ผิดพลาดกันได้บ้าง ทำอย่างไรให้ลุกขึ้นมาเร็ว เหมือนตุ๊กตาล้มลุก
รศ. นพ. ธีรภัทร ยิ่งชนม์เจริญ
สาขาวิชาอายุรศาสตร์โรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนแพทย์ โดยเฉพาะสาขาโรคหัวใจ
เรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เหตุผลที่เลือกเรียนแพทย์ เนื่องจากชอบวิชาชีววิทยา และรู้สึกว่าเป็นวิชาที่ได้ช่วยคน อีกส่วนหนึ่งครอบครัวก็อยากให้เรียนแพทย์ด้วยตอนเอนทรานซ์ ติดที่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เหตุที่อยากเรียนอายุรศาสตร์ เพราะอายุรศาสตร์เป็นรากฐานของวิชาแพทย์แขนงต่าง ๆ มากมาย หากเรียนรู้ให้ดีจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มาก โดยในขณะนั้นมี รศ. นพ. วันล่า กุลวิชิต อาจารย์ประจำหน่วยอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ เป็นแรงบันดาลใจ จึงตามรอยอาจารย์ จบจาก จุฬาฯ และไปใช้ทุนที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) เป็นแพทย์ใช้ทุนอายุรศาสตร์ที่ มอ. 4 ปี
จุดเปลี่ยนในชีวิตอีกครั้ง คือ ตอนไปเจอ ศ. นพ. ธาดา ยิบอินซอย อาจารย์เป็นปูชนียบุคคลอันเป็นที่เคารพรักยิ่งของ มอ. อาจารย์มีความรู้กว้างขวางและลึกซึ้ง เข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ เนื่องจาก อ. วันล่า เคยบอกไว้ว่า หากได้มา มอ. ให้ไปเรียนกับอาจารย์ให้ได้มาก ๆ อาจารย์จะเริ่ม round คนไข้ตอนสองทุ่มวันอังคาร ผมก็จะพยายามไปเรียนกับอาจารย์ให้บ่อยครั้งที่สุด ในทุก ๆ ครั้งที่ไม่ได้อยู่เวร ซึ่งได้เรียนรู้จากอาจารย์มากมาย อาจารย์สอนให้ตั้งคำถาม และฝึกกระบวนการคิดหาคำตอบ และเรียนรู้ด้วยตัวเอง หลังจากที่จบอายุรศาสตร์จาก มอ. อยากจะเรียนต่อแผนกหัวใจ ที่รพ.รามาฯ ได้รับความกรุณาจาก อ. ธาดา เขียนจดหมายแนะนำตัวให้ การที่อาจารย์ให้เกียรติเขียน letter of recommendation ให้นั้นนับเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต เมื่อได้เข้ามาเรียนที่แผนกโรคหัวใจที่ รพ.รามาฯ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ด้วยเนื้อหาวิชาที่ชอบตั้งแต่แรกและบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง อาจารย์สอนสนุก และเพื่อนร่วมงานดี เป็นสองปีที่ได้เจอผู้คนในสถานที่ใหม่ ๆ และได้โอกาสพัฒนาตัวเองในหลาย ๆ ด้านมาก
หลังจากนั้น เรียนเฉพาะทางด้านหัวใจที่ รพ.รามาฯ 2 ปี สนใจในกลุ่มงานที่เกี่ยวกับ cardiac imaging ซึ่งได้รับความกรุณาจาก อ. พญ. อรพร สีห์ ช่วยติดต่อ รศ. นพ. อดิศัย บัวคำศรี ที่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่ง อ. อดิศัย เป็นรุ่นพี่ที่จบจากรามาฯ ช่วยส่งจดหมายติดต่อไปที่ Cleveland clinic, Ohio, U.S.A. รอไปเรียนที่นี่ 1 ปี และหลังจากนั้นไปเรียนในปีถัดไป
ปีแรก ไปเป็น Research fellow มีหน้าที่เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล พยายามนำเสนอผลงานวิจัยตีพิมพ์ ผมบอกเขาว่าผมอยากทำ Clinical fellow อยากดูคนไข้ อยากนำวิชาความรู้ที่ทันสมัยกลับมาช่วยเหลือคนไข้ในประเทศไทย เขาให้เงื่อนไขว่า เราต้องทำผลงานวิจัยได้ 3 ชิ้น เสร็จภายใน 1 ปี และได้ตีพิมพ์ สุดท้ายก็ทำได้ ซึ่งเจ้านายผมในขณะนั้นคือ Professor Thomas Marwick จึงไปคุยกับ program director ให้พิจารณาให้ได้เรียน MRI พร้อมกับ Echo ในปีเดียว ผมจึงได้เป็น Clinical fellow ในปีที่ 2 ส่วนในปีที่ 3 ผมเห็นว่ามีเรื่องวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนหัวใจ การรักษาผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ซึ่งตอนนั้น รพ.