในวันแรกที่เข้ามาในประเทศหรือจะรอ 7 วัน ผู้ที่ทำ RT-PCR วันแรกและได้ผลลบในคนที่ฉีดวัคซีนอย่างน้อยสองเข็มไม่นานเกิน 3 เดือน ให้ผ่านเลยและให้ใช้วิถีชีวิตใหม่ ขอให้กักตัวแบบ sandbox นาน 7 วันด้วยก็จะดีมากโดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดน้อย ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนหรือเคยฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกิน 6 เดือนไปแล้ว และผู้ที่ไม่เลือกตรวจในวันแรก ให้กักตัว 7 วันแล้วทำ RT-PCR อีกครั้ง ถ้าได้ผลลบ ก็ผ่านได้เลย

หวังว่า การปฏิบัติตามทั้งสามข้ออย่างเคร่งครัด จะช่วยควบคุมการระบาดจากเชื้อโอมิครอน (ถ้าเบียดชนะเดลต้าได้) และทำประโยชน์ให้กับคนไทยมากที่สุดเมื่อโอกาสแบบนี้มาถึงแล้ว หากทำได้ดีคาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะไม่เกิน 10,000 รายต่อวันภายในสิ้นเดือนมกราคมศกนี้ จำนวนผู้เจ็บป่วยรุนแรงจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือรักษาตัวในหออภิบาล จะไม่เกินศักยภาพของโรงพยาบาลที่จะรับไว้รักษา และเชื้อโอมิครอนจะกลายเป็นเชื้อหวัดธรรมดาอย่างที่เราหวังไว้

 

ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ นายแพทย์อมร ลีลารัศมี
นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ฯ และกรรมการแพทยสภา
รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสยาม

 

 


-edit.jpg

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และประธานมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ Wuhan Coronavirus ว่าจากประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กับไข้หวัดนก และไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเมื่อหลายปีที่ผ่านมานั้น ตนหวังว่ามาตรการควบคุมโรคของรัฐบาลจีนและรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในปัจจุบันที่มีมาตรฐานดีขึ้นกว่าเดิมมาก น่าจะช่วยสกัดกั้นไม่ให้การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสตัวนี้ขยายตัวความรุนแรงไปสู่ขั้นวิกฤติทั่วโลกได้

 

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล อธิบายว่า Coronavirus มีอยู่ 7 สายพันธุ์ คือ Alpha Coronavirus 229E, Alpha Coronavirus NL63, Beta Coronavirus CO43, Beta Coronavirus HKU1, Beta Coronavirus MERS – CoV, Beta Coronavirus SARS – CoV, และที่แพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบันคือ Novel Coronavirus 2019 – nCoV

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล กล่าวว่าปัจจุบันความรู้เรื่อง Novel Coronavirus (2019 – nCoV) ยังไม่ตกผลึก ไม่มียา และวัคซีนที่สามารถใช้รักษาและป้องกันโรคนี้ได้ ดังนั้น วิธีต่อสู้กับไวรัสตัวนี้ ก็คือจะต้องใช้มาตรการและเครือข่ายในการตัดวงจรชีวิตของมัน หากไวรัสตัวนี้กลายพันธุ์ ก็จะทวีการแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว และรุนแรงมาก โดยตัวอย่างในอดีตนั้นเคยมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ Spanish Flu ที่รุนแรงมากในปี พ.ศ. 2461 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 30 ล้านคน และการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ Hong Kong Flu ที่มีผู้เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2511 ประมาณ 2 ล้านคน

 

จากรายงานข้อมูลเมื่อปลายเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ Wuhan Coronavirus (2019 – nCoV) มีประมาณ 2 – 3% เปรียบเทียบกับอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก (H5 N1) ที่เคยมีประมาณ 60% อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ Coronavirus MERS ที่เคยมีประมาณ 35% อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ Coronavirus SARS ที่เคยมีประมาณ 10% และอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (Influenza) ที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ปีโดยเฉลี่ย 0.1 – 2.5% แต่ที่น่ากลัวก็คือเชื้อไวรัส Coronavirus (2019 – nCoV) ตัวนี้ มีอัตราการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น 1.5 – 3.3 คน ต่อผู้ป่วย 1 คน เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (Influenza) ที่มีอัตราการติดเชื้อไปสู่ผู้อื่น 1.3 คน ต่อผู้ป่วย 1 คน

จากรายงานสถิติล่าสุดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ติดเชื้อ Novel Coronavirus (2019 – nCoV) ทั่วโลกประมาณ 19,810 คน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 426 คน ภายในห้วงเวลาเพียงประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอุบัติการณ์ที่น่าวิตกมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการแพร่ระบาดของ Coronavirus SARS – CoV ที่มีผู้ติดเชื้อ 8,098 คน และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 774 คน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 – เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2546

 

ณ ปัจจุบันรัฐบาลจีนและองค์การอนามัยโลกยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้จะรุนแรงไปถึงขั้นใด แต่ผู้เชี่ยวชาญและคณะวิจัยไวรัสวิทยาในฮ่องกงพยากรณ์ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และน่าจะถึงจุดสูงสุดในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 จากนั้นความสัมฤทธิ์ผลของมาตรการควบคุมโรค จะมีผลให้ระดับความรุนแรงของการแพร่ระบาดลดลงในลักษณะของเส้นกราฟรูปทรงระฆังคว่ำ แต่ถ้ามาตรการควบคุมโรคล้มเหลวการแพร่ระบาดจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงถึงขั้นวิกฤติในภูมิภาคทวีป หรือทั่วโลก

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล กล่าวว่าโลกปัจจุบันเป็นสังคม IT ที่มีข้อมูลข่าวสารอยู่ทั่วไปทุกหัวระแหงข้อมูลบางอย่างเป็นเพียงข่าวลือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือเพื่อความตื่นเต้น ทำให้เกิดกระแสตื่นตระหนก มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ฉะนั้นประชาชนทุกคนควรให้ความสนใจกับความรู้เบื้องต้น และคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันเชื้อไวรัสตัวนี้ รวมทั้งพึงสังวรถึงอันตรายของไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (Influenza) ที่มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 4 แสนคน ในทุก ๆ ปีด้วย

 

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล เชื่อว่าแพทย์และพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งโรงเรียนแพทย์ทุกแห่งมีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ โดยได้ให้ข้อแนะนำในการดำเนินมาตรการป้องกันและรักษาโรคไว้ดังนี้

  1. รัฐบาลไทยควรให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอื่น ๆ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Wuhan Coronavirus (2019 – nCoV) ภายใต้ผลประโยชน์แห่งชาติไทย
  2. จัดตั้งวอร์รูมสกัดไว้รัสในระดับนานาชาติ โดยร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลและยุทธศาสตร์การป้องกันโรคฯ ในลักษณะเดียวกับที่ตนเคยทำไว้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสไข้หวัดนก และเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เมื่อปี พ.ศ. 2548 ร่วมกับ Dr. Lee Jong Wook ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก และ Mr. Michael O. Leavitte รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ รวม 12 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ บรูไน ภูฏาน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งในครั้งนั้นมีพื้นที่ครอบคลุมภูมิภาค Asia Pacific แต่ในครั้งนี้อาจกระชับลงมาเป็นภูมิภาค Southeast Asia ก็ได้
  3. ประชาสัมพันธ์ความรู้เบื้องต้นและข้อปฏิบัติในการป้องกันเชื้อไวรัสฯ ผ่านสื่อต่าง ๆ และเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคฯ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปไม่ตื่นตระหนก และได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง
  4. พัฒนาการประสิทธิภาพของห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อไวรัสฯ ของโรงพยาบาลระดับจังหวัดทุกแห่ง ให้มีขีดความสามารถรายงานผลการตรวจชันสูตรได้อย่างถูกต้องแม่นยำภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับสิ่งส่งตรวจฯ ตามแนวทางที่ตนได้เคยนำร่องการพัฒนาศักยภาพของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในภูมิภาคต่าง ๆ รวม 6 แห่ง (เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี ชลบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา) เมื่อปี พ.ศ. 2548
  5. กรณีผู้ติดเชื้อ หรือผู้ป่วยมีภูมิลำเนาอยู่ในท้องที่ชนบทที่ห่างไกลในระดับอำเภอ – ตำบล – หมู่บ้าน ให้รีบส่งตัวไปอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของโรงพยาบาลศูนย์ฯ หรือโรงพยาบาลทั่วไปในระดับจังหวัด รวมทั้งจัดเตรียมยาต้านไวรัสให้เพียงพอที่จะแจกจ่ายไปให้โรงพยาบาลชุมชนในระดับอำเภอ และโรงพยาบาลทั่วไปในระดับจังหวัดทุกแห่งที่มีอุบัติการณ์ของโรค

