ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

banner-mammogram-breast-ultrasound.jpg


“ก้อนที่เต้านม” ภัยใกล้ตัวที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้

หากถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตสำหรับทุกคนคืออะไร คำตอบคงแตกต่างกันออกไป แต่เชื่อว่าหนึ่งในนั้นคงมีเรื่องของ “สุขภาพ” เป็นอันดับต้น ๆ แน่นอน ถึงกับมีประโยคที่สะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพที่อาจส่งผลต่อชีวิต เช่น “การมั่งมีที่แท้จริงคือการมีสุขภาพที่ดี ไม่ใช่เงินทอง” หรือ “เงินซื้อสิ่งของได้ แต่ซื้อเวลาและสุขภาพที่ดีไม่ได้” 

โดยปกติแล้ว เราทุกคนไม่มีใครอยากเจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด เพราะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่โรคภัยบางครั้งก็มาหาเราอย่างไม่ทันตั้งตัวแม้จะดูแลเป็นอย่างดี ทั้งชายหญิงสามารถเผชิญโรคต่าง ๆ ได้เหมือนกัน แต่มีบางโรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย หรือพบได้บ่อยในเพศหญิง เดี๋ยวหมอจะอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมค่ะ

โรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย ได้แก่ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก เช่นเดียวกับสุขภาพผู้หญิงที่มักสัมพันธ์กับระบบเจริญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ช่องคลอด มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ รวมถึงฮอร์โมนเพศหญิงที่สลับกันขึ้นสูงและลดต่ำลงตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่ช่วงวัยเจริญพันธุ์จนถึงช่วงหลังวัยเจริญพันธุ์ 

และปัญหาที่พบบ่อยสุดคือ “ก้อนที่เต้านม” ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูง และไม่ได้เกิดกับเพศหญิงเท่านั้น เพศชายก็อาจเผชิญโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน โรคของเต้านมที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งเต้านม ที่เกิดจากก้อนเนื้อบริเวณเต้านม และเราจะทราบได้อย่างไรว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นปัญหาที่พบบ่อย และพบว่า มีเพียง 80 – 90% ที่เป็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำชนิดไม่ร้ายแรง แต่อีก 10 – 20% ที่พบว่าเป็นก้อนเนื้อชนิดรุนแรงสามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 ของผู้ที่ป่วยเลยทีเดียว 


“มะเร็งเต้านม”

พบผู้ป่วยรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก ตรวจก่อน เจอก่อน มีผลลัพธ์การรักษาที่ดี โดยข้อมูลของ Global Cancer 2020 พบว่า มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่สูงถึง 2.26 ล้านคนต่อปี ถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังพบว่า มะเร็งเต้านมถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่มากที่สุดในผู้หญิงไทยที่ 22,158 รายต่อปี และในจำนวนนี้มีการเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว 

สำหรับสาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด  ยุทธวิธีในการควบคุมที่สำคัญจึงเป็นการตรวจคัดกรอง เพื่อหามะเร็งเต้านมให้เจอตั้งแต่ระยะแรก ๆ และทำการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี มีภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตต่ำ ที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะไม่สูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังการรักษา 

หากอยากรู้ว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย เบื้องต้นเราสามารถตรวจคัดกรองด้วยตัวเองโดยการสังเกตและคลำก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นประจำ หากพบความผิดปกติสามารถไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลวินิจฉัย 

ในการตรวจเต้านมด้วยตัวเองนั้น หลายคนอาจสงสัยว่า คลำเจอก้อนแบบไหนแล้วควรรีบไปปรึกษาแพทย์ ในความเป็นจริงเมื่อคลำเจอก้อนที่เต้านม ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้แม้ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ โดยก้อนเนื้อที่มีความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นมะเร็งเต้านมจะมีลักษณะแข็งกว่าก้อนเนื้อธรรมดา และมักมีอาการอื่นๆ ให้สังเกตพบด้วย เช่น มีการดึงรั้งของผิวหนังและหัวนม หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะเริ่มฉุกคิดและหันมาใส่ใจร่างกายตัวเองมากขึ้นนะคะ และถ้าใครสนใจเข้ารับการตรวจเต้านม โดยอาจจะเป็นผู้ที่คลำเจอความผิดปกติของเต้านม เจ็บเต้านม รูปทรงเต้านมเปลี่ยน สนใจตรวจสุขภาพเต้านม รวมไปถึงผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมหรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ทีมงานขอแนะนำ “ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ซึ่งเป็นศูนย์เต้านมที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเต้านมอย่างครบวงจร โดยทีมแพทย์และทีมสหวิชาชีพที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการดูแลรักษาโรคทางเต้านมโดยเฉพาะ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน การตรวจวินิจฉัยและการรักษา เช่น การตรวจคัดกรองด้วยวิธีแมมโมแกรมระบบดิจิตอลและอัลตราซาวนด์ และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (กรณีมีความเสี่ยงสูง MRI) 

Mammogram-Breast-Ultrasound

การตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอลเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องตรวจแมมโมแกรม วิธีนี้รวดเร็ว สะดวก และให้ภาพที่มีรายละเอียดสูงกว่าการตรวจแบบเอกซเรย์ทั่วไป ส่วนการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ เป็นการสร้างภาพภายในเต้านมด้วยคลื่นความถี่ทำให้เห็นภาพในมุมมองที่ยากต่อการมองเห็นด้วยวิธีการตรวจแมมโมแกรม สนใจคลิก แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

ส่วนการรักษามะเร็งเต้านม ที่บำรุงราษฎร์มีศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านเต้านม และมีประสบการณ์ในการผ่าตัดโรคที่เกี่ยวกับเต้านม ทั้งที่เป็นมะเร็งและกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับเต้านมทั้งหมด รวมถึงการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม เพื่อคงคุณลักษณะของความเป็นผู้หญิงและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ และยังมีการประชุม Multidisciplinary Team Breast Conference ของทีมแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อการรักษาที่ตรงจุด แม่นยำ เกิดผลข้างเคียงน้อย ให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น 

Mammogram-Breast-Ultrasound

ทั้งนี้ ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีการบริการในระดับศูนย์ที่มีความเป็นเลิศด้านการแพทย์ (Center of Excellence) ใน 3 ลักษณะ 
  • Fast Diagnosis ทราบผลตรวจวินิจฉัยภายใน 72 ชั่วโมง ว่าเป็นหรือไม่เป็นมะเร็ง นับตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ส่งเจาะชิ้นเนื้อ และพบศัลยศาตร์แพทย์เต้านม มากกว่า 98% (Eusoma Benchmark 95%) 
  • Fast Treatment เป็นความรวดเร็วในการรักษาของผู้ป่วย โดยที่ศูนย์ฯ สามารถวางแผนการรักษา และส่งเข้ารับการผ่าตัดได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • Excellent Outcome มีผลลัพธ์ด้านการรักษา และความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม โดยมีอัตราการรอดชีวิตสูง อัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ
    • การติดเชื้อหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมต่ำ
    • อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องผ่าตัดซ้ำภายใน  72 ชั่วโมง น้อยกว่า 1%
    • สามารถเคลื่อนไหวข้อไหล่ หัวไหล่หลังผ่าตัดได้ทันที* เพื่อให้ข้อไหล่มีการเคลื่อนไหวได้ มากกว่า 90 องศา เพื่อทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น วิธีที่จะป้องกันมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลาม คือการตรวจคัดกรองด้วยตัวเองอยู่เสมอและหากพบความผิดปกติก็ควรรีบเข้ารับการวินิจฉัย เพราะหากพบเร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้ 

 

ถึงเวลาที่ “เต้านม” ต้องได้รับการดูแล…เป็นพิเศษ
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เต้านม รพ.บำรุงราษฎร์ โทร 02 011 3680
หรือสนใจซื้อแพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม คลิก
แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

 

 

 


-หลากหลายอาการกับวิธีปรับแก้.jpg

สรีระเท้าที่แตกต่างกันของแต่ละคนอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ โดยปกติอุ้งเท้า (Arch) ซึ่งอยู่ตรงกลางฝ่าเท้าจะมีส่วนโค้งทอดตามแนวยาวของฝ่าเท้า และมีความกว้างในระดับหนึ่ง เพื่อให้เอ็นกล้ามเนื้อและกระดูกเท้าทำงานได้อย่างปกติ อย่างไรก็ตามในแต่ละคนมีอุ้งเท้าแตกต่างกันไป บางคนมีอุ้งเท้าที่สูง (High arch) ในขณะที่บางคนมีอุ้งเท้าแบน (Flat foot) ทั้งสองแบบล้วนส่งผลเสียที่แตกต่างกัน เอาทิ เกิดรองช้ำ ปวดเข่า ปวดข้อเท้า เจ็บเท้าขณะวิ่ง-เดิน เป็นต้น

 

ลักษณะและวิธีการเช็คเท้าแบน

  • ลักษณะเท้าแบน (Flat Feet) คือ ลักษณะของเท้าที่ไม่มีส่วนโค้งเว้าตรงกลางเท้า เมื่อลุกขึ้นยืนฝ่าเท้าจะราบแนบไปกับพื้นทั้งหมด ตรงกลางฝ่าเท้าที่โค้งขึ้นมานั้นคืออุ้งเท้า (Arch) ซึ่งทอดไปตามแนวยาวและแนวขวางของฝ่าเท้า อุ้งเท้าเกิดจากการยึดกันระหว่างเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และกระดูกเท้า โดยเส้นเอ็นที่เท้าและเส้นเอ็นส่วนที่ต่อจากขาส่วนล่างจะยึดกระดูกตรงกลางเท้าเข้ากับเส้นเท้า ทำให้กลางฝ่าเท้าโค้งเข้ามาและไม่ราบไปกับพื้น ภาวะเท้าแบนเกิดขึ้นได้เมื่อเป็นเด็กเล็ก เนื่องจากฝ่าเท้าของเด็กมีไขมันและเนื้อเยื่ออ่อน ทำให้มองเห็นอุ้งเท้าตรงฝ่าเท้าได้ไม่ชัด แต่เมื่อโตขึ้นช่องโค้งก็จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา
  • วิธีการเช็คที่ง่ายที่สุด ให้วางเท้าในน้ำให้เปียกจนทั่วฝ่าเท้า และยกวางบนพื้นที่แห้ง สังเกตรูปฝ่าเท้าที่พื้นเปรียบเทียบกับรูปฝ่าเท้าด้านล่าง โดยรูปกลางเป็นรูปอุ้งเท้าปกติ รูปซ้ายเป็นรูปอุ้งเท้าแบน และรูปขวาเป็นรูปอุ้งเท้าสูง

สาเหตุของการเกิดภาวะเท้าแบน

ภาวะเท้าแบนเกิดได้จากหลายสาเหตุ มีทั้งแบบที่เป็นมาแต่กำเนิดและแบบที่เป็นในภายหลัง โดยมีลักษณะเบื้องต้นดังนี้

  • ภาวะเท้าแบนแบบเป็นมาแต่กำเนิด จะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ
    1. เท้าแบนแบบนิ่ม (Flexible Flat Foot) ภาวะเท้าแบนลักษณะนี้จัดเป็นภาวะเท้าแบนที่พบได้มากที่สุด พบตอนเป็นเด็ก เมื่อยืน ฝ่าเท้าจะราบไปกับพื้นทั้งหมด แต่เมื่อยกเท้าขึ้นมาจะเห็นช่องโค้งของฝ่าเท้า เท้าแบนแบบนิ่มไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด
    2. เท้าแบนแบบแข็ง (Rigid Flat Foot) จะพบได้น้อย ตรงอุ้งเท้าจะโค้งนูนออก เท้าผิดรูป แข็งและเท้ามีลักษณะหมุนจากข้างนอกเข้าด้านในเสมอ (Pronation) ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดหากต้องยืนหรือเดินมากเกินไป รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับการสวมรองเท้า
  • ภาวะเท้าแบนแบบเกิดขึ้นภายหลัง มีสาเหตุได้จากหลายปัจจัย เช่น เอ็นข้อเท้าหย่อน โรคข้อรูมาตอยด์ ข้อเท้าเสื่อม กระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาทขา เอ็นร้อยหวายสั้น เอ็นเท้าอักเสบ ข้อต่อหย่อน เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถพบได้บ่อยในผู้ที่มีคนในครอบครัวมีภาวะเท้าแบนด้วย

 

อาการที่สำคัญของภาวะเท้าแบน

ภาวะเท้าแบนที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาหากไม่ได้มีอาการเจ็บปวดใด ๆ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่ รู้สึกเจ็บที่อุ้งเท้าและส้นเท้า ฝ่าเท้าด้านในบวมขึ้น ยืนไม่ค่อยได้ หรือเคลื่อนไหวทรงตัวบนเท้าลำบาก เจ็บหลังและขา รองเท้าที่เคยสวมได้ ไม่สามารถสวมได้ และชำรุดเร็วเกินไป ฝ่าเท้าอ่อนแรง รู้สึกชา หรือเกิดอาการฝ่าเท้าแข็ง เป็นต้น

ทั้งนี้หากอาการและสาเหตุของภาวะเท้าแบนถูกปล่อยไว้ ไม่ได้ทำการรักษา จะส่งผลกระทบต่อการเดินของผู้ป่วย ส่งผลให้มีการปวดเท้า ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และอาการอักเสบของเส้นเอ็นที่ใช้ในการเดิน

 

แนวทางการรักษา “ภาวะเท้าแบน”

หากรู้สึกเจ็บป่วยไม่สบายในระหว่างการเดิน วิ่ง โดยมีการตรวจเช็คอุ้งเท้าพบว่าอาจมีความผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที ทั้งนี้ภาวะเท้าแบนมีแนวทางการรักษาเบื้องต้นดังนี้

  • การทำกายภาพบำบัด ภาวะเท้าแบนอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บจากการเดินหรือวิ่งมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ลักษณะการเดินวิ่งของผู้ป่วย และให้ข้อแนะนำในการปรับลักษณะและเทคนิคการวิ่งให้ดีขึ้น
  • การรักษาด้วยยา ผู้ป่วยที่เกิดอาการเจ็บเท้าเรื้อรังและเท้าอักเสบ จะได้รับยาต้านอักเสบเพื่อบรรเทาอาการปวดบวม
  • การผ่าตัด หากการรักษาภาวะเท้าแบนวิธีอื่น ๆ ไม่ช่วยบรรเทาอาการให้ทุเลาลงได้ หรือสาเหตุของภาวะดังกล่าวทำให้จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะผ่าตัดให้แก่ผู้ป่วย โดยแตกต่างกันตามสาเหตุ

 

รองเท้า Shcoll ช่วยปรับสภาพอุ้งเท้า อีกทางเลือกช่วย “ภาวะเท้าแบน”

สำหรับผู้ที่เป็นไม่มาก หรือภายหลังจากการเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์แล้ว การปรับลักษณะรองเท้าเพื่อช่วยลดปัญหาการแบนของฝ่าเท้าเป็นอีกวิธีที่เหมาะสม ทั้งนี้การใส่รองเท้าที่พอดี สอดรับกับรูปเท้าจะช่วยในการสร้างสมดุล ลดปัญหาในการทรงตัวและการเดิน สามารถทำกิจวัตรในแต่ละวันได้ใกล้เคียงกับผู้ที่มีอุ้งเท้าปกติ

Scholl Biomechanics เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดยนายแพทย์ดร.ฟิลลิป เจ วาสิลี่ ชาวออสเตรเลีย ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เพราะมีการออกแบบโดยคำนึงถึงแนวความคิดด้านสรีระของผู้สวมใส่เป็นหลัก ให้พื้นรองเท้ามีส่วนโค้งนู้นรับกับอุ้งเท้า ลดปัญหาสุขภาพเท้าที่เกิดจากปัญหาเท้าเอียงเข้าสู่ด้านใน หรือภาวะเท้าแบนได้อย่างตรงจุด และยังช่วยดูแลโครงสร้างของขาและเท้าให้ตรงตามธรรมชาติ

เทคโนโลยี ไบโอปรินท์ เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบพื้นรองเท้าอย่างถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเท้า ที่จะช่วยเสริมระบบการทรงตัวขอร่างกายที่ถูกต้องตามสมดุลในทุกส่วนของเท้า และยังสามารถปรับให้เข้ากับเท้าผู้สวมใส่แต่ละคนได้อย่างเหมาะสม มีส่วนโค้งเว้าเข้ารูปลักษณะเท้าของผู้สวมใส่อีกทั้งยังผลิตด้วยวัสดุที่มีน้าหนักเบาความเบาและคงทน พร้อมด้วยโครงสร้างทางกายวิภาคของช่วงเท้าจึงช่วยรองรับแรงกระแทกจากการเดิน ทำให้สามารถสวมใส่รองเท้าได้นานขึ้น ลดความเมื่อยล้าจากการยืนเดิน รู้สึกสบายเท้า และสร้างสุขภาพที่ดีในขณะก้าวเดิน

อีกส่วน เป็นเทคโนโลยีไบโอเมคคานิกส์ ตัวนี้จะช่วยในการปรับโครงสร้างของเท้า และป้องกันการเดินภาวะเท้าแบนเพราะโครงสร้างของเทคโนโลยีนี้ ออกแบบให้มีส่วนโครงนูน รับกับอุ้งเท้าของผู้ใส่ ยิ่งไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ต้องเดินบนพื้นแข็งๆ ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะกับโครงสร้างเท้า เช่น รองเท้าส้นแบน,รองเท้าส้นสูง ก็จะทำให้มีความเสี่ยงของการเกิดภาวะเท้าแบนขึ้นได้เช่นกัน และตัวเทคโนโลยีไบโอเมคคานิกส์นี้ นอกจากจะช่วยเรื่องเท้าแบนแล้วยังช่วยดูแลสุขภาพเท้า และยังช่วยลดแรงกระแทกในขณะเดิน และรักษาสมดุลของเท้าด้วย

 

CLAYTON DARK BROWN

 

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 02 820 8999 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.30 น.
ยกเว้นวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดราชการ
Facebook : https://www.facebook.com/SchollShoesThailand
Line : http://line.me/ti/p/@schollshoes
Website : https://www.schollshoesthailand.com/store

 

 

 


-คุณมีปัญหา.jpg

ร่างกายของมนุษย์ มีเส้นประสาท (Nerve) อยู่เป็นจำนวนมาก เส้นประสาทเหล่านี้จะทำงานเชื่อมกับสมองและไขสันหลังเพื่อให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ หากเส้นประสาทเกิดความเสียหาย แม้แต่การเคลื่อนไหวง่าย ๆ เช่น หยิบจับ ลุก เดิน ก็อาจกลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสได้ การสังเกตอาการเพื่อหาสาเหตุ และแก้ไขอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งจำเป็น มาดูอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทกัน

 

อาการชา (Numbness) เหน็บ (Tingling) หรือแสบร้อน (Burning)

ความรู้สึกนี้อาจเกิดขึ้นได้บริเวณมือ เท้า แขน และขา และสามารถเกิดได้บ่อยในช่วงนอนหลับซึ่งเป็นเรื่องปกติหากเกิดอาการแบบชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าอาการชา เหน็บ ปวดแสบปวดร้อนเกิดกับคุณในแต่ละครั้งแบบนาน ๆ ด้วยแล้ว อาจเป็นสัญญาณว่าเส้นประสาทของคุณอาจมีปัญหา ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

 

เคลื่อนไหวร่างกายลำบาก

หากเส้นประสาทที่สั่งการเกิดความเสียหาย อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออาจเกิดขึ้น คุณอาจทำภารกิจประจำวันได้ไม่เหมือนเดิม เช่น กำช้อนกินข้าว เขียนหนังสือ นั่นรวมถึงการเสี่ยงในการเป็นอัมพาตด้วย หากคุณมีปัญหาในการเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

 

ปวดร้าวลงขา

อาการปวดร่วมกับการแสบร้อนหรืออาการชา มักเริ่มจากช่วงเอว เลื่อนมายังสะโพกและลงไปที่ขา ซึ่งเป็นอาการปวดของเส้นประสาทไซอาติก (Sciatic nerve) นั่นหมายถึงเส้นประสาทของคุณถูกกดทับจนเสียหาย โดยคุณอาจเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นความผิดปกติของกระดูกสันหลังรวมถึงการเป็นโรคเบาหวาน

 

ซุ่มซ่าม เงอะงะมากกว่าปกติ

อาการนี้อาจเกิดจากเส้นประสาทที่คอยสั่งการด้านความรู้สึกได้รับความเสียหาย ทำให้การประสานงานภายในร่างกายและการรับรู้ตำแหน่งของร่างกายคลาดเคลื่อนไป และความเสียหายนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาทในสมองอีกเช่นกัน ซึ่งกรณีนี้จะแสดงอาการของโรคพาร์กินสัน

 

เข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ

หากรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ หรือมีปัญหาเข้าห้องน้ำไม่ทัน  อาจจะมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทได้รับความเสียหายและส่งสัญญาณผิดพลาดไปที่กระเพาะปัสสาวะอาการแบบนี้มีความเสี่ยงมากกว่าปกติ ที่จะเกิดกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หรือผู้ป่วยโรคเบาหวาน

 

ปวดแปลบต้นคอถึงศีรษะ คล้ายไฟฟ้าช็อต

เป็นอาการของการปวด เส้นประสาทที่ท้ายทอย (Occipital neuralgia) มักเป็นผลมาจากการถูกกดทับ ซึ่งหากคุณมีอาการแบบนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

 

เหงื่อออกมากหรือน้อยผิดปกติ

อาจเป็นสัญญาณว่า เส้นประสาทที่ส่งข้อมูลจากสมองไปสู่ต่อมเหงื่อได้รับความเสียหาย ซึ่งคุณอาจจะต้องเข้ารับการตรวจวัดปริมาณเหงื่อและอัตราการเต้นของหัวใจต่อไป

 

บาดเจ็บง่าย ๆ จากเรื่องที่ควรรู้

หากคุณมักจะบาดเจ็บ เช่น มีดบาด ลื่นหกล้ม หัวโขก บ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่คนอื่นจะไม่เป็น อาจเป็นเพราะเส้นประสาทกำลังทำงานผิดพลาด ทำให้คุณไม่รู้สึกว่ากำลังสัมผัสกับสิ่งที่เป็นอันตราย  เช่น ความร้อม ความแหลมคม ความลื่นของพื้น หากเกิดอาการเช่นนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.prevention.com
ภาพประกอบ : www.pixabay.com


8-โรคยอดฮิต-ผู้บริหาร.jpg

ควันบุหรี่เมื่อเอ่ยถึงโรคภัยไข้เจ็บ ผู้ใหญ่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มากกว่าเด็ก เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น อาหาร หรือความเครียดที่ต่อแถวหรือไม่ต่อแถว รอเข้ามาไม่ขาดสาย

โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 30 – 45 ปี อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้สูง โดยจะผันแปรไปตามตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บริหาร ที่จะต้องทนรับกับแรงกดดันจากความรับผิดชอบหลายด้าน ไม่ว่าเรื่องลูกน้องหรือการแข่งขันทางธุรกิจ ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว มีแนวโน้มต่อการถูกคุกคามด้วยโรคต่างๆ ตามมา

มีรายงานระบุว่า 8 โรคยอดฮิตที่นักบริหารจำนวนไม่น้อยเป็นกันมาก คือ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (หัวใจขาดเลือด) โรคกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ โรคเบาหวาน และโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งแต่ละโรคมีรายละเอียดที่น่าสนใจ พร้อมกับแสดงสัญญาณเตือนที่จะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองตามอาการของโรคต่างๆ ดังต่อไปนี้

 

1. โรคความดันโลหิตสูง

ถือเป็นโรคมาแรงในกลุ่มผู้บริหาร เพราะต้องเผชิญต่อความกดดัน และความเครียดอยู่บ่อยครั้ง ทั้งลูกน้องหรือคนใกล้ตัว ที่สำคัญโรคนี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหัวใจล้มเหลว สำหรับสัญญาณเตือนของโรคดังกล่าวนี้จะมีเสียงดังหวิวๆ หรือหึ่งๆ ในหู หรือได้ยินเสียงชีพจรในศีรษะของตัวเอง เวียนศีรษะ โดยเฉพาะตอนเปลี่ยนอิริยาบถ นอกจากนี้ หากรู้สึกได้ว่าใจสั่นบ่อย หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ขาบวม หงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ ใจเหนื่อยและเพลียผิดปกติ ขอแนะนำให้มาตรวจสุขภาพทันที

 

2. โรคหลอดเลือดสมอง

หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “สโตรก” Stroke เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดที่นำอาหารและออกซิเจน ไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้เนื้อสมองเสียหาย อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ โรคสมองขาดเลือด เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และโรคเลือดออกในสมอง เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก

 

3. หลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือโรคหัวใจขาดเลือด

โรคนี้เป็นสาเหตุการตายสำคัญอันดับหนึ่งของไทย เกิดจากการตีบ หรืออุดตันของเส้นเลือดจากการสะสมไขมัน คอเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ตามปกติ ดังนั้น ใครที่มีอาการเจ็บหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับหรือจุกแน่นลึกๆ บริเวณใต้กระดูกหน้าอก หรือหน้าอกด้านซ้าย มักเจ็บตอนที่เดินเร็ว ยกของหนัก หรือวิ่ง หรือเมื่อรู้สึกเครียดที่ต้องทำงานเร่งรีบ ประกอบกับความเครียด ต้องทานอาหารฟาสต์ฟูด ทำให้อ้วน ขาดการออกกำลังกาย

เหล่านี้ล้วนแต่นำมาสู่ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีอาการเฉียบพลัน ทำให้ “ตาพร่ามัว ปวดศีรษะเฉียบพลันแบบไม่ทราบสาเหตุ แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก วิงเวียนหรือวูบแบบเฉียบพลัน” หากถึงมือแพทย์ช้าอาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตตลอดชีวิต

 

4. โรคกระเพาะอาหาร

เป็นโรคระบบทางเดินอาหารขัดข้อง เนื่องจากกระบวนการที่อาหารผ่านไปนั้นทำงานผิดปกติ โรคนี้ถือเป็นโรคยอดฮิตในหมู่ผู้บริหาร เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มักจะต้องทำงานแข่งกับเวลา และเคร่งเครียดอยู่กับงานจนลืมที่จะรับประทานอาหาร หรือเกิดจากการดื่มสุรา สูบบุหรี่อย่างหนัก พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ทั้งสิ้น

 

5. โรคมะเร็งตับ

ถือเป็นโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะเพศชายซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้มีอัตราเสี่ยงสูง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคพยาธิใบไม้ในตับ อะฟลาท็อกซินไนโตรซามีน ที่พบอยู่ในตัวยากันบูด ปลาร้า เนื้อแห้งโดยเฉพาะอาหารที่ใส่ดินประสิว ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือกรรมพันธุ์ เป็นต้น

 

6. โรคเบาหวาน

ส่วนใหญ่ โรคเบาหวาน มักเกิดได้ง่ายกับคนอ้วน หรือผู้ที่รับประทานอาหารประเภทแป้งมากเกินไป กรรมพันธุ์ รวมทั้งผู้ที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลาอย่างกลุ่มนักบริหาร เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางอย่างออกมาทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และจะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ในที่สุด

โรคเบาหวานมักพบจากการตรวจร่างกายประจำปี โดยไม่มีอาการผิดปกติให้สังเกตเห็น นอกจากอาการอ่อนเพลีย สมองมึนงง และถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว ต้องดูแลรักษากันตลอดชีวิต เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย

 

7. โรคถุงลมโป่งพอง

ที่เกิดกับกลุ่มนักบริหาร มักจะเกิดกับผู้ที่สูบบุหรี่จัดเป็นเวลานานๆ หรืออยู่ในบริเวณที่มีควันบุหรี่เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป สัญญาณเตือนภัยของผู้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง จะมีอาการไอ เริ่มจากไอแห้งๆ และมักไอมากตอนกลางคืนเวลาอากาศเย็น และตอนเช้าหลังตื่นนอน มีอาการเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย เป็นหวัด หลอดลมอักเสบบ่อยๆ หรือมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง

 

8. โรคกระดูกพรุน

สิ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารเหล่านี้สามารถดำเนินกิจการของตนเองอย่างมี ประสิทธิภาพไปพร้อมๆ กับสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ คือ แบ่งเวลาให้กับตัวเอง โดยการใช้เวลาในวันสุดสัปดาห์พักผ่อนอย่างเต็มที่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้หัวใจ และปอดมีสมรรถภาพดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดความอ้วนทำให้ไขมันใต้ผิวหนังหมดไป อีกทั้งยังเป็นการลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้อีกด้วย ควรฝึกนิสัยในการเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารเพียงพอให้ครบทุกมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก สิ่งเสพติด เครื่องดื่มมึนเมา

สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้บริหารควรทำให้ได้ คือ การลดความเครียดให้ได้มากที่สุด เพราะความเครียดเป็นบ่อเกิดของโรคที่ไม่พึงปรารถนาทั้งปวง และหมั่นตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี เพียงเท่านี้ท่านก็จะเป็นนักบริหารที่มีประสิทธิภาพ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จโดยไม่เป็นเหยื่อของ 8 โรคดังกล่าวข้างต้น

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ
แหล่งที่มา : https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/health-tips/8-top-executives-disease/
ภาพประกอบจาก : https://www.freepik.com


-10-ประการเพื่อผมสวย-h2c.jpg

คนส่วนมากมักมาพบแพทย์ผิวหนังด้วยเรื่องปัญหาผมร่วงหรือผมบาง ซึ่งมีสาเหตุมากมาย เช่น ผมร่วงเฉพาะที่ (Alopecia areta) ผมบางแบบกรรมพันธุ์ ผมร่วงจากความเครียด เป็นต้น ซึ่งการรักษาส่วนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และระหว่างนี้ คนเหล่านี้ก็มักจะถามว่าควรดูแลสุขภาพผมให้ดีได้อย่างไร ซึ่งเป็นคำถามที่แพทย์ผิวหนังจะโดนถามบ่อยมาก ผมจึงรวบรวม เคล็ดลับ 10 ประการเพื่อผมสวย ซึ่งสามารถใช้ได้กับผมปกติ เพื่อที่เส้นผมเหล่านี้จะอยู่กับคุณต่อไปได้นาน ๆ ครับ

 

อย่ายุ่งกับผมมากนัก

เวลาที่คุณไปร้านทำผมนั้น ช่างทำผมมักแนะนำให้ทำผมต่าง ๆ มากมายนอกจากการสระหรือตัดผม เช่น ย้อม ดัด หมัก และในปัจจุบันมีการทำสปาหนังศีรษะและผมอีก ซึ่งผมมักแนะนำว่าให้ทำได้ แต่อย่าทำบ่อยเกินไป อย่าลืมว่าผมของคุณนั้นเป็นส่วนที่ตายแล้ว ถ้าคุณไปดัดหรือย้อมผมมากเกินไป จนเสียแตกหรือหักแล้วก็ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ครับ

 

เลือกหวี (comb) ที่ดี

สิ่งที่ทำอันตรายต่อเส้นผม หรือหนังศีรษะที่สำคัญประการหนึ่งคือ การหวีผม เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนอื่นควรเลือกหวีที่มีฟันกว้างพอสมควร เพราะถ้าคุณเลือกหวีที่ฟันแคบไป ก็จะเป็นอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะได้ และถ้าสามารถเลือกหวีที่มีสารเทฟลอน (Teflon) เคลือบไว้ที่ฟันด้วยก็จะช่วยลดแรงเสียดทานต่าง ๆ ได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าต้องหวีผมให้ได้ถึงวันละ 100 หน เพื่อให้ผมมีสุขภาพที่ดี เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับ เพราะถ้าคุณหวีวันละ 100 หนเป็นเวลานาน ๆ ผมจะร่วงมากกว่าครับ เพราะเป็นการทำอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ โดยทั่วไปผมแนะนำให้หวีวันละ 5 – 10 ครั้งก็พอแล้ว

 

เลือกแปรง (brush) ที่ดี

ลักษณะของแปรงผมที่ดี ควรมีตัวฟันแปรงห่างกันพอสมควร และทำด้วยพลาสติกที่มีปลายเป็นจุดบอลเล็กๆ ติดอยู่เพื่อลดโอกาสที่จะขีดข่วน ทำอันตรายต่อหนังศีรษะของคุณ ปัจจุบันแปรงที่กำลังนิยมกันมาก คือแปรงที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆ มีปลายค่อนข้างแหลม เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตธรรมชาติที่ดี ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อ ก็คือลองแปรงผมของคุณ ถ้าคุณรู้สึกเจ็บหรือปวด ก็แสดงว่าแปรงนั้นไม่เหมาะกับหนังศีรษะของคุณ

 

อย่าหวีผมตอนผมเปียก

เวลาหลังสระผมนั้นผมมักจะเปียกและพันกัน คนส่วนมากมักจะหวีหรือแปรงผมเพื่อที่จะให้ผมดูดี แต่เวลาที่ผมเปียกนั้นเป็นช่วงที่เส้นผมจะอ่อนแอมาก ไม่ควรไปทำอะไรกับเส้นผมช่วงนั้นมาก อาจจะใช้นิ้วมือช่วยสางผมจากโคนผมถึงปลายผม และเมื่อเวลาที่ผมเกือบแห้งแล้ว จึงค่อยใช้หวีหรือแปรงผมจะดีกว่าครับ

 

ไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อน

คนส่วนใหญ่นิยมเป่าผมให้แห้งโดยใช้ความร้อนสูง โดยใช้เครื่องเป่าผมที่บ้านหรือใช้ที่ครอบผม (hood) ในร้านทำผม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะความร้อนจะสลายเส้นผมได้ และทำให้น้ำในเส้นผมระเหยออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด “bubble hair” ซึ่งจะทำให้เส้นผมแตกหักได้ ความจริงแล้วควรใช้ที่เป่าผมให้ลมออกมาในอุณหภูมิปกติ (แต่ผู้ใช้ส่วนมากมักไม่ชอบ) ผมจึงแนะนำให้ใช้ความร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกันครับ

 

อย่าแกะหรือเกาหนังศีรษะ

ในคนที่มีรังแคหรือผิวหนังอักเสบที่ศีรษะ บางคนจะมีอาการคันที่หนังศีรษะร่วมด้วย และมักจะคอยแกะหรือเกาทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งบางทีจะรักษายากกว่าอาการรังแคเองเสียอีก ถ้าคุณมีรังแคหรือคันศีรษะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า เพราะอาจจำเป็นต้องใช้โลชั่นในกลุ่มของสเตียรอยด์ ร่วมกับแชมพูยาสระผม และในรายที่มีอาการคันมากอาจต้องใช้ยา antihistamine ชนิดรับประทานเพื่อช่วยอาการคันในช่วงแรกครับ

 

ลองใช้ conditioning shampoo ดู

ส่วนมากคนที่มาหาหมอผิวหนังนั้น มักมีผมที่เสียมากพอสมควร การใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม (conditioner) จะช่วยได้ แต่หมอผิวหนังก็มักแนะนำให้ใช้แยกกัน โดยใช้ครีมนวดผม (conditioner) ตามหลังแชมพู

 

ควรใช้ instant conditioner ตามหลังการสระผม

instant conditioner ก็คือ conditioner ที่ใช้ทันทีหลังสระผม ซึ่งพวกนี้ระยะหลังๆ มักมีสารซิลิโคน (silicon) ประกอบด้วย การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ

 

ลองใช้ deep conditioner อาทิตย์ละหน

การ ใช้ deep conditioner จะเหมาะกับผมที่ได้รับการดัด ย้อม หรือทำเป็นเส้นตรง โดยการหมักไว้ประมาณ 20 – 30 นาที ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ชนิดน้ำมัน (oil) หรือโปรตีน (protein) โดยมากผมมักแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน เพราะใช้ได้ทุกสภาพเส้นผม ส่วนชนิดน้ำมันเหมาะกับผมหยักศกที่ยืดเป็นผมเส้นตรง

 

ตัดผมเสียที่ปลายผมออกไป

คนส่วนมากมักไม่ค่อยอยากตัดผมที่เสียบริเวณปลายผมทิ้ง เพราะอยากเก็บผมไว้นาน ๆ แต่หมอผิวหนังมักแนะนำให้ตัดเล็มออกไป เพราะผมที่เสียแล้วไม่มีประโยชน์ แถมยังทำให้ผมฟูฟ่องจัดทรงได้ยากอีกด้วยครับ

“อ่าน 10 วิธีดูแลรักษาเส้นผมให้ดีนี้แล้ว อย่าลืมนำไปปฏิบัตินะครับ เพื่อผมสวยสุขภาพแข็งแรงไปได้อีกนาน”

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสาร Health Today.(2009).เคล็ดลับ 10 ประการเพื่อผมสวย.29 กันยายน 2560.
แหล่งที่มา : https://women.thaiza.com/เคล็ดลับ-10-ประการเพื่อผมสวย/102967/
ภาพประกอบจาก : women.thaiza.com


5-ข้อสงสัย-คนใส่ชุดชั้นในไม่เคยรู้-h2c.jpg

เมื่อกล่าวถึงชุดชั้นใน  สำหรับบางคนอาจจะเห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยสนใจ แต่ข้อมูลในปัจจุบันพบว่ามูลค่าตลาดชุดชั้นในทั่วโลกสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านบาท นอกจากมูลค่าทางการตลาดที่สูงแล้ว ชุดชั้นในยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่น่าสนใจ อย่างเช่นการเป็นเสื้อผ้าชิ้นที่อยู่ใกล้ชิดกับส่วนที่บอบบางที่สุดแห่งหนึ่งในร่างกายของเรา หากเคยสงสัย และยังไม่เคยมีโอกาสที่จะเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในด้านสุขภาพของชุดชั้นใน รีบอ่านต่อเลย เรามีคำถามยอดฮิตและคำตอบมาแชร์กับทุกคนแล้ว

 

Q: ถ้าเราใส่ชุดชั้นในซ้ำ เป็นวันที่ 2 จะเป็นอย่างไร

เรามีข่าวดีสำหรับทุกคนที่เกลียดการซักผ้า และมักจะขี้เกียจซักชุดชั้นในบ่อยๆ เพราะการใส่ชุดชั้นในซ้ำกัน 2 วันจะไม่มีผลกระทบ ที่สามารถลามไปเป็นปัญหาสุขภาพ แต่สก็อต แคสเตลเลอร์ (Scott Kasteler, M.D.) ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า “ตราบเท่าที่ไม่มีคราบของสิ่งปฎิกูลจากร่างกายเกิดขึ้นก็ไม่มีปัญหา”  หากมองด้านสุขภาพเป็นหลัก “คุณสามารถใช้ชุดชั้นในซ้ำไปได้หลายวัน”

แต่ก็มีข้อยกเว้น คือ ถ้าคุณมีรอยขีดข่วนที่ผิวหนัง แผล หรือผื่นเกิดขึ้น นั่นคือสัญญาณสำคัญ ว่าคุณไม่ควรใช้ชุดชั้นในซ้ำ ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะจบลงด้วยการติดเชื้อ หรือถ้าคุณเป็นคนที่เหงื่อออกมาก หรือไปทำกิจกรรมหนักๆ จนเหงื่อท่วม คุณก็ควรจะเปลี่ยนชุดชั้นในเช่นกัน เพราะสำหรับเพศหญิง ความเปียกชื้นสามารถก่อให้เกิดแบคทีเรียที่เรียกว่า Candida ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อราในช่องคลอด และในขณะที่ผู้ชายอาจจะไม่ค่อยระคายเคืองจากความชื้นมากนัก แต่ถึงยังไงก็ควรทำให้แน่ใจ ว่าพื้นที่ภายในชุดชั้นใน จะแห้งและสะอาดอยู่เสมอ เพราะมันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงหรอก

 

Q: ประเภทของเนื้อผ้ามีผลอย่างไร

เนื้อผ้าของชุดชั้นในสามารถสร้างความแตกต่างในด้านสุขภาพได้ ในการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศในอนาคต เช่น การติดเชื้อช่องคลอดและอวัยวะเพศภายนอกของสตรี (Vulvovaginitis) สังคัง (Jock itch) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สวมชุดชั้นในที่ทำจากผ้าคอตตอนที่ใหม่ สะอาด ไม่รัดจนเกินไป สามารถระบายอากาศ และขจัดความชื้นที่จะเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้ดี

ปัจจุบันเนื้อผ้าโพลีเอสเตอร์หรือโพลีเอสเตอร์ผสม ซึ่งมีคุณสมบัติขจัดความชื้นได้ดี ได้รับความนิยมและถูกใช้เป็นเนื้อผ้าหลัก ๆ ในการทำชุดกีฬาสำหรับใช้กลางแจ้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งกลางวันสั้นกว่ากลางคืน และยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่สวมใส่ผ้าสังเคราะห์เหล่านี้ จะสามารถแสดงประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และมีความสะดวกสบายมากกว่าการสวมผ้าคอตตอนธรรมดา

 

Q: ออกกำลังกายโดยสวมชุดชั้นในแบบไม่เต็มตัว เช่น พวกจีสตริง ดีไหม

ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ การศึกษาเรื่องการสวมใส่ชุดชั้นในแบบไม่เต็มตัว และผลกระทบด้านสุขภาพยังมีจำนวนไม่มาก ดังนั้นคุณอาจต้องระวังเมื่อเลือกที่จะสวมใส่ชั้นในสุดเซ็กซี่ขึ้นวิ่งบนลู่วิ่ง เพราะชุดชั้นในแบบไม่เต็มตัว มีแนวโน้มก่อให้เกิดปัญหาบางอย่าง จากการเคลื่อนไหวมาก มีการกดทับซ้ำๆ เสียดสี ในแนวหรือพื้นที่เล็กๆ ขณะเดียวกันชุดชั้นในแบบนี้ ยังเปิดโอกาสให้อวัยวะเพศของคุณไปสัมผัสกับเสื้อผ้าส่วนอื่นๆ ที่อาจมีปัญหาเรื่องการระบายความชื้น ทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ช่องคลอดและอวัยวะเพศภายนอกได้ง่าย แนะนำให้ใส่ชุดชั้นในแบบเต็มตัวจะดีกว่า

 

Q : กางเกงชั้นในชายแบบที่มีขา (Boxer) กับแบบที่ไม่มีขา (Briefs) แบบไหนดีต่อสุขภาพ

เป็นที่รู้กันว่าระหว่างแฟชั่นและความสบายมักสวนทางกันอยู่เสมอ โดยมีการถกเถียงกันอย่างจริงจังในหัวข้อที่ว่า กางเกงชั้นในชายแบบไหนจะเวิร์คที่สุด โดยใช้หลักในการตัดสินอยู่ที่ประสิทธิภาพในการผลิตสเปิร์ม (Sperm) เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ โดยผลที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงเรื่องของอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการผลิตสเปิร์ม และสิ่งที่จะช่วยให้อวัยวะเพศของคุณผู้ชายถูกห่อหุ้ม มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ก็คือกางเกงในชายแบบไม่มีขานั่นเอง

 

Q : ถ้าจะไม่ใส่ชุดชั้นในเลย จะดีไหม

จากผลสำรวจ 1 ใน 4 ของชาวอเมริกันไม่สวมชุดชั้นใน ทั้งที่ไม่มีชั้นในและหรือเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก็มีบางกรณีที่จะต้องคำนึงถึง เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย อย่างกางเกงนักมวยที่หลวม จะเคลื่อนตัวเสียดสี ถูเข้ากับผิวหนังทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย แต่ถ้ากางเกงที่คุณสวมใส่มีความพอดี อยู่ทรง มีเนื้อผ้าที่แห้งเร็ว ไม่อับชื้น แค่นั้นชุดชั้นในก็ไม่จำเป็น แล้วยิ่งถ้าคุณไม่มีปัญหาเรื่องผิว ผื่นคัน รอยขีดข่วนและอื่นๆ การไม่สวมใส่ชั้นในก็ไม่เป็นปัญหาอะไรทั้งนั้น เพลิดเพลินไปกับอิสรภาพได้เต็มที่

สรุปแล้วก็คือ เช็คผิวของคุณก่อน ว่าง่ายต่อการระคายเคืองและเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากแค่ใหน เลือกชุดชั้นในที่เหมาะสม ระมัดระวังในการเลือกชั้นในสำหรับการออกกำลังกาย ตราบใดที่คุณยังสามารถรักษาบริเวณที่บอบบางให้แห้ง และสะอาดอยู่เสมอ การใช้ชั้นในซ้ำกันไปในบางวันก็ไม่เป็นไร และสุดท้ายคือคุณจะไม่ใส่ชั้นในในบางครั้งก็ได้ หากผิวของคุณไม่ได้บอบบางนัก

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.everydayhealth.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก