เรื่องน่ารู้ของชีพจร (Pulse)
ชีพจร (Pulse) เกิดจากการบีบตัวของหัวใจเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ทำให้เกิดแรงดันมากระทบผนังของเส้นเลือด เป็นผลให้เส้นเลือดมีการหดและขยายตัวตามจังหวะการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งเราสามารถคลำได้ตรงตำแหน่งที่เส้นเลือดแดงวิ่งผ่านหรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ชีพจรคือจังหวะการเต้นของหัวใจ
ชีพจรอยู่ตรงไหน
ชีพจรที่คลำได้ตามร่างกายนั้น จะพบว่ามักจะอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็นส่วนข้อต่อของกระดูก เช่น ข้อมือ ข้อพับแขน ขาหนีบ ขมับ และคอ ในผู้ใหญ่นิยมจับชีพจรที่ข้อมือทางด้านหัวแม่มือ หรือที่แขนเพราะคลำได้ง่ายและสะดวก ในเด็กเล็ก ๆ ที่ข้อมือบางครั้งอาจจะคลำลำบากมาก ดังนั้นจึงนิยมคลำที่ขาหนีบเพราะที่ตำแหน่งขาหนีบจะเป็นตำแหน่งที่คลำได้ชัดทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
วิธีจับชีพจร
ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนพักหายเหนื่อยก่อนประมาณ 5 – 10 นาที
- ในท่านั่งให้ผู้ป่วยนั่งให้สบายที่สุดเหยียดแขนหรือข้อมือให้ตรง ที่แขนควรมีที่รองรับเพื่อให้รู้สึกสบายแขนไม่เกร็ง แต่ถ้าจับในท่าที่คนไข้นอนให้ผู้ป่วยนอนหงายแขนราบกับพื้นหงายฝ่ามือขึ้น
- วางนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง บนตำแหน่งที่เส้นเลือดแดงผ่าน (ดังรูป) เช่น ที่ข้อมือด้านหัวแม่มือหรือข้อแขน เป็นต้น แล้วกดปลายนิ้วทั้งลงเบา ๆ จับเวลา นับจำนวนครั้งในการเต้นของชีพจรนาน 1 นาที ในรายที่เต้นสม่ำเสมออาจจับเวลาเพียงครึ่งนาทีแล้วคูณสอง
https://www.doctor.or.th
ข้อควรระวัง
- ระวังอย่าใช้นิ้วหัวแม่มือจับชีพจรคนไข้ เพราะจะจับได้ชีพจรของผู้จับเอง เนื่องจากนิ้วหัวแม่มือมีเส้นเลือดใหญ่มาเลี้ยงนั่นเอง
- ไม่จับชีพจรในขณะที่คนไข้ตื่นเต้นหรือตกใจกลัว หรือภายหลังออกกำลังกายมาใหม่ ๆ เพราะขณะนั้นชีพจรจะเต้นเร็วกว่าปกติ ควรรอให้ร่างกายอยู่ในสภาพปกติก่อน
- ควรใช้นาฬิกาที่มีเข็มวินาทีจับชีพจร เพราะสะดวกในการจับ
ควรจับชีพจรเมื่อใดบ้าง
- เมื่อมีอาการผิดปกติหรือเจ็บป่วยเกิดขึ้น เช่น เป็นไข้ตัวร้อน
ปวดหัว ปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องเดิน ซีด เหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลม เจ็บหน้าอก ฯลฯ - เมื่อมีการเสียเลือด หรือประสบอุบัติเหตุ
- เมื่อรู้สึกว่าใจสั่น ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคทางกายจริง ๆ หรือโรคทางใจ (โรคประสาท วิตกกังวลคิดมาก) ก็ได้
ชีพจรเต้นอย่างไร
ในคนปกติ ชีพจรจะเต้นแรงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
- ผู้ใหญ่ เต้นประมาณนาทีละ 60 – 80 ครั้ง
- เด็ก เต้นประมาณนาทีละ 90 – 100 ครั้ง
- ทารกแรกเกิด เต้นประมาณนาทีละ 120 – 130 ครั้ง
จะเห็นว่าทารกแรกเกิดชีพจรเต้นเร็วมาก เมื่อยิ่งโตขึ้นอายุมากขึ้นชีพจรจะเต้นช้าลง แต่จะแรงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
การเต้นของชีพจรที่ผิดปกติ
การเต้นของชีพจรที่ผิดปกติ เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้หลายสาเหตุ การเต้นผิดปกติอาจเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว นาน ๆ ครั้ง หรือเกิดขึ้นเป็นประจำ
เราลองมาพิจารณาการเต้นของชีพจรลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
- ชีพจรที่เต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
เช่น ผู้ใหญ่เต้นนาทีละ 100 – 120 ครั้ง ชีพจรแบบนี้จะพบได้ในคนที่เป็นโรคและไม่เป็นโรคก็ได้
- ถ้าการเต้นนั้นเกี่ยวข้องกับอาการเหนื่อยง่าย เวลาออกกำลังกายเพียงเล็กน้อยหรือว่าอยู่เฉย ๆ หัวใจก็เต้นแรงผิดปกติ รู้สึกเจ็บหน้าอกบ่อย ๆ เหนื่อยง่าย อาการที่เกิดขึ้นนี้มักพบในคนที่เป็นโรคหัวใจ
- ถ้ามีอาการเหนื่อยง่าย กินจุ แต่ผอมลง คลื่นไส้อาเจียน คอโต หรือตาโปน ก็อาจเป็นโรคต่อมไทรอยด์ (คอพอกเป็นพิษ)
- คนที่มีไข้ตัวร้อน ก็อาจมีชีพจรเต้นแรงและเร็วได้ ตามปกติถ้าไข้ขึ้น 1 ฟ. (องศาฟาเรนไฮท์) ชีพจรจะเต้นเร็วขึ้นอีกนาทีละ 10 ครั้ง
- คนที่ซีดโลหิตจาง หรือได้รับยาบางตัว (เช่น ฮะดรีนาลีน ฉีดแก้หืด) ก็มีชีพจรที่เต้นเร็วได้
- ในคนที่ร่างกายเป็นปกติ ชีพจรก็อาจเต้นเร็วได้ แต่มักจะมาจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ออกกำลังกายมาใหม่ ๆ ตื่นเต้น ตกใจกลัว แต่เมื่อได้พักหัวใจก็จะเต้นเป็นปกติเหมือนเดิม
- ถ้าการเต้นนั้นเกี่ยวข้องกับอาการเหนื่อยง่าย เวลาออกกำลังกายเพียงเล็กน้อยหรือว่าอยู่เฉย ๆ หัวใจก็เต้นแรงผิดปกติ รู้สึกเจ็บหน้าอกบ่อย ๆ เหนื่อยง่าย อาการที่เกิดขึ้นนี้มักพบในคนที่เป็นโรคหัวใจ
- ชีพจรที่เต้าช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที
บางรายอาจไม่แสดงอาการ แต่บางรายก็มีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ มักพบในคนที่มีความผิดปกติของหัวใจ - ชีพจรเต้นเบาและเร็ว พบในคนที่เป็นลม ช็อก ท้องเดินมาก ๆ ท้องนอกมดลูก กระเพาะทะลุ ถ้าชีพจรในลักษณะนี้รีบให้การปฐมพยาบาลแล้วส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
- ชีพจรที่เต้นไม่สม่ำเสมอ
ขอให้ท่านลองฝึกจับชีพจรกันดู เมื่อจับแล้วไม่แน่ใจว่า เต้นปกติหรือผิดปกติหรือไม่ ท่านอาจจะขอคำแนะนำจากหมอที่ใกล้บ้านท่าน ต่อ ๆ ไปเมื่อท่านจับชีพจรบ่อย ๆ ครั้ง จะเกิดความชำนาญขึ้นสามารถจะแยกออกว่าเต้นปกติหรือผิดปกติได้ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเอง และทุก ๆ คนในบ้าน เมื่อเกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ดังที่กล่าวเป็นข้อ ๆ ไว้นั้น จะสามารถป้องกันอันตรายขั้นรุนแรงที่จะเกิดกับผู้ป่วยได้
ผู้เขียน : ลลิตา อาชานานุภาพ
แหล่งที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 3, กรกฎาคม 2522, www.doctor.or.th
ภาพประกอบจาก : www.doctor.or.th