 

ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
อาจารย์ที่ปรึกษา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช
ประธานมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 

 


-อุปสรรคสำคัญของ-นิชิโนะ.jpg

ชั่วโมงนี้ใครที่เป็นคอฟุตบอลหรือเล่นกีฬา คงเฝ้าติดตามการซ้อมของนักฟุตบอลทีมชาติไทย ภายใต้การนำทีมของ “นิชิโนะ” กุนซือใหญ่ชาวญี่ปุ่น ที่มีประวัติยิ่งใหญ่ อย่างการเป็นโค้ชพาทีมชาติญี่ปุ่นชนะทีมชาติบราซิล โค้ชยอดเยี่ยมเจลีก โค้ชยอดเยี่ยมเอเชีย โค้ชที่พาญี่ปุ่นลุยฟุตบอลโลกและทำผลงานได้ดี จนเป็นที่กล่าวขวัญกันถึงทุกวันนี้

 

การมาของโค้ชนิชิโนะ ต่อเติมความหวังให้กับกองเชียร์ชาวไทย

ข่าวคราวความพ่ายแพ้ของทีมชาติไทยต่อทีมชาติในอาเซียนติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งที่ทีมชาติไทยเคยผูกปีชนะมาตลอด โดยเฉพาะทีมชาติเวียดนาม ที่ช่วงหลังทีมชาติไทยแพ้ตั้งแต่ชุดเล็กยันชุดใหญ่ จนล่าสุดทีมชาติไทยเสียความเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนให้กับทีมชาติเวียดนามไป ทำให้เกิดกระแสกดดันไปที่สมาคมฟุตบอลฯ ในการสรรหาโค้ชทีมชาติ และยังกดดันไปถึงตัวผู้เล่นทีมชาติว่า ในที่สุดแล้วโค้ชจะเลือกได้อย่างเหมาะสมไหม ใช้หลักเกณฑ์อะไร รูปแบบการเล่นจะเป็นอย่างไร ผู้เล่นจะปฏิบัติตามได้ดีขนาดไหน มีโอกาสจะชนะมากน้อยแค่ไหน หากพ่ายแพ้หมดรูปจะทำอย่างไร และยังมีอีกหลายเรื่องที่อยู่ในความสนใจ

 

กองเชียร์รวมถึงคนในวงการฟุตบอล มีความคาดหวังที่สูง

เหลืออีกไม่กี่วันจะถึงวันที่ 5 กันยายน ซึ่งเป็นวันแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 กลุ่มจี ที่ทีมชาติไทยจะพบกับทีมชาติเวียดนาม  เท่าที่จับกระแส พบว่ามีกองเชียร์ทีมชาติไทย สื่อมวลชนสายกีฬา คนในวงการฟุตบอลจำนวนมาก มีความคาดหวังต่อการทำงานของโค้ชนิชิโนะ สูงมาก ส่วนใหญ่คาดหวังว่า ทีมชาติไทยภายใต้การนำทีมของโค้ชนิชิโนะ จะเลือกนักฟุตบอลได้อย่างเหมาะสม เลือกแทคติกวิธีการเล่นได้ถูกต้อง และจะชนะทีมชาติเวียดนามต่อหน้าแฟนบอลชาวไทยได้แน่ ๆ สังเกตุได้จากตั๋วการแข่งขันขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว

มีเพียงส่วนน้อยที่มองว่า โค้ชนิชิโนะ ยังไม่รู้จักนักเตะไทยดี เวลาเตรียมทีมน้อย ในทีมมีผู้เล่นทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าต้องใช้เวลาปรับตัวสร้างความคุ้นเคย รวมถึงวิธีการจัดการ การเล่น การคิดแบบเจแปนสไตล์ไม่เหมือนกับไทยสไตล์ ทำให้คาดหวังผลการแข่งขันดี ๆ ยาก

 

ความคาดหวังดังกล่าวอาจกดดัน ต่อผู้เล่นหน้าใหม่

ความคาดหวังที่สูง สามารถกดดันให้เกิดความเครียดได้ ในทางทฤษฏีแล้ว ความเครียดที่เหมาะสม (eustress) จะกระตุ้นให้ผู้เล่นเกิดการปรับตัว ปรับปรุงและพัฒนาการเล่นให้ดีขึ้น ในทางกลับกัน ความเครียดที่มากเกินไป จะเส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ เกิดเป็นความไม่สบายใจ (distress) ส่งผลเสียต่อฟอร์มการเล่น ทั้งของตัวเองและของทีม

โดยหลักการแล้ว ความเครียดสำหรับนักกีฬา สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เริ่มจาก

  • พื้นฐานส่วนตัวของนักกีฬาเอง การมีความคิดบางอย่าง เช่น ตั้งใจมากเกินไป คาดหวังในชัยชนะมากเกินไป กลัวเป็นจุดอ่อนของทีม กลัวทีมจะพ่ายแพ้ ฯลฯ ความคิดเหล่านี้สามารถกดดันให้นักกีฬาเครียดได้
  • ฟุตบอลโดยเฉพาะในการแข่งขันแบบจริงจัง ก่อให้เกิดความเครียดได้ง่าย เนื่องจากเป็นกีฬาที่มีการแข่งขันสูง นับตั้งแต่แข่งขันกันภายในทีม อย่างปัจจุบันทีมชาติไทยมีทั้งผู้เล่นหน้าใหม่ ผู้เล่นหน้าเก่า ผู้เล่นจากลีคในประเทศและลีคต่างประเทศ ซึ่งทุกคนล้วนต้องแข่งขันกันเป็นผู้เล่นตัวจริง และต้องพยายามเล่นให้ดีในสนามเพื่อไม่ให้ถูกเปลี่ยนตัว ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การต้องแข่งขันกับคู่แข่งอย่างทีมชาติเวียดนาม ที่ซ้อมและเตรียมทีมมานานกว่า อีกทั้งปัจจุบันก็ไม่มีทีมจากชาติไหนในอาเชียนที่กลัวทีมชาติไทยแล้ว 
  • สถานการณ์กดดัน การแข่งขันที่จะเกิดในอีกไม่กี่วันนี้ มีความกดดันต่อผู้เล่นในทุกระดับ ไล่ตั้งแต่เพื่อนที่ไม่ติดทีม สโมสรที่สังกัด สมาคมฯ กองเชียร์ทั้งประเทศ และอื่น ๆ โดยมีหลายฝ่ายแสดงความรู้สึกผ่านโซเชียล ออกมาแล้วว่า ไม่สามารถยอมรับผลของความพ่ายแพ้ได้

ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด อีกทั้งความใหม่ต่อนักเตะไทยของโค้ชนิชิโนะ เวลาเตรียมทีมที่สั้น สามารถเปลี่ยนเป็นแรงกดดันต่อผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีโอกาสลงเป็นตัวจริง กลายเป็นความเครียด จนอาจไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้

 

ผลการแข่งขันอาจไม่เป็นใจ “โค้ชนิชิโนะ” ต้องแก้ปัญหาความกดดัน ให้กับผู้เล่นหน้าใหม่

จริงอยู่ จากประสบการณ์ของ “โค้ชนิชิโนะ” น่าจะรู้ดีว่าปัญหาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้กับผู้เล่นหน้าใหม่ ดังนั้นนอกเหนือจากการโค้ชเรื่องแทคติก รูปแบบและวิธีการเล่นให้กับผู้เล่นทุกคน ซึ่งก็ถือว่ายากถึงยากมากอยู่แล้ว โค้ชนิชิโนะจะต้องสังเกตบุคลิกหรืออารมณ์ของผู้เล่นหน้าใหม่ หาวิธีลดความกดดันจากความคิดของผู้เล่นหน้าใหม่เอง หาวิธีลดความกดดันจากภายนอก เช่น ห้ามเล่นโซเชียล ซ้อมระบบปิด อาจจะต้องใช้วิธีนั่งประกบพูดคุยเป็นรายคน  อีกทั้งยังต้องสร้างสปิริตของความเป็นทีม สนับสนุนและสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีม ผสมผสานความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นใหม่และเก่า ผ่านการซ้อมที่มีระเบียบวินัยแบบเจแปนสไตล์ แต่ผ่อนคลาย ยืดหยุ่นแบบไทยสไตล์

จากที่กล่าวมา ความคาดหวังที่สูง อาจกดดันให้ผู้เล่นทีมชาติ โดยเฉพาะหน้าใหม่ ๆ ทำให้ไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่ดี ทำให้ผลการแข่งขันที่ได้อาจไม่เป็นใจ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆกับทีมชาติในเกมที่มีความคาดหวังสูง ถึงจุดนี้ขอแนะนำว่า ควรเผื่อใจไว้บ้างสำหรับกองเชียร์ที่คิดว่าทีมชาติไทยต้องชนะ และสามารถประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น เพราะที่นี่ประเทศไทย ไม่ใช่ญี่ปุ่น

 

เรียบเรียงบทความ : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : อินเทอร์เน็ต

ข้อมูลอ้างอิง

  1. สยามกีฬา www.siamsport.co.th
  2. ผศ.นพ. พนม เกตมาน. ความเครียดในนักกีฬา. (28 ส.ค. 2562) www.psyclin.co.th

 


healthy-bedclothes.jpg

มนุษย์เราใช้เวลาในการนอน ประมาณ 1 ใน 3 ของชีวิต ช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของร่างกาย โดยร่างกายจะมีกลไกสำคัญ ๆ ในช่วงเวลานอน เพื่อให้ร่างกายพร้อมมากที่สุดภายหลังการตื่นนอน ดังนั้นคุณภาพการนอนจึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ของทุก ๆ คน

 

อ่านย่อหน้านี้ แล้วจะรักการ “นอนหลับ”

สำหรับใครที่ก่อนหน้านี้เข้าใจว่า การนอนหลับเป็นเวลาที่ทุกระบบในร่างกายหยุดหมดนั้น ความจริงแล้วไม่เป็นแบบนั้น การนอนหลับ สามารถแบ่งเป็น 2 ช่วงหลัก ๆ คือ ช่วงหลับธรรมดา (non-rapid eye movement (NREM) sleep) และช่วงหลับฝัน (Rapid Eye Movement (REM) Sleep) รวมเป็นวงจรการนอนหลับสลับไปมาในระหว่างที่เรานอนหลับ จนกระทั่งตื่น
โดยช่วงหลับธรรมดายังแบ่งย่อยเป็น เริ่มง่วง หลับตื้น หลับปานกลาง หลับลึก ในทุกช่วงของการนอนหลับระบบต่าง ๆ ในร่างกายยังคงทำงานอยู่ ยกตัวอย่างที่สำคัญ ๆ เช่น ช่วงหลับลึก เป็นช่วงหลับสนิทที่สุดของการนอน กินเวลา 30 – 50 นาทีในแต่ละรอบการนอน ร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น Growth hormone เพื่อการเจริญเติบโต มีการซ่อมแทรมส่วนที่สึกหรอ
หรือช่วงหลับฝัน กินเวลา 30 นาทีในแต่ละรอบการนอน ช่วงนี้สมองจะมีการจัดการข้อมูลต่างๆที่เข้ามา ทำให้เกิดเป็นความทรงจำ ความเข้าใจ และอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นในการดำเนินชีวิต

จะเห็นได้ว่าช่วงเวลานอนนั้น หลาย ๆ ระบบในร่างกายยังคงทำงาน ทั้งเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การหลั่งของฮอร์โมนต่าง ๆ โดยเฉพาะฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต การหลั่งของสารที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานของร่างกาย การจัดระเบียบความคิดและความจำ การคลายความเหน็ดเหนื่อย ความเครียด รวมถึงการสะสมพลังงานเพื่อใช้ในขณะตื่น

 

ผลเสียของการนอนไม่หลับ นอนไม่พอ

การอดนอน นอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงการนอนเกินจะส่งผลต่อสุขภาพ มีการศึกษาพบว่าคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง หรือมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อคืน มีผลต่ออัตราการตายที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการนอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมง ติดต่อกัน 6 คืน จะเกิดความผิดปกติในการเผาผลาญกลูโคส การใช้อินซูลิน ส่งผลให้เสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อกระบวนการจำ คิดและตัดสินใจอีกด้วย

 

ปัจจัยที่มีผลต่อการคุณภาพการนอน

ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพการนอนมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเพศ วัย อาชีพ สภาพแวดล้อม สุขนิสัย ความเจ็บป่วย โดยผู้สูงอายุมักจะมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งจากฮอร์โมน ความคิดและอื่น ๆ ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีคุณภาพการนอนที่แย่ลง
มีเทคนิคแก้นอนหลับไม่สนิทอยู่หลายข้ออาทิ ทำกิจกรรมคลายเครียดก่อนเข้านอน ออกกำลังกายช่วงเย็น อาบน้ำอุ่นก่อนนอน ปรับเวลาเข้าและตื่นนอน ปรับบรรยากาศห้องนอนให้น่านอน เพลงกล่อมนอน เป็นต้น

 

“ที่นอน” อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพการนอน

อุปกรณ์การนอนโดยเฉพาะ “ที่นอน” เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญต่อคุณภาพการนอน เนื่องจากสรีระของผู้นอนที่แตกต่างกัน ทั้งความสูง น้ำหนักตัว เพศชายหญิง โดยการที่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด
ท่านอนที่มีไม่มากเป็นเวลานานหลาย ๆ ชั่วโมง ล้วนส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ตัวอย่างเช่น ที่นอนที่ไม่ได้มาตรฐานหรือท่านอนที่ผิด อาจส่งผลต่อระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อของผู้นอน เป็นต้น บางคนตื่น ๆ หลับ ๆ
บางคนตื่นมาแล้วยังรู้สึกง่วงนอนอยู่ บางคนรู้สึกปวดหลัง  ปวดแขน ปวดขา หลังจากตื่นนอน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจเป็นผลมาจากคุณภาพ “ที่นอน” ที่ใช้อยู่ประจำ

 

คุณลักษณะของ “ที่นอน” ที่ดี

ที่นอนที่ดีนั้นไม่ควรนิ่มหรือแข็งจนเกินไป โดยที่นอนแบบนิ่ม จะมีผลทำให้ปวดหลังได้มากกว่าที่นอนแบบแข็ง โดยที่นอนที่เก่า มีการใช้งานมานาน มีความนิ่มไม่คืนตัว เป็นแอ่งกระทะ ผู้นอนจะเกิดอาการปวดหลัง  หายใจไม่สะดวก ทำให้นอนไม่หลับ สะสมจนเกิดอาการนอนไม่พอ
นอกจากนี้ที่นอนยังควรมีโครงสร้างที่เหมาะสม เช่น ความแน่น จำนวนชั้น วัสดุ รูปทรง ที่สามารถรองรับน้ำหนักและสภาพร่างกายที่แตกต่างกันของผู้นอนได้ ทั้งนี้ควรรวมถึงการรองรับอย่างเหมาะสม ในเวลาที่ผู้นอนขยับตัว ทั้งการดิ้น พลิกตัว หรือลุกตื่นจากการนอน

 

ประเภทของที่นอน

  • ที่นอนฟองน้ำ เป็นที่นอนที่นำฟองน้ำมาอัดใส่ข้างในโดยผสมสารเคมี ทำให้ที่นอนมีความแข็งแรง ไม่ยุบเร็ว น้ำหนักเบา ความนุ่มนิ่มจากฟองน้ำคือ คุณสมบัติหลักของที่นอนประเภทนี้ แต่ต้องแลกับคุณสมบัติในการคืนตัวของที่นอนที่มีต่ำ เสี่ยงต่อการเป็นแอ่งเว้าโค้งตามบริเวณที่มีน้ำหนักกดประจำ ที่นอนฟองน้ำเหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประหยัด ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนปวดหลังง่าย
  • ที่นอนใยมะพร้าว ผลิตขึ้นจากการอัดของเส้นใยแข็งที่ได้มาจากกาบมะพร้าว ทำให้ที่นอนใยมะพร้าวค่อนข้างมีความแข็ง ไม่ยวบยาบ ไม่ยุบตัว มีความแน่นทึบ คงสภาพดี ระบายอากาศได้ดี เป็นมิตรต่อธรรมชาติ แก้อาการปวดหลังจากการนอนบนที่นอนนิ่มและยุบตัวง่าย แต่หากหมดสภาพแล้ว ใยมะพร้าวจะเริ่มลุ่ย เป็นขุย เกิดเชื้อราจากความชื้น และอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ
  • ที่นอนสปริง เป็นที่นอนที่มีการผลิตและจัดจำหน่ายเยอะที่สุด คุณภาพแตกต่างกันไปในแต่ละรูปแบบของสปริง เช่นเดียวกับราคา ที่นอนสปริงมีความยืดหยุ่นสูง ไม่สะสมความชื้น ยิ่งมีน้ำหนักมากยิ่งมีสปริงมาก ทำให้รับสรีระส่วนที่โค้งเว้าได้ดี จุดเด่นของที่นอนประเภทนี้ คือที่นอนจะเด้ง นุ่ม น้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ทั้งนี้ประเภทของสปริงแต่ละแบบ ก็มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป โดยยิ่งมีจำนวนรอบเกลียว มาก ก็จะยิ่งยืดหยุ่นและรับน้ำหนักได้ดี ข้อเสียของที่นอนสปริง คือสปริงจะยุบ ล้ม และล้าได้ตามคุณภาพของวัสดุและจำนวนสปริง
  • ที่นอนยางพารา เป็นที่นอนที่มีคุณสมบัติคล้ายที่นอนฟองน้ำ แต่มีความยืดหยุ่นและทนทานกว่า สามารถรองรับสรีระความโค้งเว้าทุกส่วนของผู้นอนได้ดี ไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ทำให้นอนหลับได้สบายตัว ไม่เมื่อย ไม่ปวดหลังเวลาตื่นนอน เป็นที่นอนที่ได้รับการยอมรับและนิยมใช้กันในหลายประเทศ ทั้งนี้ควรใช้ที่นอนยางพาราแท้เพื่อผลลัพธ์ที่ดี เนื่องจากที่นอนยางพาราแท้จะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าที่นอนประเภทอื่น ๆ นิ่มกำลังดี คงทน ไม่ยุบตัวง่าย ไม่ปวดเมื่อย ไม่สะสมความชื้น รักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ผู้นอนสามารถนอนได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เมื่อเทียบกับที่นอนประเภทอื่นแล้ว ที่นอนยางพารามีราคาที่สูงกว่า

การใช้เวลา 1 ใน 3 ของชีวิต และเป็นเวลาสำคัญที่ร่างกายพักฟื้น ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หลั่งสารเคมีกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ เสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย จัดระเบียบความคิดและความจำ การคลายความเหน็ดเหนื่อย ความเครียด สะสมพลังงานเพื่อใช้ในขณะตื่น ดังนั้นช่วงเวลานอนหลับจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ทุกๆคนจึงควรใส่ใจกับลักษณะของที่นอนมากอันส่งผลถึงคุณภาพของการนอนมากยิ่งขึ้น

 

เรียบเรียงโดยกองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : อินเทอร์เน็ต

ข้อมูลอ้างอิง

  1. ความรู้เรื่องการนอนหลับ
  2. 10 เทคนิคช่วยนอนหลับสนิทตลอดคืน
  3. รู้จักที่นอนและการเลือกที่นอนให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดี

 


-ไม่ตาย-กลับบ้านแน่-ๆ.jpg

ข่าวคราวการเสียชีวิตของนักวิ่งจากการเข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอน ซึ่งล่าสุดใน 1 อีเวนต์ มีนักวิ่งเสียชีวิตทั้งขณะวิ่ง และภายหลังวิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว ไม่นับรวมกีฬาประเภทอื่น เช่น แบดมินตัน ถ้าใครอยู่ในวงการจะเห็นข่าวคราวการเสียชีวิตระหว่างการเล่น ติดต่อกันหลายอาทิตย์ ทั้งนักกีฬาสมัครเล่นและนักกีฬาอาชีพ ทำให้เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักกีฬา ถึงความปลอดภัย และทำอย่างไรให้มั่นใจได้ว่าภายหลังเล่นหรือแข่งเสร็จแล้ว จะไม่ตายหรือปลอดภัยได้กลับบ้านไปหาครอบครัวแน่ ๆ

 

อัตราการเสียชีวิตจากการออกกำลังกาย ทั่วโลกอยู่ที่ 1: 80,000 – 200,000 โดยการเสียชีวิตส่วนใหญ่จะมาจากโรคแฝง ที่นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ๆ ไม่รู้ หรือรู้และอยู่ในระหว่างการรักษาหรือการควบคุม โอกาสที่จะเสียชีวิตในคนที่แข็งแรงไม่มีโรคแฝงจากการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาโดยตรงนั้น มีโอกาสเกิดน้อยกว่า

 

สาเหตุการเสียชีวิต จากการเล่นกีฬา

สำหรับการเสียชีวิต ซึ่งเกิดในระหว่างการแข่งขันกีฬา เช่น การวิ่ง การเตะฟุตบอล การเล่นแบดมินตัน โดยเฉพาะในการวิ่งระยะไกล ๆ นั้น มักจะมาจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับหัวใจเป็นหลัก โดยมีโอกาสเกิดสูงในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีอายุ ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีประวัติเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ไขมันสูง ความดันสูง มีเบาหวาน สูบบุหรี่ อ้วน เป็นต้น เมื่อต้องออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยเฉพาะเมื่อนานเกิน 1-2 ชม. อยู่ในภาวะที่ร้อนจัดหรือความชื้นสูง หรือเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะไม่พร้อม เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึกก่อนแข่ง มีภาวะเจ็บป่วยเช่นเป็นไข้หวัดหรือท้องเสียอยู่ก่อน หากมีภาวะเหล่านี้จะมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตระหว่างการเล่นกีฬาสูงขึ้น

สาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิตจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก มักจะเกิดจากการที่มีลิ่มเลือด หรือก้อนไขมันที่เกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ (atherosclerotic plaque) หลุดไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวายหรือเสียชีวิตเฉียบพลันได้  โดยที่อาจไม่มีอาการเตือนนำมาก่อน เพราะภาวะนี้ (atherosclerosis) อาจไม่มีอาการในขณะที่ดำเนินชีวิตปกติ และนอกจากนี้การตรวจสุขภาพประจำปีโดยทั่วไป เช่น การตรวจเลือด เอกซเรย์ทรวงอก หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram, ECG) อาจไม่พบความผิดปกติได้ ทำให้ผู้เล่นกีฬาส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่ามีโรคแฝงอยู่ สำหรับนักกีฬาที่อายุน้อยกว่า 40 ยังอาจเสียชีวิตจากโรคหัวใจผิดปกติอื่น ๆ ได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจโตผิดปกติ หรือโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

นอกจากการเสียชีวิตจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับโรคหัวใจแล้ว ยังมีโรคลมร้อน (Heat stroke) อีกโรคหนึ่งที่อาจทำให้นักกีฬาเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน โดยจะมีความเสี่ยงสูงในกลุ่มผู้ที่ปกติไม่ค่อยออกกำลังกาย แล้วไปออกกำลังกายหักโหม หรือไปวิ่งเป็นเวลานานทันที ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เป็นไข้หวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานยาแก้หวัดลดน้ำมูกบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อการขับเหงื่อและขับความร้อนออกจากร่างกายได้น้อยลง

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การออกกำลังกายในพื้นที่มีความร้อนและความชื้นสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไปเป็นต้น

 

อาการเตือนที่ต้องสังเกต ในระหว่างเล่นกีฬา

ทั้งนี้ผู้เล่นกีฬาควรต้องสังเกต อาการเตือนที่สำคัญ ๆ ในระหว่างเล่นกีฬา โดยถ้ามีอาการอย่าฝืน หรือพยายามเล่นต่อเด็ดขาด อาการดังกล่าว ได้แก่ 1. การเจ็บแน่นหน้าอก โดยอาจลามไปจนถึงช่วงแขน คอ กราม ใบหน้าหรือช่องท้อง และ 2. เวียนหัว หน้ามืดจะเป็นลม หรือเหงื่อแตกใจสั่น หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบบอกเพื่อน ผู้เล่น กรรมการเพื่อส่งให้หน่วยพยาบาลปฐมพยาบาล หรือไปโรงพยาบาลทันที หากไม่มีหน่วยช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ ใหโทรศัพท์ไปที่เบอร์สายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

ตารางที่ 1 แสดง ถึง Target heart rate zone ที่แนะนำให้ออกกำลังกาย และ maximum heart rate แบ่งตามอายุ1

 

WordPress Tables Plugin

 

ข้อแนะนำในการลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิต ในขณะเล่นกีฬา

  1. ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจร่างกายตามระดับความเสี่ยง เช่น อายุมาก มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ อาจต้องทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เอคโค่หัวใจ (echocardiogram) การวิ่งสายพาน (exercise stress test, EST) หรือการตรวจอื่น ๆ ที่เหมาะสมสำหรับผู้เล่นกีฬาแต่ละราย ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดและค่าใช้จ่ายในการตรวจจากโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยภายหลังการตรวจ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด
  2. ควรมีการฝึกซ้อมก่อนแข่งอย่างเพียงพอ โดยมีรูปแบบการฝึกทั้งแบบ interval หนักสลับเบา แบบ tempo หนักต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความทนทาน การฝึกเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น เป็นต้น ที่สำคัญต้องค่อยๆ เพิ่มระดับความหนักอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบเร่ง มีวันพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้มีการปรับตัว
  3. ถึงวันแข่งหรือวันเล่นกีฬา ให้เล่นหนักเหมือนกับที่ซ้อมมา หรืออาจเล่นหนักมากขึ้นได้อีกเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายคุ้นเคยกับระดับความหนักของการเล่นระดับนี้มาแล้ว อันตรายมากหากซ้อมน้อย แต่ไปมุ่งมั่นเอาจริง เอาจัง เฉพาะตอนแข่ง ซึ่งหัวใจจะทำงานหนักเกินขีดจำกัด และมีความเสี่ยงสูงอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยจนเสียชีวิตได้
  4. สำหรับการวิ่ง นักวิ่งควรมีการคุมชีพจรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่แช่อยู่ใน HR zone สูง ๆ เป็นเวลานาน (ดูตารางที่ 1) ควรดื่มน้ำ เติมเกลือแร่ทุกครั้งที่วิ่งเมื่อถึงจุดที่ผู้จัดเตรียมไว้ นอกจากนี้ควรสอบถามผู้จัดการแข่งขันถึงรายละเอียดด้านการปฐมพยาบาลที่ผู้จัดเตรียมไว้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้แก้สถานการณ์ได้ทันท่วงที
  5. หากพบอาการเตือน เช่น แน่นหน้าอก เวียนหัว หน้ามืดจะเป็นลม อย่าฝืนเล่นหรือวิ่งต่อ ให้หยุดพัก แจ้งหน่วยพยาบาลของการแข่งขัน ตามช่องทางที่ผู้จัดเตรียมไว้ทันที
  6. นอกจากนี้ควรหาเวลาเข้าอบรมการทำ CPR หรือการปั้มหัวใจ เผื่อมีโอกาสในการช่วยผู้เล่นกีฬาคนอื่นๆได้

ถึงตอนนี้แล้ว เพื่อนๆคงมั่นใจมากขึ้นว่า นอกจากความสนุกที่ได้จาการเล่นกีฬาแล้ว การใส่ใจในรายละเอียดทางด้านสุขภาพให้มากขึ้น จะทำให้ทุกคนปลอดภัย กลับไปหาคนที่คุณรักได้อย่างแน่นอน

 

พ.อ. นพ. กิจจา จำปาศรี
กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ภาพประกอบจาก : www.heart.org

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Know Your Target Heart Rates for Exercise, Losing Weight and Health. Fitness Basics, HEART.ORG
  2. กระทรวงสาธารณสุข แนะนักวิ่งมาราธอนประเมินความพร้อมทางกาย https://tna.mcot.net

 

 


-pemphigus.jpg

โรคเพ็มฟิกัส (Pemphigus) หรือโรคตุ่มน้ำพองเรื้อรังในผู้สูงอายุ เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ เกิดการสร้างสารโปรตีนกลุ่มอิมมูโนโกลบูลินไปทำลายการยึดเกาะกันของเซลล์ผิวหนัง จึงเกิดการแยกตัวของผิวหนังในชั้นหนังกำพร้ำ หรือบริเวณรอยต่อระหว่างหนังกำพร้าและหนังแท้ โรคนี้พบไม่บ่อย มีรายงานอุบัติการณ์ตั้งแต่ 0.5 – 3.2 รายต่อประชากรแสนคน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละเชื้อชาติ โดยพบความชุกของโรคสูงในกลุ่มประชากรเชื้อชาติยิว ยังไม่มีรายงานอุบัติการณ์การเกิดโรคในประเทศไทย ผู้ป่วยที่เป็นโรคมักมีอายุเฉลี่ยที่ 50 – 60 ปี อย่างไรก็ตาม โรคตุ่มน้ำพองเรื้อรัง ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถรักษาได้ สามารถพบได้ทุกวัย รวมถึงในเด็ก เพศชายและหญิงมีโอกาสเกิดโรคเท่ากัน

 

โรคนี้มีอาการอย่างไร

อาการโดยทั่วไปคือ มีตุ่มน้ำพองขนาดต่าง ๆ เกิดขึ้นที่ผิวหนัง บางรายอาจเกิดที่เยื่อบุต่าง ๆ ร่วมด้วย โดยที่ 50 – 70% มีอาการแผลในปากเรื้อรังเป็นอาการแรก ซึ่งอาจนำมาก่อนอาการทางผิวหนังเฉลี่ยประมาณ 5 เดือน เมื่อตุ่มน้ำแตกจะเกิดแผล หรือรอยถลอก ร่วมกับสะเก็ดน้ำเหลืองทำให้มีอาการเจ็บ ถ้าเกิดตุ่มน้ำพองหรือแผลในปากจะทำให้เจ็บแสบ กลืนอาหารไม่สะดวก บางรายผิวหนังที่ถลอกหรือเป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเป็นหนอง ถ้าเป็นรุนแรง เชื้อโรคอาจเข้าสู่กระแสเลือดทำให้มีไข้ หรืออาการอื่น ๆ ได้

 

มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายร่วมกับมีปัจจัยทางพันธุกรรม หรือสิ่งแวดล้อมอื่น เช่น เชื้อโรคหรือสารเคมีเป็นปัจจัยกระตุ้น อย่างไรก็ตามโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกันไม่ใช่โรคติดต่อ

 

การวินิจฉัย

โรคนี้วินิจฉัยจากประวัติและอาการทางผิวหนัง ร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ซึ่งมีลักษณะที่จำเพาะ คือ การพบการแยกตัวออกจากกันของชั้นผิวหนัง ซึ่งในโรค pemphigus vulgaris จะพบว่า ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าจะมีการแยกตัวในระดับล่าง ส่วนในโรค pemphigus foliaceus จะพบว่า ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าจะมีการแยกตัวในระดับบน นอกจากนี้ยังมีโรคเพมพิกอยด์ (bullous pemphigoid) ซึ่งลักษณะจะเป็นตุ่มน้ำเต่งแตกยาก (tense bullae) และพบแผลในเยื่อบุเพียง 20 – 30% โดยลักษณะทางชิ้นเนื้อในโรคเพมพิกอยด์จะพบการแยกชั้นผิวหนังบริเวณรอยต่อของหนังแท้และหนังกำพร้า และการตรวจพิเศษทางอิมมูนที่จะพบลักษณะจำเพาะ

 

โรคนี้วิธีการรักษาอย่างไร

ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีความรุนแรงของโรคแตกต่างกัน ในช่วงที่โรคกำเริบ การรักษามีจุดประสงค์ในการลดการเกิดตุ่มน้ำใหม่และเร่งการสมานแผลให้เร็วที่สุด ยาที่ใช้รักษาหลักคือ ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทานโดยใช้ในขนาดสูง 0.5 – 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคมากหรือมีผื่นในบริเวณกว้าง จำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่น ๆ เช่นยา cyclophosphamide หรือยา azathioprine ร่วมด้วย แล้วค่อย ๆ ปรับลดยาลงช้า ๆ โดยใช้ยาที่น้อยที่สุดที่จะควบคุมโรคได้ ยาอื่น ๆ ที่อาจเป็นทางเลือกในการรักษาร่วมกับยาสเตียรอยด์ ได้แก่ ยา dapsone หรือยา mycophenolic acid

 

การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย

โรคในกลุ่มนี้ มีความรุนแรงต่างกัน โรคกลุ่มนี้ เป็นโรคเรื้อรังอาการของโรคอาจกำเริบและสงบสลับกันไป ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรมารับการตรวจรักษาโดยสม่ำเสมอและรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งโดยเคร่งครัด


เนื่องจากผู้ป่วยมักจะได้รับยาที่กดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตัวดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อ ไม่ไปในสถานที่แออัดเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

 

ถ้ามีอำการที่บ่งถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

  • ไม่รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรือไม่สะอาด
  • ถ้าโรคยังไม่สงบ ไม่ควรตั้งครรภ์ เนื่องจากยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ถึงแม้ว่าโรคสงบแล้ว ถ้าจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์
  • เพราะแพทย์อาจจะยังให้ยาบางชนิดเพื่อควบคุมโรคไม่ให้กำเริบ ซึ่งอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้เช่นกัน
  • ผู้ป่วยที่ได้รับยาเพรดนิโซโลน ถ้ามีอำการปวดท้อง อุจจาระดำ หรืออาเจียนเป็นเลือดควรรีบพบแพทย์
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่้ำเสมอ
  • ดื่มนมสด หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนจากยา


ผู้ป่วยที่มีตุ่มน้ำแตกเป็นแผลในปากควรปฏิบัติดังนี้

  • ใช้น้ำเกลือ (Normal saline) อมกลัว บ้วนปาก บ่อย ๆ หรือทุกครั้งหลัง
  • รับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากหรือยาฆ่าเชื้อในช่องปากที่เข้มข้น
  • หลีกเลี่ยงการแปรงฟันแรง ๆ เนื่องจากจะทำให้แผลถลอกมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดโดยเฉพาะ อาหารเผ็ดหรือเปรี้ยว จะทำให้แสบหรือเจ็บแผลมากขึ้น


สำหรับผื่นที่ผิวหนัง ควรปฏิบัติดังนี้

  • หลีกเลี่ยง การประคบหรือพอกแผลด้วยสมุนไพร หรือยาใด ที่แพทย์ไม่ได้เป็นผู้สั่ง
  • ถ้ำต้องการทำความสะอำดแผล ควรใช้น้ำเกลือ (Normal saline) เช็ดเบา ๆ อาจใช้ยาทา เช่น ยาครีมฆ่าเชื้อ ไม่ควรเปิดแผลบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังหลุดถลอก

ลักษณะตุ่มน้ำและแผลถลอกในผู้ป่วยเพมฟิกัส

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
เอกสาร โรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก : สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
สแกน QR code เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมจากสถาบันโรคผิวหนังได้ที่

 


Banner-19-น่ารู้-เรื่องของสมองผู้หญิง-1600x250-01112017-1-1280x416.jpg

19 เรื่องน่ารู้ สมองของผู้หญิง โดยสมองของคนเรานั้นน่าอัศจรรย์มากค่ะ เพราะเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนแต่ลงตัว และสำหรับสมองของผู้หญิง-ผู้ชายก็มีความแตกต่างกัน ส่งผลให้ความคิด การกระทำ และความถนัดของทั้งสองเพศแตกต่างกันไปอีกด้วย มารู้จักสมองของคุณให้มากขึ้นกันดีกว่า

 

1. สมองส่วนหน้าของผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย

ขนาดของสมองส่วนหน้า (Frontal Lobe) และสมองส่วนอารมณ์ (Temporal Lobe) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการตอบสนองทางอารมณ์ของผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงแก้ปัญหาต่าง ๆ และมีทักษะในการใช้ภาษาและอารมณ์ได้ดีกว่า

 

2. สมอง 2 ซีกของผู้หญิงเชื่อมต่อกันตลอดเวลา

สมองของผู้หญิงมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองสองซีกอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้ผู้หญิงถนัดนักเรื่องการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน

 

3. สมองส่วนลิมบิกของผู้หญิงมีหยักลึกใหญ่

สมองส่วนลิมบิก (Limbic Brain) ของผู้หญิงจะมีหยักลึกใหญ่ ส่งผลให้ผู้หญิงมีความรู้สึกที่ละเอียดจับอารมณ์และความรู้สึกได้เร็วกว่า แสดงอารมณ์ได้ละเอียดลออ จึงมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์หรือประสานความสัมพันธ์ได้ดีกว่า

 

4. ผู้หญิงใช้สมองทั้งสองซีกในการสื่อสาร

ผู้หญิงจะใช้สมองทั้งสองซีกในเรื่องการสื่อสารและภาษา ดังนั้น ถ้าสมองซีกซ้ายที่ปกติเป็นส่วนที่ดูแลเรื่องภาษาถูกทำลาย ผู้หญิงก็ยังจะสามารถใช้สมองซีกขวาในการสื่อสารได้

 

