ภาวะหัวใจวาย หรือ หัวใจล้มเหลว (Heart Failure) เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายได้อย่างเพียงพอ โดยมีทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง ภาวะนี้เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยในเพศชายที่สูงอายุ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Risks) มากกว่าเพศหญิงและคนวัยวัยหนุ่มสาว ภาวะนี้หากเกิดสาเหตุบางอย่างที่รุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และได้รับการรักษาที่ช้าหรือไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
ภาวะหัวใจวายอาจเกิดอาการได้ทั้งแบบเฉียบพลัน (Acute Heart Failure) และแบบเรื้อรัง (Chronic Heart Failure) ขึ้นกับสาเหตุที่พบ นอกจากนี้ยังอาจจำแนกเป็นแบบที่การบีบตัวของหัวใจผิดปกติ (Systolic Heart Failure) ซึ่งหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ดีเท่าที่ควร และแบบที่การคลายตัวของหัวใจผิดปกติ (Diastolic Heart Failure) เกิดจากหัวใจไม่สามารถคลายตัวเพื่อรับเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ตามปกติ เป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้น้อย
เมื่อการทำงานของหัวใจลดลง จะส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ เลือดไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ
ในระยะแรก ผู้ป่วยมักมีอาการหอบเหนื่อยเวลาออกแรงหรือทำงานหนัก อาจมีอาการหายใจลำบาก หายใจสั้น ไอ บางรายมีจุกแน่นลิ้นปี่ ปวดชายโครง หรือในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตเฉียบพลันได้ ต่อมาเมื่ออาการหนักขึ้นจะมีอาการอ่อนเพลีย หอบเหนื่อยแม้ว่าอยู่ในขณะพัก นอนราบไม่ได้ ต้องนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูง หรืออาจตั้งนั่งหอบ ปัสสาวะออกน้อย เท้าบวม ท้องบวม กรณีเป็นรุนแรง อาจมีเสมหะสีชมพู ตัวเขียว ริมฝีปากเขียว กระสับกระส่าย ใจสั่น และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด
เมื่อไหร่จึงควรไปพบแพทย์
เมื่อรู้สึกเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ออกกำลังกายได้น้อยกว่าปกติ หายใจลำบาก หายใจสั้น เหมือนหายใจไม่สุด เจ็บหน้าอก จุกแน่นลิ้นปี่ หรือมีอาการบวมที่ขาและข้อเท้า ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุโดยเร็ว
ภาวะหัวใจวายสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพบางประการ ทั้งนี้อาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุร่วมกันก็ได้ ดังนี้
แพทย์จะทำการซักประวัติ อาการ ตรวจร่างกาย เพื่อวินิจฉัยและหาสาเหตุของโรคเบื้องต้น และหากสงสัยว่ามีภาวะหัวใจวาย แพทย์อาจจะพิจารณาตรวจพิเศษบางอย่าง เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัย ได้แก่ การตรวจเลือด เพื่อดูการทำงานของอวัยวะในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram, ECG) ดูการทำงานของกระแสไฟฟ้าภายในหัวใจ การเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อดูภาวะน้ำท่วมปอด อาจมีการตรวจวัดระดับสาร NT-proBNP ในเลือด ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยภาวะหัวใจวายได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) เป็นการใช้อุปกรณ์ปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อตรวจการทำงานของหัวใจ และตรวจหาสาเหตุบางประการของหัวใจวายที่ซ่อนอยู่ เช่นภาวะหัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว โรคหัวใจแต่กำเนิด เป็นต้น และอาจมีการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization) เพื่อวินิจฉัยภาวะและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เป็นต้น
สิ่งพิจารณาหลักในการรักษาภาวะหัวใจวาย คือต้องรีบค้นหาสาเหตุของโรคและรักษาให้ได้ทันท่วงที เพราะบางสาเหตุก็สามารถรักษาหายขาดหรือดีขึ้นมากได้ เช่น โรคคอกพอกเป็นพิษ หรือภาวะโลหิตจางรุนแรง แต่หากสาเหตุนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาด ก็อาจรักษาเพื่อควบคุมโรคให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายน้อยที่สุดได้ ทั้งนี้ในการรักษาภาวะหัวใจวาย จำเป็นต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ร่วมกัน ได้แก่ สาเหตุหลัก ชนิดและความรุนแรงของภาวะหัวใจวาย เพศและอายุของผู้ป่วย โรคที่พบร่วม เป็นต้น หลังจากนั้นแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อควบคุมอาการให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงกระทบต่อการทำงานของตัวหัวใจเองให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุหลัก ทั้งการใช้ยา การติดอุปกรณ์ช่วยการทำงานหัวใจ การผ่าตัด และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ตัวอย่างเช่น
แหล่งข้อมูล : แนวทางเวชปฏิบัติเพื่อการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว พ.ศ. 2557 โดยสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ ร่วมกับชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย 2016 ESC Guidelines for the diagnosis and treatment of acute and chronic heart failure. European Heart Journal doi:1093/eurheartj/ehw128. 2017 ACC/AHA/HFSA Focused Update of the 2013 ACCF/AHA Guideline for the Management of Heart Failure. Circulation. 2017;136:e137–e DOI: 10.1161/CIR.0000000000000509
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com
ข่าวคราวการเสียชีวิตของนักวิ่งจากการเข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอน ซึ่งล่าสุดใน 1 อีเวนต์ มีนักวิ่งเสียชีวิตทั้งขณะวิ่ง และภายหลังวิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว ไม่นับรวมกีฬาประเภทอื่น เช่น แบดมินตัน ถ้าใครอยู่ในวงการจะเห็นข่าวคราวการเสียชีวิตระหว่างการเล่น ติดต่อกันหลายอาทิตย์ ทั้งนักกีฬาสมัครเล่นและนักกีฬาอาชีพ ทำให้เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักกีฬา ถึงความปลอดภัย และทำอย่างไรให้มั่นใจได้ว่าภายหลังเล่นหรือแข่งเสร็จแล้ว จะไม่ตายหรือปลอดภัยได้กลับบ้านไปหาครอบครัวแน่ ๆ
อัตราการเสียชีวิตจากการออกกำลังกาย ทั่วโลกอยู่ที่ 1: 80,000 – 200,000 โดยการเสียชีวิตส่วนใหญ่จะมาจากโรคแฝง ที่นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ๆ ไม่รู้ หรือรู้และอยู่ในระหว่างการรักษาหรือการควบคุม โอกาสที่จะเสียชีวิตในคนที่แข็งแรงไม่มีโรคแฝงจากการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาโดยตรงนั้น มีโอกาสเกิดน้อยกว่า
สำหรับการเสียชีวิต ซึ่งเกิดในระหว่างการแข่งขันกีฬา เช่น การวิ่ง การเตะฟุตบอล การเล่นแบดมินตัน โดยเฉพาะในการวิ่งระยะไกล ๆ นั้น มักจะมาจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับหัวใจเป็นหลัก โดยมีโอกาสเกิดสูงในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีอายุ ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีประวัติเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ไขมันสูง ความดันสูง มีเบาหวาน สูบบุหรี่ อ้วน เป็นต้น เมื่อต้องออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยเฉพาะเมื่อนานเกิน 1-2 ชม. อยู่ในภาวะที่ร้อนจัดหรือความชื้นสูง หรือเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะไม่พร้อม เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึกก่อนแข่ง มีภาวะเจ็บป่วยเช่นเป็นไข้หวัดหรือท้องเสียอยู่ก่อน หากมีภาวะเหล่านี้จะมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตระหว่างการเล่นกีฬาสูงขึ้น
สาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิตจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนัก มักจะเกิดจากการที่มีลิ่มเลือด หรือก้อนไขมันที่เกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ (atherosclerotic plaque) หลุดไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวายหรือเสียชีวิตเฉียบพลันได้ โดยที่อาจไม่มีอาการเตือนนำมาก่อน เพราะภาวะนี้ (atherosclerosis) อาจไม่มีอาการในขณะที่ดำเนินชีวิตปกติ และนอกจากนี้การตรวจสุขภาพประจำปีโดยทั่วไป เช่น การตรวจเลือด เอกซเรย์ทรวงอก หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram, ECG) อาจไม่พบความผิดปกติได้ ทำให้ผู้เล่นกีฬาส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่ามีโรคแฝงอยู่ สำหรับนักกีฬาที่อายุน้อยกว่า 40 ยังอาจเสียชีวิตจากโรคหัวใจผิดปกติอื่น ๆ ได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจโตผิดปกติ หรือโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
นอกจากการเสียชีวิตจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับโรคหัวใจแล้ว ยังมีโรคลมร้อน (Heat stroke) อีกโรคหนึ่งที่อาจทำให้นักกีฬาเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน โดยจะมีความเสี่ยงสูงในกลุ่มผู้ที่ปกติไม่ค่อยออกกำลังกาย แล้วไปออกกำลังกายหักโหม หรือไปวิ่งเป็นเวลานานทันที ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เป็นไข้หวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานยาแก้หวัดลดน้ำมูกบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อการขับเหงื่อและขับความร้อนออกจากร่างกายได้น้อยลง
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การออกกำลังกายในพื้นที่มีความร้อนและความชื้นสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไปเป็นต้น
ทั้งนี้ผู้เล่นกีฬาควรต้องสังเกต อาการเตือนที่สำคัญ ๆ ในระหว่างเล่นกีฬา โดยถ้ามีอาการอย่าฝืน หรือพยายามเล่นต่อเด็ดขาด อาการดังกล่าว ได้แก่ 1. การเจ็บแน่นหน้าอก โดยอาจลามไปจนถึงช่วงแขน คอ กราม ใบหน้าหรือช่องท้อง และ 2. เวียนหัว หน้ามืดจะเป็นลม หรือเหงื่อแตกใจสั่น หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบบอกเพื่อน ผู้เล่น กรรมการเพื่อส่งให้หน่วยพยาบาลปฐมพยาบาล หรือไปโรงพยาบาลทันที หากไม่มีหน่วยช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ ใหโทรศัพท์ไปที่เบอร์สายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
ตารางที่ 1 แสดง ถึง Target heart rate zone ที่แนะนำให้ออกกำลังกาย และ maximum heart rate แบ่งตามอายุ1
Age | Target HR Zone 50-85% | Average Maximum Heart Rate, 100% |
20 years | 100-170 beats per minute (bpm) | 200 bpm |
30 years | 95-162 bpm | 190 bpm |
35 years | 93-157 bpm | 185 bpm |
40 years | 90-153 bpm | 180 bpm |
88-149 bpm | 175 bpm | |
50 years | 85-145 bpm | 170 bpm |
55 years | 83-140 bpm | 165 bpm |
60 years | 80-136 bpm | 160 bpm |
65 years | 78-132 bpm | 155 bpm |
70 years | 75-128 bpm | 150 bpm |
ถึงตอนนี้แล้ว เพื่อนๆคงมั่นใจมากขึ้นว่า นอกจากความสนุกที่ได้จาการเล่นกีฬาแล้ว การใส่ใจในรายละเอียดทางด้านสุขภาพให้มากขึ้น จะทำให้ทุกคนปลอดภัย กลับไปหาคนที่คุณรักได้อย่างแน่นอน
พ.อ. นพ. กิจจา จำปาศรี
กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ภาพประกอบจาก : www.heart.org
ข้อมูลอ้างอิง
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า