รามาฯ ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ จึงปรึกษากับอาจารย์หลายคน รวมถึง ศ. นพ. ปิยะมิตร ศรีธรา ซึ่งอาจารย์ก็เห็นด้วย สุดท้ายจึงได้เข้าไปเรียน เป็นปีที่สนุก ได้เรียนรู้ศาสตร์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเรียนมาก่อนในประเทศไทย ได้เจอคนไข้หลากหลาย และทำหัตถการมากมาย ทำให้มี connection จนถึงทุกวันนี้ หลังจากเรียนจบก็กลับมาเป็นอาจารย์ที่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี จนถึงปัจจุบัน
คนที่เขาดีกับเรา เขาจะกล้าวิจารณ์เราตรง ๆ โดยที่เขารู้ว่า คำติติงของเขา ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เรารู้สึกแย่ แต่ตั้งใจทำให้เราดีขึ้น
เป้าหมายที่มีการตั้งไว้ในการเป็นแพทย์หรือการใช้ชีวิต
เริ่มที่การเป็นแพทย์ก่อน คือ เป้าหมายของการรักษา ผมตั้งใจเอาความรู้ที่เรียนมาจากต่างประเทศมาพัฒนา ศาสตร์ที่เรียนมาก็เกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มโปรแกรมการเปลี่ยนหัวใจครั้งแรกในรามาธิบดีได้สำเร็จ ถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าประสงค์ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น การใส่อุปกรณ์หัวใจเทียม ที่เรียกว่า LVAD การดูแลคนไข้ที่ต้องใช้ ECMO รวมถึงการก่อตั้งคลินิกเพื่อผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ทั้งหมดเกิดขึ้นตอนช่วงที่ผมกลับมา และพยายามสร้างของพวกนี้ขึ้นมาทีละชิ้น หลังจากนั้นก็เริ่มหารุ่นน้องที่มีความสนใจทางด้านนี้มาทำต่อ ให้ผ่อนลงมาบ้าง จะได้ทำการศึกษามากขึ้น
เป้าหมายการเรียนการสอน ตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยคณบดีฝ่ายการศึกษาและวิจัย ผมต้องมีการบริหารเกี่ยวข้องกับการวางแผนหลักสูตรใหม่ เกี่ยวกับการทำ Simulation Center ซึ่งเราอาศัยหุ่นจำลอง หรือแบบจำลองเพื่อใช้ในการสอนนักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านนี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้อง รวมถึงการเรียนการสอนด้วย ผมเป็นคนที่ชอบสอนและมีความสุขที่ได้สอน
เป้าหมายด้านการวิจัย ต้องยอมรับว่าทำน้อยลง ถ้าเทียบกับตอนที่อยู่ต่างประเทศ เพราะว่าเวลาของเราจะถูกแบ่งไปกับการดูแลผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ซับซ้อนต้องอาศัยความร่วมมือของหลายฝ่าย อาศัยการลงแรง อาศัยเวลาที่ต้องทุ่มเท ประคับประคองช่วงหลังผ่าตัดจนผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้
งานวิจัยเกี่ยวกับภาวะหัวใจล้มเหลว ที่กำลังพัฒนากับทางภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คือ การพัฒนาอุปกรณ์ถ่างขยายผนังหัวใจห้องบนด้วยวัสดุฉลาด ก็ได้รางวัลเหรียญทองระดับนานาชาติที่ประเทศเยอรมันก็หวังว่าจะเป็นนวัตกรรมที่ไว้ใช้ในการรักษาผู้ป่วย Heart failure with preserved LV ejection fraction (HFpEF) ที่มีหัวใจล้มเหลวน้ำท่วมปอดบ่อยครั้งต้องเข้าโรงพยาบาลหลายรอบจนกระทั่งไม่มีการรักษา ไม่สามารถทำการผ่าตัดทั่วไปได้ เป็นสิ่งที่อยากจะทำเพิ่มต่อไป
สำหรับเป้าหมายด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากการเป็นแพทย์ ดำรงตำแหน่งประธานวิชาการของชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย ประธานวิชาการสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยฯ สิ่งที่เรามองในแง่ของบทบาทของสมาคมหรือชมรม คือ ในฐานะองค์กรวิชาชีพผู้ซึ่งให้ความรู้กับสังคม ก็ได้จัดทำ แนวทางการปฏิบัติ หรือ guideline ของภาวะหัวใจล้มเหลวให้ออกมารู้สึกดีใจที่ผลักดันได้สำเร็จ และอาศัยความร่วมมือจากอาจารย์หลายสถาบันที่ช่วยกัน ในส่วนสมาคมแพทย์โรคหัวใจฯ ก็คงออกมาในรูปของการจัดประชุมวิชาการ กิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งจะให้ความรู้ออกไปสู่โรงพยาบาลที่ห่างไกล เช่น วิชาการสัญจร ที่เราออกไปต่างจังหวัด
ที่ผ่านมาเป้าหมายที่สำเร็จ เกิดจากอะไร
เป้าหมายที่จะสำเร็จได้จะประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งภายใน และภายนอกปัจจัยภายในเริ่มจาก ปัจจัยแรก passion ความอยากที่จะทำ ถ้ามีเป้าประสงค์มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ผมเชื่อว่าปัญหาอะไรก็แก้ไขได้ เช่น เรากำลังจะตั้งศูนย์ที่มีการปลูกถ่ายหัวใจขึ้นมา เราต้องเริ่มต้นหาความรู้ว่า เรามีทรัพยากรบุคคลมีสถานที่แค่ไหน ถ้าจะทำจริง ต้องมีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง กว่าจะได้บุคลากรที่จะมาร่วมงานทีละคนก็ไม่ง่าย กว่าที่เราจะ convince ให้เขารู้สึกว่าทำร่วมกัน หลังจากนั้นก็ต้องขอ Top-down support ต้องยอมรับว่า ผมได้รับความเมตตาเอ็นดูจากอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านที่สนับสนุนโครงการให้เกิดขึ้นได้ จากนั้นก็ไปรวบรวมประชาสัมพันธ์ ว่าต้องการเลือกคนไข้ที่เหมาะสม ต้องอาศัยเครือข่ายที่มีรุ่นพี่รุ่นน้องที่จบไป ช่วยกันส่งเคสกลับมาให้เราได้ทำ ก็ต้องเรียนรู้ลองผิดลองถูกหลายครั้ง สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ความเพียรพยายาม แน่นอนเราต้องผิดพลาดบ้าง แต่หลังจากที่ล้ม เราทำอย่างไรให้ลุกกลับขึ้นมาใหม่ได้เร็ว เหมือนตุ๊กตาล้มลุก
ปัจจัยต่อมา กัดไม่ปล่อย เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่า ต้องทำให้สำเร็จ ก็ต้องทำให้สำเร็จ ผิดพลาดก็เรียนรู้ไป อย่าทำให้เกิดซ้ำอีก เรียนรู้จากความผิดพลาดเดิมผมมั่นใจว่าถึงจุดหนึ่งก็ต้องเก่งขึ้น ทำได้ดีขึ้น
มีบางครั้งที่เป้าหมายไม่สำเร็จเกิดจากอะไร ควรปรับปรุงเรื่องอะไร
ส่วนใหญ่จะมองเป็นส่วนที่แก้ไขได้กับส่วนที่แก้ไขไม่ได้ ถ้าเป็นส่วนที่แก้ไขไม่ได้จริง ๆ เราคงต้องยอมรับมันว่า เราทำเต็มที่แล้ว ทำได้แค่นี้ เช่น อยากจะจัดงานอะไรบางอย่าง แต่โควิดเข้ามา ซึ่งคงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมรับไป นี่คือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่อะไรที่เกิดจากตัวเราเอง และเราทำไม่เต็มที่ หรือว่าเราทำไม่ดีพอ และแก้ไขได้ก็เรียนรู้ไปว่า น่าจะทำได้ดีกว่านี้ในครั้งต่อไป
ในอดีตที่ผ่านมาเวลาประสบปัญหาแก้อย่างไร หรือปรึกษาใคร
ก็คงเหมือนกับทุกคนที่การดำเนินชีวิตต้องเจอกับปัญหา คนที่ผมปรึกษาบ่อยที่สุดก็คงเป็นครอบครัว คือคุณแม่ และ ศ. นพ. สุรเดช หงส์อิง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่สามารถคุยได้ทุกเรื่อง หากถ้าเป็นเรื่องงาน หลายครั้งที่มีปัญหาก็จะขอคำปรึกษาจากอาจารย์ผู้ใหญ่ เช่น ศ. นพ. ปิยะมิตร ศรีธรา เป็นคนหนึ่งที่ผมโทรหาทุกครั้ง ผศ. นพ. ครรชิต ลิขิตธนสมบัติ เป็นอีกหนึ่งคนผมปรึกษาบ่อยครั้ง ผศ. นพ. ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมปรึกษาบ่อยครั้งเช่นกัน ข้อดี คือ ทำให้เราเห็นตัวเอง ถ้าคนที่เขาดีกับเราจริง ๆ เขาจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์เราตรง ๆ โดยที่เขารู้ดีว่า คำติติงของเขานั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เรารู้สึกแย่หรือว่าเสียใจแต่ตั้งใจทำให้เราดีขึ้น
ที่มา : www.cimjournal.com
.