5. ผู้หญิงมีสมองส่วนคอร์ปัส คอลโลสสัม ที่ใหญ่กว่าผู้ชาย

ผู้หญิงนั้นมีคอร์ปัส คอลโลสสัม (Corpus Callosum) เป็นส่วนที่เส้นประสาทสมองมีการเชื่อมต่อกันมีขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงใช้สมองทั้ง 2 ซีกประสานการทำงานได้ดี ทำให้ผู้หญิงจัดการความคิดของตัวเองได้รวดเร็วกว่า

 

6. ผู้หญิงมีสมองฮิปโปแคมปัสใหญ่กว่าในผู้ชาย

ผู้หญิงจะมีสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากกว่า และสามารถระลึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ที่สะเทือนจิตใจได้ดีกว่าผู้ชาย


Banner-ทำอย่างไรจึงป้องกันโรคภูมิแพ้ได้-1600x520-02112017-1280x416.jpg

อุบัติการของโรคภูมิแพ้จากการสำรวจทั่วโลก และการสำรวจในประเทศไทยเอง พบว่า เพิ่มขึ้น 3 – 4 เท่า ภายในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้ประเทศไทยมีอุบัติการของโรคภูมิแพ้โดยเฉลี่ยดังนี้ คือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 23 – 30 โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหืด ร้อยละ 10 – 15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหาร ร้อยละ 5 โดยอุบัติการในเด็กจะสูงกว่าในผู้ใหญ่

โรคภูมิแพ้นั้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่กว่าคนปกติ เช่น ไม่สามารถนอนหลับได้ตามปกติ, เรียนและทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก หูชั้นกลางอักเสบ นอนกรน ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผิวหนังติดเชื้อ

 

สาเหตุของโรคภูมิแพ้เกิดจาก

กรรมพันธุ์ และ สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าถ้าบิดาหรือมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะทำให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 30 – 50 แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะมีผลให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงร้อยละ 50 – 70 ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลยมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียงร้อยละ 10 เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขปัจจัยทางกรรมพันธุ์ได้ การควบคุมสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา ตลอดจนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ในบุตรได้

 

ทำไมการรับประทานอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมจึงป้องกันโรคภูมิแพ้ได้

เนื่องจากโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่สามารถถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ และมีการศึกษาที่แสดงว่า สิ่งแวดล้อมและอาหารเป็นปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญของการเกิดโรคภูมิแพ้ ดังนั้นการกำจัดและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ตั้งแต่แรกในเด็กที่เกิดในครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ (ซึ่งเป็นเด็กที่มีความเสี่ยงสูง) และการให้เด็กดื่มนมมารดาจะสามารถป้องกันไม่ให้เด็กเหล่านี้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีโรคภูมิแพ้ร่วมกันหลายชนิด เช่นเด็กที่เป็นผื่นแพ้ผิวหนังอาจพบมีการแพ้อาหารร่วมด้วย ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะสามารถลดอัตราการเกิดของการแพ้อาหารได้ การดื่มนมมารดาหรือนมสูตรพิเศษ (extensively hydrolyzed formula หรือ partially hydrolyzed formula) ซึ่งเป็นนมที่มีการสลายโปรตีนที่ทำให้เกิดการแพ้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้การดื่มนมที่ผสมจุลินทรีย์สุขภาพ (probiotic bacteria) เช่น แลคโตบาซิลลัส และบิฟิโดแบคทีเรียม ซึ่งเป็น จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันและลดอัตราการเกิดผื่นแพ้ผิวหนังได้

 

รับประทานอย่างไรจึงป้องกันโรคภูมิแพ้ได้

เด็กที่มีประวัติครอบครัวที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมและรับประทานอาหารที่มีโปรตีนซึ่งก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย โดยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้

  • ทำอย่างไร จึงป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ดื่มนมมารดาอย่างน้อย 6 เดือน แต่ไม่ต้องจำกัดอาหารเป็นพิเศษสำหรับมารดาช่วงระยะตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • กรณีที่ไม่สามารถให้นมมารดาได้ ควรเลี้ยงบุตรด้วยนมสูตรพิเศษจนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี
  • ไม่ควรเลี้ยงบุตรด้วยนมวัว และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบจนกระทั่งเด็กมีอายุ 1 ปี
  • ไม่แนะนำให้ดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ นมแกะ ทั้งนี้เนื่องจากมีโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้เช่นเดียวกับการแพ้นมวัว
  • ควรให้อาหารเสริมเมื่อเด็กมีอายุ 6 เดือน โดยแนะนำให้เด็กรับประทานอาหารเสริมทีละชนิด และสังเกตว่ามีการแพ้อาหารที่ให้หรือไม่ภายในหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะให้อาหารเสริมชนิดใหม่ อาหารเสริมที่ทำให้เกิดอาการแพ้น้อย ได้แก่ ข้าวบด กล้วยน้ำว้า ฟักทอง น้ำต้มหมู น้ำต้มไก่
    ผักใบเขียว
  • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไข่และอาหารที่มีไข่เป็นส่วนประกอบ จนกระทั่งเด็กมีอายุ 2 ปี
  • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วและปลาจนกระทั่งเด็กมีอายุ 3 ปี

ทำอย่างไร จึงป้องกันโรคภูมิแพ้ได้สำหรับเด็กที่ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ ควรดื่มนมมารดาอย่างน้อย 6 เดือน แต่ไม่จำเป็นต้องงดอาหารบางอย่างที่แพ้ง่าย (เช่น ไข่ ถั่ว ปลา) อาจเพิ่มสารอาหารอื่นๆ ที่อาจเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ ได้แก่ สังกะสี วิตามินเอ ซิลีเนียม และนิวคลีโอไทด์ นอกจากนั้น การบริโภคกรดไขมันไม่อิ่มตัวบางชนิด เช่น docosahexaenoic acid (DHA) ในปริมาณที่เหมาะสม อาจช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ได้

นอกจากการรับประทานอาหารที่เหมาะสมแล้ว ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น ไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง เชื้อรา แมลงสาบ ตั้งแต่ขวบปีแรก โดย

  • ใช้เครื่องเรือนน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนอน
  • งดใช้พรมปูพื้น ไม่ใช้เก้าอี้นอนหรือเครื่องเรือนที่บุด้วยผ้า ไม่ใช้ที่นอนหรือหมอนที่ทำด้วยนุ่น หรือขนสัตว์ ควรใช้ชนิดที่ทำด้วยใยสังเคราะห์หรือฟองน้ำ ควรคลุมที่นอน และหมอนด้วยผ้าพลาสติก หรือผ้าไวนิล หรือผ้าหุ้มกันไรฝุ่น
  • ไม่สะสมหนังสือหรือของเล่นที่มีขน
  • ซักผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มทุก 1 – 2 สัปดาห์ โดยใช้น้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
  • ดูดฝุ่น เช็ดถูทำความสะอาดพื้นและเครื่องเรือน เพื่อขจัดฝุ่นละอองเป็นประจำ\ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขน เช่น สุนัข แมว
  • ภายในบ้าน พยายามอย่าให้เกิดความชื้น หรือมีบริเวณอับทึบภายในบ้าน เพื่อป้องกันเชื้อรา ไม่ควรนำต้นไม้ ดอกไม้สด หรือแห้งไว้ในบ้าน
  • จัดเก็บขยะและเศษอาหารให้มิดชิด เพื่อป้องกันและกำจัดแมลงสาบ

การปฏิบัติตังดังกล่าว และระวังไม่ให้เด็กได้รับควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย ควันไฟ ฝุ่นละอองจากแหล่งต่าง ๆ ตั้งแต่อายุน้อย ๆ สามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจได้

 

ผู้เขียน : รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
แหล่งที่มาจาก : http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=532 
ภาพประกอบจาก : อินเตอร์เน็ต


-เพื่อชะลอวัยและเพื่อสุขภาพ.jpg

การนอน เพื่อชะลอวัยและเพื่อสุขภาพ ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการเรียน การทำงาน หรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ จนลืมการพักผ่อนที่เพียงพอ และมักไม่คำนึงถึงความสำคัญของการนอนหลับ เพราะคิดว่าเป็นเพียงแค่กิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ในทางกลับกันการนอนหลับที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมานอกจากนั้นยังมีผลทำให้อารมณ์ไม่คงที่ และมีสมาธิในการทำงานที่สั้นลง อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อผิวพรรณและทำให้แก่ก่อนวัยอีกด้วย

 

การนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณอย่างไร

การนอนหลับหมายถึง สภาวะที่ร่างกายตัดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมและโดยปกติระหว่างการนอนหลับร่างกาย
จะไม่มีการเคลื่อนที่ คนเราใช้เวลาถึงหนึ่งในสามของแต่ละวันไปกับการนอนหลับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด อีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรืออวัยวะที่สึกหรอของเราและยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังมีสาระสำคัญต่าง ๆ ที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เช่น สารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่างเช่น ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตและที่สำคัญสารนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับอีกด้วย ถ้าคนเราอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายรวมทั้งผิวพรรณด้อยลง ทั้งนี้มีสาเหตุจาก

  1. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง โดยการอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานหนักขึ้นซึ่งเลือดจะมีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นและเม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะสลายตัวในเวลาต่อมาจึงทำให้ความสามารถของร่างกายในการต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเสียไป
  2. ระบบจัดเก็บความทรงจำหรือระบบประสาทจะมีประสิทธิภาพลดลง โดยอวัยวะที่สำคัญคือ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) จะทำหน้าที่ถ่ายโอนข้อมูลที่เรียนรู้ในระหว่างวันเข้าสู่ความทรงจำระยะยาวซึ่งอวัยวะชิ้นนี้จะทำงานตอนที่เรานอนหลับเท่านั้นและจะทำงานได้ดีหากร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  3. อารมณ์เครียด และเปลี่ยนแปลงได้ง่ายโดยไม่มีเหตุผล มีอาการง่วงนอนหรือรู้สึกไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน
  4. ระบบย่อยอาหารผิดปกติ โดยร่างกายจะต้องใช้เวลามากขึ้นถึง 40 เปอร์เซนต์เพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงนาน ๆ จะทำให้แก่เร็ว
  5. หากเราอดนอนนาน 1 สัปดาห์ หรือนอนวันละ 4 ชั่วโมงโดยประมาณร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในการควบคุมปริมาณกล้ามเนื้อและไขมันน้อยลงทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น
  6. หากคนเรานอนไม่ถึงวันละ 8 ชั่วโมง ร่างกายก็จะผลิตสารเลปติน (Leptin) น้อยลงซึ่งเลปตินมีบทบาทในการควบคุมความอยากอาหาร เพราะฉะนั้นยิ่งเราอดนอน เลปตินก็จะถูกผลิตออกมาน้อยลงทำให้เรามีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น เช่นอยากทานขนมหวาน และอาหารมัน ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมและลดน้ำหนักได้
  7. สูญเสียโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ในขณะหลับ ซึ่งโกรทฮอร์โมนจะช่วยให้คุณดูอ่อนเยาว์ โดยการสร้างสมดุลระบบการเผาผลาญอาหาร และช่วยซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ดังนั้น หากขาดฮอร์โมนชนิดนี้ผิวหนังก็จะหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่นได้
  8. ในด้านของผิวหนังสารเมลาโทนินเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ และสารเมลาโทนินจะถูกสร้างมากที่สุดในเวลากลางคืนขณะที่เรานอนหลับ ถ้าเราอดนอนหรือนอนน้อยก็จะทำให้มีการสร้างสารนี้ลดลง ส่งผลให้เกิดการอักเสบหรือภูมิแพ้ของผิวหนังได้ง่ายขึ้น

เทคนิคในการช่วยให้นอนหลับสบายเพื่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดี

การนอนเพื่อชะลอวัยและเพื่อสุขภาพ

  1. จัดตารางเวลาการนอนให้เหมาะสมและเป็นเวลา ซึ่งความต้องการในการนอนหลับของคนเราขึ้นอยู่กับช่วงอายุหรือวัย ยิ่งอายุน้อยยิ่งต้องการนอนมากและความต้องการนอนหลับสำหรับผู้ใหญ่โดยทั่วไปแล้วประมาณ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ช่วงเวลาเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฮอร์โมนและสารต่าง ๆ ที่จำเป็นในการก่อให้เกิดสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดีจะผลิตเป็นเวลาตามที่ร่างกายกำหนด เวลาที่แนะนำให้ควรเข้านอนไม่ควรจะเกิน 4 ทุ่มของแต่ละคืน
  2. สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสม เช่น ห้องนอนควรจะเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิในห้องต้องเย็นพอดีและควรจะปิดไฟให้มืด นอกจากนี้ไม่ควรนำอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เข้าไปไว้ในห้องนอนเช่น คอมพิวเตอร์ หรือโต๊ะทำงานจะทำให้เรารู้สึกกังวลตลอดเวลาจนเกิดอาการนอนไม่หลับ
  3. ควรเลือกหมอนและเตียงนอนให้เหมาะสมกับสรีระของร่างกาย รวมทั้งหมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนหรือนำมาซักทุกอาทิตย์เพื่อจะได้ช่วยลดการสะสมของฝุ่นและไรซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าอ่อนแอ เกิดสิว และอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น
  4. หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายร่างกายก่อนนอน เช่น การอาบน้ำอุ่น ฟังเพลงจังหวะสบาย ๆ หรือการนั่งสมาธิซึ่งช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟีน(Endorphine) ออกมา ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและช่วยให้นอนหลับได้สบายยิ่งขึ้น
  5. ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ดีต่อสุขภาพเพราะเป็นท่านอนที่ไม่มีอะไรมากดทับหน้าอกช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้อย่างคล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังจะได้รับการรองรับจากที่นอนทำให้สามารถวางตัวอยู่ในแนวธรรมชาติได้ดีที่สุด (ยกเว้นผู้ป่วยหรือสตรีมีครรภ์) นอกจากนี้ท่านอนหงายจะช่วยให้หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุดเพราะการนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำนาน ๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับซึ่งก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า
  6. กดจุดบริเวณใบหน้าก่อนนอนด้วยการใช้ปลายนิ้วนวดวนเป็นวงกลมไปเรื่อย ๆ ตามหัวคิ้ว ขมับ ร่องจมูก คาง และมุมปาก ช่วยให้การนอนหลับสบายและหลับสนิทขึ้น
  7. กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์ จะช่วยให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและช่วยให้การนอนหลับสบายยิ่งขึ้น
  8. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก จึงแนะนำให้ดื่มชาคาโมมายด์อุ่นๆ หรือนมอุ่นๆ ก่อนนอน เพื่อช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนเข้านอนเพราะอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึกบ่อย ๆ เพื่อมาเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้อาหารจำพวกมันเทศ เผือก กลอย ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต และผลิตภัณฑ์โฮลเกรนต่างๆ ช่วยให้ร่างกายผลิตสารเซโรโทนิน (serotonin) ทำให้นอนหลับสบาย

เอกสารอ้างอิง
• สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาชีววิทยา. สาระน่ารู้เกี่ยวกับการนอนหลับ. ตุลาคม 2553.

 

ผู้เขียน : ดร. นิตยา ตรีศิลป์วิเศษ และ รศ. ดร. พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
แหล่งที่มาจาก : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge
ภาพประกอบจากจาก : อินเทอร์เน็ต

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก