ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-กับ-การแช่ดีเกลือ.jpg

วันนี้ดูละครเกาหลีแล้ว มีข้อคิดมาแชร์กัน 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ การทำน้ำอุ่นแช่ตัวกรณีที่ไม่มีอ่างอาบน้ำ และกรณีที่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น กับอีกเรื่อง คือ ประโยชน์ของการแช่ตัวด้วย ดีเกลือ ปีนี้เมืองไทยค่อนข้างหนาว การได้อาบน้ำอุ่นก็ช่วยให้เลือดไหลหมุนเวียนสะดวกสบายขึ้น ทำให้ลดอาการปวดเมื่อยได้ในวันที่ต้องเดินเยอะ ๆ หรือวันที่ออกกำลังกายหนัก ๆ ถ้าได้แช่น้ำอุ่นจัด ๆ บวกกับการใช้เกลือ ลดการปวดเมื่อยได้ดีทีเดียว

 

เคยได้ยินเรื่องการใช้เกลือกับการนอนแช่น้ำอุ่น ในเขตชนบทของเกาหลีเหนือ ขอพูดเรื่องบทบาทในละครนิดหนึ่งนะคะ เป็นละครออกมาล่าสุดเลยที่นางเอกจากเกาหลีใต้หลงไปอยู่ในเขตทหารของประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งเขตทหารในเรื่องที่อยู่ติดเขตชายแดน  ก็ค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องความสะดวกสบาย การใช้น้ำใช้ไฟทำให้คิดถึงตอนที่ไปเที่ยวบนดอย หนาวมาก น้ำเย็นเจี๊ยบ แต่คิดว่าปัจจุบัน น้ำ ไฟ ความสะดวกสบายเข้าถึงมากแล้ว

ในเรื่องที่น่าสนใจ คือ ไม่มีตู้เย็น ดังนั้น ก็ใช้วิธีห่อเนื้อแล้วใส่ในตุ่มเกลือ เพื่อรักษาเนื้อไว้ใช้ทานต่อไป ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าทำน้ำอุ่น ในละครใช้วิธีการต้มน้ำร้อนให้ร้อนแล้วก็เอามาใส่ในกะละมังที่พอจะแช่ตัวลงไปได้ แล้วก็หาพลาสติกมาทำเป็นกระโจม ก็คือ ทำราวเหมืนราวตากผ้า แล้วใช้ตัวหนีบผ้า เหน็บพลาสติกไว้ให้เป็นลักษณะกระโจม คลุมให้ทั่วกะละมัง เพื่อลดการระเหยความร้อนออกไปข้างนอก จะเรียกว่าซาวน่าก็ใช่เลย เผื่อเราได้เอาไปใช้แนะนำคนที่อยากอาบน้ำอุ่น ๆ ในเวลาอากาศหนาว ๆ หวังว่าเรื่องราววันนี้น่าจะมีประโยชน์กับใครไม่มากก็น้อย

เรื่องที่เป็นวิชาการหน่อย คือ เรื่อง ดีเกลือ หรือ  Epsom salt ในบ้านเรามี ใช้  2 แบบคือ ดีเกลือไทย และดีเกลือฝรั่ง

 

ดีเกลือไทย และดีเกลือฝรั่ง มีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน

  • ดีเกลือไทย (Na2SO4) หรือโซเดียมซัลเฟต จะเป็นผง มีสีขาว ไม่มีกลิ่น รสเค็ม
  • ดีเกลือฝรั่ง (MgSO4.7H2O) หรือแมกนีเซียมซัลเฟต หรือ Epsom salt จะเป็นผลึก มีสีขาวใส ไม่มีกลิ่น สามารถละลายน้ำได้ มีรสเค็ม


มีการใช้ Epsom salt ค่อนข้างแพร่หลาย โดยเฉพาะสำหรับนักกีฬา หรือบุคคลทั่วไป สรรพคุณมากมาย แต่ที่ชอบมากสำหรับลูกชายที่เล่นกีฬา คือ ประโยชน์ ช่วยคลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเกร็ง โดยผสมน้ำและนอนแช่น้ำดีเกลือ ช่วยได้ดีเลย

หลังจากละลายในน้ำแล้ว เกลือจะถูกดูดซึมผ่านผิวหนัง มีความปลอดภัยในการใช้ วิธีการผสม คือ ใช้ดีเกลือ หรือ Epsom salt 2 ถ้วยตวง ต่อน้ำแกลลอน ประมาณ 4.5 ลิตร ถ้ามากกว่านี้ก็จะเป็นน้ำกระด้างไป และทำให้ผิวแห้งเกิน ปกติก็ใช้ดีเกลือ  2 ถ้วยตวงต่อน้ำแกลลอน ผสมในอ่างอาบน้ำ แช่อย่างน้อย 15 นาที ถ้าแก้ปวดเมื่อย ก็ให้ใช้น้ำอุ่นอย่าร้อนมาก เพราะอาจจะไม่ยุบบวม นอกจากนี้ ยังใช้เป็นการขับสารพิษได้ด้วย  แถมในบางรายใช้ลดอาการสิวด้วย ทำให้ผมนุ่มสลวย มีสูตรหลายสูตรเลยค่ะ เลือกใช้ได้ตามชอบใจ

 

แมกนีเซียมซัลเฟต

ในทางการแพทย์ นำแมกนีเซียมซัลเฟตเอามาใช้ฉีดเข้าเส้นเลือด ใช้ลดการแข็งตัวของมดลูกในกรณีคลอดก่อนกำหนด และใช้ลดความดันโลหิต ในภาวะครรภ์เป็นพิษ ลดการชักเกร็ง ลดการบวมของสมอง ทางการกินก็เอามาเป็นยาระบายในภาวะท้องผูก

ประวัติของสารตัวนี้ก่อกำเนิดในประเทศอังกฤษ ยุคที่ภัยแล้ง ในปี ค.ศ. 1681 หรือ พ.ศ. 2224 ชายเลี้ยงวัวชื่อ  Henry Wicker ก้มลงดื่มน้ำจากสระน้ำที่  Epsom Common เขาค้นพบว่าน้ำเป็นกรดและขม และทำให้เขาระบายท้อง หรือมีอาการถ่ายเหลวนั่นเอง และหลังจากที่น้ำระเหยไปหมด เหลือแต่ผลึก ก็เลยกลายเป็นเอามาใช้เป็นยาระบาย ในปี ค.ศ. 1755 หรือ พ.ศ. 2318 นักวิทยาศาสตร์ นักเคมีชาวอังกฤษ ทำการศึกษาเกี่ยวกับดีเกลือตัวนี้ และค้นพบว่าสารหลัก คือ แมกนีเซียมซัลเฟต

แมกนีเซียมเป็นสารเกลือแร่ที่สำคํญต่อการดำรงชีวิต ในร่างกายต้องการสารตัวนี้เพื่อการทำงานของกล้ามเนื้อ กระดูก และระบบประสาท ภาวะภูมิคุ้มกัน การเต้นของหัวใจ

 

ข้อดีมากมายแบบนี้ลองเอามาใช้กันดูค่ะ โดยเฉพาะตอนนี้งานวิ่งตามพี่ตูน กำลังเป็นที่นิยมของคนไทยทั้งประเทศ มาลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อกันค่ะ

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com

 


.jpg

เหนื่อยไหมกับการพูดคำว่า “ไม่” กับลูก โดยเฉพาะเรื่องการใช้โทรศัพท์ การเล่นเกมส์ การดูการ์ตูน หรือแม้กระทั่งการดูยูทูป

 

ทุกวันนี้ใครเดินทางด้วยยานพาหนะสาธารณะบ้าง เมื่อปี 2539 หมอได้มีโอกาสไปอยู่ญี่ปุ่น เป็นเวลา 1 เดือน จำได้ว่าโตเกียวตอนนั้น ในรถสาธารณะรถไฟฟ้า คนสูงอายุขึ้นรถก็จะนั่งหลับตา ก้มหน้า เอาหนังสือมาอ่าน เพราะเด็กวัยรุ่นที่ขึ้นมาจะมีการแสดงความรักกันอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะการสัมผัส กอด จูบ ลูบ คลำ ยังเป็นยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ ไวไฟในที่สาธารณะ ตอนนั้นจำได้ว่า แอบดีใจที่บ้านเราไม่มีแบบนี้  แต่ตอนนี้ในบ้านเราตอนขึ้นรถไฟฟ้า  ลองมองไปรอบ ๆ ตัว จะมีเรื่องน่าสนใจ มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้โดยสารเป็นโรคยอดนิยม คือ โรคก้มหน้าก้มตา  ทุกครั้งที่หมอขึ้นรถไฟฟ้า หมอจะพยายามไม่ใช้โทรศัพท์ โดยเฉพาะการสนทนา เพราะทุกคนจะได้ยินหมด แต่ก็มีคนที่เปิดเผย คุยแบบไม่มีการปิดบังใคร เราไม่อยากได้ยินก็ต้องพลอยฟัง และกลายเป็นรู้เรื่องกับเขาไปด้วย แต่ถ้าเราใช้เวลานั้นมองดูรอบ ๆ เราจะแทบไม่อยากมีโทรศัพท์เลยทีเดียว  ยิ่งเห็นภาพที่ถูกส่งกันมา เป็นภาพพระสงฆ์ยืนในรถไฟฟ้า เห็นแล้วมีความคิดกระจัดกระจายกันยังไงบ้างคะ

ทุกคนรู้ดีว่า ถ้าเราลดการใช้โทรศัพท์ โดยเฉพาะเวลาที่เราอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว  ลูกเราก็จะลดการใช้ไปด้วย แต่ทุกวันนี้แม้แต่การที่พาลูกมาหาหมอ มานั่งรอตรวจ ก็จะเห็นว่า มีทั้งพ่อ หรือแม่ หรือลูก ก้มหน้าก้มตา และเมื่อเดินเข้ามาตรวจ ระหว่างการคุย อยากให้ลูกเงียบก็ยื่นโทรศัพท์ให้ลูก เปิดการ์ตูน เปิดยูทูป ถ้าเด็กโตหน่อยก็ห้ามยากขึ้น ไม่เคยเห็นพ่อแม่ห้ามสำเร็จสักที แต่ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนเป็นแบบนี้กันหมดนะคะ มีกลุ่มที่ไม่ให้ลูกใช้ก็เยอะเช่นกันค่ะ เด็กกลุ่มนี้ก็จะช่างคุย ช่างคิด ช่างถาม พัฒนาการทางด้านภาษา การสื่อสาร จะต่างกับในกลุ่มที่ใช้ชัดเจน  เช่น ห้ามใช้ระหว่างทานอาหาร ก็ต้องมีบทสนทนาที่น่าสนใจแทน กลายเป็นว่าไม่ค่อยมีเรื่องราวมาคุยกัน แถมการพูดคุยน้อยลงไปโดยปริยาย มีอะไรก็ส่งเป็นข้อความแทน ไม่ชอบคุย หมอกลับมองว่า ถ้าไม่เห็นหน้า อย่างน้อยโทนเสียงก็บอกอารมณ์ของผู้พูดได้ว่า เราควรจะฟัง หรือปลอบ หรือควรจะหยุด

มีคนเคยบอกว่า ยกเว้นนั่งในเครื่องบิน หรือรถ อนุญาตให้เด็กเล่นได้ แต่บนเครื่องบิน มีอุปกรณ์ระบายสี วาดรูป หรือขีดเขียน ที่เครื่องบินเคยแจกสมัยลูกหมอยังเล็ก แต่ตอนนี้สายการบินประหยัดของพวกนี้ไปเลย เพราะไม่มีใครขอให้ลูก แถม แอร์ก็ไม่แจกไปด้วย เลยไม่รู้ว่ายังมีไหม การอ่านหนังสือ แทบจะตกอยู่ในกลุ่มของคนรุ่นหมอซะส่วนใหญ่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเลือก และเราเลือกที่จะใช้ หรือไม่ใช้ได้  ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เช่นนี้ พ่อแม่สามารถทำได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องสม่ำเสมอ และต้องมีความเห็นที่ตรงกัน คำถามที่ต้องตอบลูกได้ คือ ทำไมพ่อแม่ใช้ได้ ทำไมลูกใช้ไม่ได้ พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกเสมอไม่ว่าในทางบวก หรือทางลบ

บนโต๊ะอาหาร ครอบครัวไหนให้ลูกใช้โทรศัทพ์ระหว่างทานข้าวบ้าง พวกเราที่เป็นพ่อแม่คงไม่คาดคิดว่าการให้ลูกดูการ์ตูน ยูทูป ตอนเล็ก ๆ ระหว่างเราทำงาน หรือป้อนข้าวลูก หรือกล่อมลูกนอน มันจะมีผลในระยะยาว คิด ๆ ดูเหมือนสารเสพติดที่ขาดไม่ได้ในชีวิต ไม่ทำอะไรนอกจากจ้องเข้าไปในจอ เป็นซอมบี้ดี ๆ นี่เอง  หมอเชื่อว่าพ่อแม่หลายคนคงอยากให้ลูกใช้เวลาอยู่กับของพวกนี้น้อยลง

 

ต้องทำยังไง ตามทฤษฎีในเด็กน้อยกว่า 6 ขวบ ราชวิทยาลัยให้ใช้ไม่เกินวันละ 1 ชม. ยากใช่ไหมคะ

ถ้ามีเพื่อนบ้านที่มีลูกอายุไล่เลี่ยกัน ลองคุยกันดูค่ะ หาเวลาตรงกัน มารวมกลุ่มกัน พาลูกไปเล่นด้วยกัน หรือพาลูกเดินหลังทานอาหาร พาลูกไปจ่ายกับข้าว ตลาดนัดหลังบ้าน หรือแม้แต่ในห้าง ชี้ให้ลูกดูว่าอะไรคืออะไร สร้างบทสนทนา สอนคิดเลข อย่าปล่อยให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยง หรือโทรศัพท์ เวลาที่อยู่กับลูกเป็นเวลาทอง แต่ละครอบครัวมีเวลา และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ถ้าไม่อยากให้ลูกใช้ของพวกนี้ การไม่มี ไม่ซื้อ ก็เป็นวิธีหนึ่งนะคะ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเหมาะสม การยอมรับได้ ของแต่ละครอบครัวก็ต่างกัน ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นเพราะอยากให้เลิกใช้ แต่เขียนขึ้นเพื่อบอกว่าทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง และไม่ว่าตัดสินใจอย่างไร ผลที่เกิดขึ้นกับลูกในอนาคต ก็ต้องยอมรับได้ ปรับไปตามแต่ครอบครัวกันนะ

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com

 


.jpg

มาคุยกันเรื่องนอน เพราะคำถามนี้ถามง่ายแต่ปฏิบัติกันยาก คุณพ่อคุณแม่ต้องมีระเบียบวินัย และความเห็นตรงกันพอสมควรในการเลี้ยงลูก ยิ่งถ้ามี ปู่ ย่า ตา ยาย ต้องทำข้อตกลงแล้วเดินไปด้วยกันจะดีที่สุดนะคะ

 

การนอนหลับมีผลกับเด็กและผู้ใหญ่ นอนหลับเท่าไหร่ถึงจะพอ หลักการคร่าว ๆ ทางวิชาการ ข้อแนะนำจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศอเมริกัน

  • อายุ 4 – 12 เดือน วัยนี้ต้องการการนอนประมาณ 12 – 16 ชั่วโมง (รวมเวลาการนอนกลางวัน)
  • อายุ 1 – 2 ปี วัยนี้ต้องการการนอนประมาณ 11 – 14 ชั่วโมง (รวมเวลาการนอนกลางวัน)
  • อายุ 3 – 5 ปี วัยนี้ต้องการการนอนประมาณ 10 – 13 ชั่วโมง (รวมเวลาการนอนกลางวัน)
  • อายุ 6 – 12 ปี วัยนี้ต้องการการนอนประมาณ 9 – 12 ชั่วโมง
  • อายุ 13 – 18 ปี วัยนี้ต้องการการนอนประมาณ 8 – 10 ชั่วโมง

 

ส่วนเด็กอายุ  0 – 3 เดือน

ไม่ได้มีข้อกำหนดเพราะว่ามันแตกต่างกันมาก โดยทั่วไปก็จะไปนอนประมาณ 14 – 17 ชั่วโมง เพราะวัยนี้จะมีภาวะหลับตื่นสลับกันไปตลอดทั้งวัน แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 4 เดือน จะเริ่มหลับกลางคืนได้ยาวประมาณ 6 ชั่วโมง และเมื่ออายุ 6 เดือน จะสามารถหลับได้นานถึง 10 ชั่วโมง ดังนั้น เราหัดลูกเล็กให้นอนยาวทั้งคืน ไม่ต้องตื่นมากินนมได้ วิธีการที่หมอแนะนำแล้วได้ผล แต่ผู้ใหญ่ในบ้านต้องร่วมมือกันนะคะ

โดยทั่วไปเรามักจะกลัวลูกหิว แต่เด็กที่หมอดูแลมาส่วนใหญ่ ถ้าเป็นลูกชาวต่างชาติ อายุ 1 – 2 เดือน ก็ไม่ตื่นมาทานนมกันแล้ว อาจเป็นเพราะไม่ได้นอนด้วยกันกับพ่อแม่ การถูกรบกวนจากแสง เสียง ก็น้อยกว่า ห้องต้องจัดให้มืด แต่ที่หมอแนะนำ คือ หลังอายุ  9 เดือนไปแล้ว ถ้ายังไม่หลับทั้งคืน หมอแนะนำให้รอ ถ้าเด็กร้อง รอให้เด็กร้องได้นานถึง 45 นาที แต่โดยทั่วไปเชื่อไหมว่า ไม่มีเด็กคนไหนที่ร้องได้นานขนาดนั้นเลย นอกจากผู้ใหญ่ในบ้านใจอ่อน ไปอุ้ม ไปให้นมแบบนี้ วันรุ่งขึ้นเด็กจะร้องนานเป็น 2  เท่า เลยล่ะ ประสบการณ์ของหมอเองที่ผ่านมา พ่อแม่หลายคนทำได้สำเร็จ ใช้กับเด็กที่โตขึ้นก็ได้ อีกอันหนึ่ง ก็คือ การงดนมกลางคืน เด็กที่อายุเกิน 6 เดือนไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้กินนมกลางคืน และวิธีการที่หมอใช้ก็คือว่า เผื่อลูกร้องแทนที่จะให้กินนมก็กินน้ำ เด็กเค้าฉลาดมากการที่เราให้กินน้ำแทนนม เด็กฉลาดมากนะ สุดท้ายจะนอนหลับไปเองโดยที่ไม่ตื่นขึ้นมาอีก แม้กระทั่งวิธีนี้ในเด็กที่โต 4 – 5 ขวบแล้ว ก็ใช้ได้ผล แม่เธอบ่นกับหมอ แต่ปรากฏว่าหมอให้ทำวิธีนี้นะ แม่บอกหมอว่า คุณหมอต้องบ้านแตกแน่ แต่เชื่อไหมว่า แค่สองสามวันก็เดินกลับมาบอกว่าแค่คืนเดียวเท่านั้นที่ตื่น หลังจากที่ไม่มีใครให้นม เธอไม่ตื่นอีกเลย ลองเอาไปใช้ดูนะคะรับรองได้ผลแน่นอน แต่ทุกคนในบ้านต้องอดทน ห้ามยอมแพ้ต่อเสียงร้องเด็ดขาด ถ้าทำไม่ได้ หรือยอมแพ้ ก็ต้องรอไปอีกเดือนก่อนจะลองใหม่

 

ในเด็กโตก็ทำแบบนี้ค่ะ

  1. ตั้งเวลาการนอนและตื่นให้เป็นสำหรับทุกวัน แม้กระทั่งวันหยุด ถ้าผ่อนผันได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
  2. 1 ชั่วโมงก่อนนอน ควรจะเป็นเวลาที่สงบ ไม่ควรจะมีกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานเยอะ เช่น เล่นกัน หรือว่ากระตุ้นเยอะ เช่น ดูทีวี หรือว่าเล่นคอมพิวเตอร์
  3. ไม่ควรเข้านอนด้วยความหิวนม หรือคุกกี้ ก่อนนอน เป็นไอเดียที่ดี หลีกเลี่ยงพวกคาเฟอีน เช่น เครื่องดื่มโซดา ชา กาแฟ ช็อกโกแลต
  4. เด็กควรจะออกกำลังกายนอกบ้านทุกวัน
  5. ห้องให้มันเงียบสงบกับแสงไฟให้ดี อุณหภูมิในห้องให้เหมาะสม
  6. ห้ามใช้ห้องนอนเป็นตำแหน่งที่ทำโทษลูก เช่น ขัง หรือล็อกในห้อง
  7. พวกอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ทีวี คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ควรจะเลิกใช้ 1 ชั่วโมงก่อนนอน ไม่ควรจะมีพวกเหล่านี้ไว้ในห้องนอนของเด็ก เพราะมันจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมในการที่เด็กต้องใช้
  8. ในวัยรุ่นก็ควรจะเหมือนกัน ควรจะเข้านอนเป็นเวลาเดียวกัน แล้วก็ไม่ควรจะมีการดื่มอะไรที่มันเป็นคาเฟอีน ไม่ควรจะมีการออกกำลังกายหนัก 3 ชั่วโมงก่อนนอน ไม่ควรจะมีการเล่นคอมพิวเตอร์ หรือว่าใช้โทรศัพท์ 1 ชั่วโมงก่อนนอน

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก