ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

banner-mammogram-breast-ultrasound.jpg


“ก้อนที่เต้านม” ภัยใกล้ตัวที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้

หากถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตสำหรับทุกคนคืออะไร คำตอบคงแตกต่างกันออกไป แต่เชื่อว่าหนึ่งในนั้นคงมีเรื่องของ “สุขภาพ” เป็นอันดับต้น ๆ แน่นอน ถึงกับมีประโยคที่สะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพที่อาจส่งผลต่อชีวิต เช่น “การมั่งมีที่แท้จริงคือการมีสุขภาพที่ดี ไม่ใช่เงินทอง” หรือ “เงินซื้อสิ่งของได้ แต่ซื้อเวลาและสุขภาพที่ดีไม่ได้” 

โดยปกติแล้ว เราทุกคนไม่มีใครอยากเจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด เพราะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่โรคภัยบางครั้งก็มาหาเราอย่างไม่ทันตั้งตัวแม้จะดูแลเป็นอย่างดี ทั้งชายหญิงสามารถเผชิญโรคต่าง ๆ ได้เหมือนกัน แต่มีบางโรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย หรือพบได้บ่อยในเพศหญิง เดี๋ยวหมอจะอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมค่ะ

โรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย ได้แก่ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก เช่นเดียวกับสุขภาพผู้หญิงที่มักสัมพันธ์กับระบบเจริญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ช่องคลอด มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ รวมถึงฮอร์โมนเพศหญิงที่สลับกันขึ้นสูงและลดต่ำลงตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่ช่วงวัยเจริญพันธุ์จนถึงช่วงหลังวัยเจริญพันธุ์ 

และปัญหาที่พบบ่อยสุดคือ “ก้อนที่เต้านม” ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูง และไม่ได้เกิดกับเพศหญิงเท่านั้น เพศชายก็อาจเผชิญโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน โรคของเต้านมที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งเต้านม ที่เกิดจากก้อนเนื้อบริเวณเต้านม และเราจะทราบได้อย่างไรว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นปัญหาที่พบบ่อย และพบว่า มีเพียง 80 – 90% ที่เป็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำชนิดไม่ร้ายแรง แต่อีก 10 – 20% ที่พบว่าเป็นก้อนเนื้อชนิดรุนแรงสามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 ของผู้ที่ป่วยเลยทีเดียว 


“มะเร็งเต้านม”

พบผู้ป่วยรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก ตรวจก่อน เจอก่อน มีผลลัพธ์การรักษาที่ดี โดยข้อมูลของ Global Cancer 2020 พบว่า มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่สูงถึง 2.26 ล้านคนต่อปี ถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังพบว่า มะเร็งเต้านมถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่มากที่สุดในผู้หญิงไทยที่ 22,158 รายต่อปี และในจำนวนนี้มีการเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว 

สำหรับสาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด  ยุทธวิธีในการควบคุมที่สำคัญจึงเป็นการตรวจคัดกรอง เพื่อหามะเร็งเต้านมให้เจอตั้งแต่ระยะแรก ๆ และทำการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี มีภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตต่ำ ที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะไม่สูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังการรักษา 

หากอยากรู้ว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย เบื้องต้นเราสามารถตรวจคัดกรองด้วยตัวเองโดยการสังเกตและคลำก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นประจำ หากพบความผิดปกติสามารถไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลวินิจฉัย 

ในการตรวจเต้านมด้วยตัวเองนั้น หลายคนอาจสงสัยว่า คลำเจอก้อนแบบไหนแล้วควรรีบไปปรึกษาแพทย์ ในความเป็นจริงเมื่อคลำเจอก้อนที่เต้านม ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้แม้ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ โดยก้อนเนื้อที่มีความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นมะเร็งเต้านมจะมีลักษณะแข็งกว่าก้อนเนื้อธรรมดา และมักมีอาการอื่นๆ ให้สังเกตพบด้วย เช่น มีการดึงรั้งของผิวหนังและหัวนม หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะเริ่มฉุกคิดและหันมาใส่ใจร่างกายตัวเองมากขึ้นนะคะ และถ้าใครสนใจเข้ารับการตรวจเต้านม โดยอาจจะเป็นผู้ที่คลำเจอความผิดปกติของเต้านม เจ็บเต้านม รูปทรงเต้านมเปลี่ยน สนใจตรวจสุขภาพเต้านม รวมไปถึงผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมหรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ทีมงานขอแนะนำ “ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ซึ่งเป็นศูนย์เต้านมที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเต้านมอย่างครบวงจร โดยทีมแพทย์และทีมสหวิชาชีพที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการดูแลรักษาโรคทางเต้านมโดยเฉพาะ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน การตรวจวินิจฉัยและการรักษา เช่น การตรวจคัดกรองด้วยวิธีแมมโมแกรมระบบดิจิตอลและอัลตราซาวนด์ และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (กรณีมีความเสี่ยงสูง MRI) 

Mammogram-Breast-Ultrasound

การตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอลเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องตรวจแมมโมแกรม วิธีนี้รวดเร็ว สะดวก และให้ภาพที่มีรายละเอียดสูงกว่าการตรวจแบบเอกซเรย์ทั่วไป ส่วนการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ เป็นการสร้างภาพภายในเต้านมด้วยคลื่นความถี่ทำให้เห็นภาพในมุมมองที่ยากต่อการมองเห็นด้วยวิธีการตรวจแมมโมแกรม สนใจคลิก แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

ส่วนการรักษามะเร็งเต้านม ที่บำรุงราษฎร์มีศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านเต้านม และมีประสบการณ์ในการผ่าตัดโรคที่เกี่ยวกับเต้านม ทั้งที่เป็นมะเร็งและกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับเต้านมทั้งหมด รวมถึงการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม เพื่อคงคุณลักษณะของความเป็นผู้หญิงและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ และยังมีการประชุม Multidisciplinary Team Breast Conference ของทีมแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อการรักษาที่ตรงจุด แม่นยำ เกิดผลข้างเคียงน้อย ให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น 

Mammogram-Breast-Ultrasound

ทั้งนี้ ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีการบริการในระดับศูนย์ที่มีความเป็นเลิศด้านการแพทย์ (Center of Excellence) ใน 3 ลักษณะ 
  • Fast Diagnosis ทราบผลตรวจวินิจฉัยภายใน 72 ชั่วโมง ว่าเป็นหรือไม่เป็นมะเร็ง นับตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ส่งเจาะชิ้นเนื้อ และพบศัลยศาตร์แพทย์เต้านม มากกว่า 98% (Eusoma Benchmark 95%) 
  • Fast Treatment เป็นความรวดเร็วในการรักษาของผู้ป่วย โดยที่ศูนย์ฯ สามารถวางแผนการรักษา และส่งเข้ารับการผ่าตัดได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • Excellent Outcome มีผลลัพธ์ด้านการรักษา และความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม โดยมีอัตราการรอดชีวิตสูง อัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ
    • การติดเชื้อหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมต่ำ
    • อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องผ่าตัดซ้ำภายใน  72 ชั่วโมง น้อยกว่า 1%
    • สามารถเคลื่อนไหวข้อไหล่ หัวไหล่หลังผ่าตัดได้ทันที* เพื่อให้ข้อไหล่มีการเคลื่อนไหวได้ มากกว่า 90 องศา เพื่อทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น วิธีที่จะป้องกันมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลาม คือการตรวจคัดกรองด้วยตัวเองอยู่เสมอและหากพบความผิดปกติก็ควรรีบเข้ารับการวินิจฉัย เพราะหากพบเร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้ 

 

ถึงเวลาที่ “เต้านม” ต้องได้รับการดูแล…เป็นพิเศษ
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เต้านม รพ.บำรุงราษฎร์ โทร 02 011 3680
หรือสนใจซื้อแพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม คลิก
แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

 

 

 


6-year-ginseng-how-good.jpg

โสม (Ginseng) เป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดมาจากแถบประเทศจีนและเกาหลี โสมมีหลากหลายชนิดและแต่ละชนิดก็ให้คุณประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป จนได้ชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งสมุนไพร” โสมเป็นพืชที่เติบโตช้า มีความสูงของต้นเพียง 60 – 80 ซม. โดยต้องรอนานหลายปี กว่าจะได้รากโสมที่มีสารสำคัญทางยาในปริมาณสูง

 

ประเภทของโสม

โสมโสมสามารถแบ่งตามอายุและขั้นตอนการเก็บ ได้ 3 ชนิด คือ 1) โสมสด เก็บเกี่ยวตอนโสมมีอายุไม่เกิน 4 ปี  2) โสมขาว (White ginseng) เก็บเกี่ยวตอนโสมมีอายุระหว่าง 4 – 6 ปี โดยนำรากโสมที่ล้างสะอาดแล้ว มาปอกเปลือกแล้วนำไปอบแห้งทันที และ 3) โสมแดง (Red ginseng) เก็บเกี่ยวตอนโสมมีอายุ 6 ปี เป็นการนำรากส่วนที่ดี ๆ มาล้างให้สะอาด แล้วอบด้วยไอน้ำ 120 – 130 องศา เป็นระยะเวลา 2 – 4 ชั่วโมงแล้วนำไปอบแห้ง ด้วยอายุที่มากกว่าและขั้นตอนผลิต ส่งผลให้โสมแดงมีสรรพคุณและราคาที่สูง

 

องค์ประกอบและสารสำคัญในโสมโสม

จากการศึกษาวิจัยพบองค์ประกอบทางเคมีหลายชนิดในโสม เช่น น้ำตาลชนิดต่าง ๆ สารประกอบสเตียรอยด์ เช่น สติกมาสเตอรอล เบต้าไซ-โทสเตอรอล สารไตรเตอร์พีนอยด์ เจนิน กรดโอลีเอนิก ส่วนสารตัวสำคัญที่พบในรากโสมคือ สารซาโปนิน (Saponin) ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Ginsenoside กลุ่ม Panaxoside และกลุ่ม Chikusetsusaponin โดยสารที่สำคัญที่สุดคือคือ “จินเซนโนไซต์” (Ginsenosides) ซึ่งจะมีในโสมประมาณ ร้อยละ 1 – 2 โดยน้ำหนัก ขึ้นกับชนิดของโสมแหล่งที่ปลูก รวมทั้งกระบวนการผลิตโสม ดังนั้น เมื่อหาซื้อโสมมาบำรุงร่างกายจึงควรดูปริมาณส่วนประกอบของโสมโดยเฉพาะจินเซนโนไซต์เป็นสำคัญ หรือในปัจจุบันมักเรียกสารเหล่านี้รวม ๆ กันว่าสาร Adaptogen

 

ประโยชน์ต่อสุขภาพของโสม 6 ปี

โสม 6 ปี ดีอย่างไร

โสมเกาหลีมีประวัติถูกใช้เป็นยาสมุนไพรในทางการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลายาวนานถึง 2,000 ปี โดยเฉพาะการมีสารสำคัญอย่าง ‘จินซิโนไซด์’ (Ginsenosides) โดยเชื่อว่าโสมที่โตเต็มที่จะมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงร่างกาย

  1. สร้างความสดชื่น มีชีวิตชีวา
  2. ลดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
  3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
  4. ปรับสมดุลความดันโลหิต
  5. บำรุงสมอง ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ ส่งผลต่อสมาธิและอารมณ์
  6. เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

เรียกได้ว่า โสมเกาหลีมีการวิจัยถึงคุณประโยชน์เพื่อใช้บำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ผลิตภัณฑ์โสม 6 ปี

โสมเกาหลีสกัด อายุ 6 ปี

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.d-daily.co
ที่มา: www.medthai.com  www.pobpad.com  www.biopanax.com

 

 


jiaogulan-reduces-cholesterol-diabetes.jpg

เจียวกู่หลาน เป็นสมุนไพรที่ได้รับการขนานนามว่า สมุนไพรแห่งชีวิตอมตะ ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้มีการศึกษามาอย่างมากมายถึงคุณประโยชน์นานัปการเทียบเคียงกับโสมได้เลยค่ะ ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายสามารถรับประทานได้ทุกวัน โดยปัจจุบัน “เจียวกู่หลาน” ถูกนำมาสกัดเป็นอาหารเสริมที่ช่วยในการควบคุมคอเลสเตอรอล และรักษาโรคเบาหวาน จึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวหรือผู้สูงวัยทั้งหลาย

 

ข้อมูลเบื้องต้นของ เจียวกู่หลาน

เจียวกู่หลานเจียวกู่หลาน หรือ Gynostemma Peenta- Phyllum Makino เป็นพืชตระกูลเดียวกับ Cucurbitaceae โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีฟเอเชีย สำหรับประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ ปัญจขันธ์ มีลักษณะเป็นเถา ลำต้นกลม มีสีเขียว โดยส่วนใหญ่จะเพาะปลูกอยู่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเจียวกู่หลานเป็นสมุนไพรที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบของชาชงสมุนไพรและอาหารสุขภาพสำหรับบำรุงร่างกาย

 

สรรพคุณของ เจียวกู่หลาน

สมุนไพรแห่งชีวิตอมตะนี้ หากทุกคนได้ทราบถึงสรรพคุณของเจ้าสิ่งนี้แล้ว คงต้องรีบหามารับประทานเป็นแน่ ซึ่งสรรพคุณหลักของเจียวกู่หลานที่มีผลวิจัยมากมายรองรับคือความสามารถในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายแบบฉับพลัน รวมไปถึงสามารถปรับสมดุลของความดันเลือด โดยหากรับประทานอย่างเป็นประจำยังจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย รวมถึงช่วยปรับสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และยังช่วยคลายความเครียดและทำให้นอนหลับได้สบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ

  1. ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล
    คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งในร่างกาย สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดได้แก่ คอเลสเตอรรอลชนิดที่ดี (High-Density Lipoprotein: HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดเจียวกู่หลานที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) โดยคอเลสเตอรอลสูง (High Cholesterol) เป็นภาวะที่ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจทำอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทั้งยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วย โดยภาวะนี้มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิ ไม่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ นอกจากนั้นอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพของตน อาทิ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ รวมถึงโรคต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง (Underactive Thyroid) ซึ่งการรักษาสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่ สำหรับการใช้ยาในการรักษาทั้งนี้ต้องดูผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของแต่ละบุคคลอีกด้วย
    .
    นอกจากนั้นเรายังสามารถใช้เจียวกู่หลานในการป้องกันและลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เนื่องจากมีการวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า เจียวกู่หลานสามารถเข้าไปควบคุมและลดปริมาณไขมันในเลือดได้ ทั้งคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้อีกด้วยค่ะ
    .
  2. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดเบาหวาน
    โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนชนิดนี้ จนทำให้มีน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก โดยสังเกตได้จาก อาการกระหายน้ำ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย สายตาพร่ามัว รวมถึงแผลหายช้า โดยการรักษาทำได้โดยฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปในร่างกาย ควบคู่กับเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกาย หากไม่ทำเช่นนี้ความร้ายแรงของโรคอาจรุนแรงไปถึงการตัดอวัยวะบางส่วนทิ้งเพื่อป้องกันการลุกลามของบาดแผลที่ไม่อาจรักษา
    .
    นอกจากวิธีดังกล่าวเรายังสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับมาปกติด้วยสมุนไพรแห่งชีวิตอมตะอย่างเจียวกู่หลาน ซึ่งนอกจากสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย โดยผ่านกลไกการยับยั้งเอนไซน์ที่เกี่ยวกับกระบวนการเมทาบอลิซึมของกลูโคส ทั้งยังกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน รวมถึงป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานด้วยการต้านอนุมูลอิสระ โดยที่ไม่พบอาการข้างเคียงอีกด้วยค่ะ
    .
  3. ช่วยคลายเครียดและทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
    เจียวกู่หลานในสถานการณ์ที่ค่อนข้างโหดร้ายต่อจิตใจ ทั้งสภาวะเศรษฐกิจและสังคม นำมาซึ่งความเครียดสะสม นอนไม่หลับ จึงทำให้จิตใจไม่ผ่องใสเท่าที่ควร ซึ่งการศึกษาเกี่ยวสมุนไพรเจียวกู่หลานพบว่า เจียวกู่หลานมีสารสกัดที่ได้จากสมุนไพร หรือ Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสมดุลภายในร่างกาย สามารถลดความเครียด และทำให้ร่างกายกลับมากระฉับกระเฉงอีกครั้ง

 

ป้องกันคอเลสเตอรอลและเบาหวาน Hi-Balanz Jiaogulan Extract ช่วยได้

ในปัจจุบันเจ้าสมุนไพรเจียวกู่หลานถูกบรรจุในผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งเราค้นพบว่า Hi-Balanz Jiaogulan Extract ตอบโจทย์ทั้งการลดระดับคอเลสเตอรอล ลดภาวะน้ำตาลในเลือด ควบคุมความกันโลหิต เพิ่มภูมิต้านทาน ต้านการอักเสบ ปรับสมดุลในร่างกาย ผ่อนคลายความเครียดช่วยให้นอนสบายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย

เจียวกู่หลาน

นอกจากนั้น Hi-Balanz Jiaogulan Extract  ยังอัดแน่นไปด้วยสารกัดจากเจียวกู่หลาน (Gynostemma Extract) ถึง 100 มิลลิกรัม โดยมีสารประกอบที่สำคัญ อาทิ Gypenoside ถึง 82 ชนิด มีส่วนในการบำรุงร่างกาย ช่วยสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มภูมิต้านทาน และต้านอนุมูลอิสระ เสริมทัพด้วย Flavonoid ที่สามาถลดระดับของคอเลสเตอรอล ป้องกันไม่ให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยไม่ให้เซลล์ภายในร่างกายถูกทำลาย ส่วน Vitamin B1 และ 2 ช่วยในการบำรุงประสาท คลายความเครียด ลดอาการปวดไมเกรน มีส่วนช่วยในการมองเห็น และสุดท้ายคือแร่ธาตุ ที่ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับการบริโภค เราสามารถบริโภคได้เป็นประจำทุกวันโดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงในร่างกายของเราอีกด้วยค่ะ

Hi-Balanz Jiaogulan

Hi-Balanz Jiaogulan Extract 30 Capsules

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.hibalanz.com

 


-01.jpg

เมื่อพูดถึง ” วิตามินซี ” หลายคนคงนึกถึงผลไม้รสเปรี้ยว อย่างเช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขามหวาน มะขามป้อมและอีกมากมาย ขอเพียงแต่เป็นผักผลไม้สด ๆ เป็นใช้ได้ หรือบางคนอาจนึกถึงยาเม็ดสีส้ม สีเหลือง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ไว้กินเวลามีเลือดออกตามไรฟัน ในความเป็นจริงแล้ว” วิตามินซี “มีประโยชน์มากมายกว่านั้น

 

วิตามินซีมีประวัติการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่า ทหารเรือออกเดินเรือเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้รับประทานผักและผลไม้สด จึงมักป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ ต่อมาจึงได้หาสารอาหารที่เป็นต้นเหตุได้ คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbicacid) หรือวิตามินซีนั่นเอง

 

วิตามินซี ประโยชน์ที่ได้รับ

ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ

  • วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน
  • วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบจึงทำให้แผลหายเร็ว
  • วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
  • วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
  • วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก
  • วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
  • วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโน ให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย
  • วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

 

การรับประทานวิตามินซี

การรับประทานวิตามินซี ภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียด ควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซี การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium อาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ วิตามินซีทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับแร่ธาตุเหล็กเกิน

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: นพ.ครรชิต อมาตยกุล.(2008).เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินซี.12 เมษายน 2558.
แหล่งที่มา: www.hilight.kapook.com
ภาพประกอบจาก: www.livestrong.com


5-วิตามินยอดฮิต-ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี-H2C.jpg

5 วิตามินยอดฮิต ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี เมื่อพูดถึง ”วิตามิน” คนส่วนใหญ่มักนึกถึงสรรคุณทาง ”ยา” ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สดชื่น และสามารถรักษาโรคได้ ความเข้าใจดังกล่าวถูกต้องเพียงบางส่วน แม้ว่าวิตามินจะสามารถทำหน้าที่เสมือนยาแต่ถึงอย่างไรวิตามินก็ไม่ใช่ยา

 

เพราะความจริงแล้ววิตามินเป็นส่วนหนึ่งของสารอาหารและสารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เริ่มตั้งแต่การหายใจของเซลล์ การนำโปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ รวมถึงการผลิตพลังงาน ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์วิตามินขึ้นได้เอง เราจึงต้องได้รับวิตามินที่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ผ่านการกินอาหารเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างในร่างกาย วัตถุประสงค์และวิธีการกินวิตามิน รวมถึงสารอาหารยอดฮิตชนิดต่างๆ ให้ถูกต้องและปลอดภัยควรทำอย่างไร ลองตามไปดู

 

วิตามินซี

ในรูปแบบอาหารเสริม มีทั้งแบบเม็ดอัด แคปซูล ลูกอม ผสมน้ำหวาน-เครื่องดื่ม หรือผงละลายน้ำ รวมถึงการนำมาทำเป็น ซีรั่ม ครีม โลชั่น เพื่อเป้าหมายหลักในการบำรุงผิวให้ดูขาวใส เปร่งปรั่ง ลดความหมองคล้ำ นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถป้องกันและรักษาโรคหวัดทั้งยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบจากการติดเชื้อและระดับคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย

ปัญหาการขาดวิตามินซีพบได้ในกลุ่มคนที่ควบคุมอาหารมากๆ เป็นมังสวิรัต สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการดูดซึม ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดข้อ เลือดออกตามไรฟัน แผลหายช้า และติดเชื้อง่าย ปริมาณวิตามินซีที่รางกายต้องการขั้นต่ำต่อวันคือ 60 มก.

ในบุคคลที่ขาดวิตามินซีแพทย์จะแนะนำให้กินวันละไม่เกิน 1000 มก. เพื่อประโยชน์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย แต่ในช่วงที่เป็นหวัดควรกินวันละ 3000 มก. แบ่งเป็น 3-6 เวลา ตลอดทั้งวัน จะลดความรุนแรงของหวัดได้มากที่สุด 85%

 

วิตามินบีรวม

เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยวิตามิน บี1 บี 2 ไนอะซีน แพนโทธีนิก แอซิด บี 6 บี 12 โฟลิก แอซิด ไอโนซิทอล และโคลีน วิตามินบีรวม นอกจากจะเหมาะสำหรับการบำรุงสุขภาพผิว ผม สายตา ตับแล้ว ยังมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาความผิดปกติของเส้นประสาทและคลายความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้หลายคนไม่รู้ว่าวิตามินบียังช่วยให้กระฉับกระเฉง ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่นอนดึกหรือนอนหลับยาก การกินวิตามินบีก่อนนอนอาจทำให้คุณกลายร่างเป็นนกฮูกตาค้างไปทั้งคืน สำหรับปริมาณในการกินวิตามินบีเพื่อเป็นอาหารเสริมควรอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 มก. ต่อวัน

 

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

มีประโยชน์ช่วยต้านการอักเสบ เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยป้องกัน และยับยั้งการลุกลามของภาวะประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน บำรุงผิวพรรณ รักษาผิวหนังอักเสบ นอกจากนี้ยังพบรายงานวิจัยบ่งชี้ว่าการรับประทานน้ำมันอีฟนิงพริมโรส มีผลในการรักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติ คลายการเจ็บเต้านมช่วงก่อนมีประจำเดือน และช่วยบรรเทาอาการปวดบวมของข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ แม้อีฟนิงพริมโรสจะถูกโฆษณาและโหมสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ แต่ทางที่ดีควรใช้เท่าที่จำเป็น ไม่เกิน 3,000 มก. ต่อวัน สำหรับผลข้างเคียงอาจทำให้มี อาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ ผื่นแพ้และลมชักกำเริบ

กลูต้าไธโอน

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากของร่างกายด้วย ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่เน้นสรรพคุณเรื่องผิวขาว มักอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำซึ่งสามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์

ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการกินกลูตาไธโอนจึงแทบจะไม่มีเลย ทำให้มีคนพยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนยากินมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวใสนั้นก็ยังไม่มีการพิสูจน์ผลที่ชัดเจน

 

Zinc (สังกะสี)

เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาบาดแผลในร่างกายและช่วยให้ของร่างกายดำรงความสมดุลในผู้ใหญ่ และช่วยทำให้เกิดความเจริญเติบโตในเด็ก ควบคุมฮอร์โมน สังเคราะห์โปรตีน ช่วยสร้างเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกัน zinc ประกอบด้วยเอ็นไซม์ที่ควบคุมกระบวนการเผาผลาญ ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระโดยปัจจัยต่าง ๆ หน้าที่ของ zinc ที่น่าสนใจก็คือการช่วยควบคุมอาการผิดปกติของผิวและช่วยในการรักษาบาดแผล อาหารเสริม zinc จะให้ผลดีที่สุดหากกินก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร อย่างไรก็ดีหากมีอาการปวดท้องควรกินพร้อมอาหาร และไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียมหรือฟอสฟอรัสสูงเพราะอาจทำให้การดูดซึมสังกะสีลดลง

 

จำให้ขึ้นใจ วิตามินไม่ใช่ยาวิเศษ!

  • วิตามินไม่สามารถทดแทนอาหารได้ และไม่สามารถดูดซึมได้หากไม่ได้รับประทานร่วมกับอาหาร
  • วิตามินไม่ใช่ยากล่อมประสาท
  • วิตามินไม่สามารถทดแทนโปรตีนหรือสารอาหารอื่น เช่น เกลือแร่ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต น้ำ หรือแม้แต่ทดแทนกันเอง โดยตัวของวิตามินเองแล้วไม่ใช่ส่วนประกอบของโครงสร้างในร่างกายเรา คุณไม่สามารถเลิกกินอาหารอื่น ๆ และหันมากินแต่วิตามิน เพื่อสุขภาพที่ดีได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์.(2015).5 วิตามินยอดฮิต ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี?.4 กุมภาพันธ์ 2558.
แหล่งที่มา: www.prachachat.net
ภาพประกอบจาก:  www.iherb-center.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก