รับมือแสงแดด หยุดให้รังสี UV ทำร้ายผิว
ใกล้เข้าเดือนเมษายน กรมอุตุฯ มีการคาดการณ์ไว้ว่าอุณหภูมิในประเทศไทยจะสูงเกิน 45 องศา แน่นอนว่าสิ่งที่มาพร้อมอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ก็คือ แสงแดด และรังสี UV ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับร่างกายของเรา
รังสี UV ส่งผลกระทบโดยตรงกับร่างกายของเรา ได้แก่
- เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย เนื่องจากรังสี UV ส่งผลกระทบทำให้เม็ดเลือดขาวกระจายตัว ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ร่างกายติดเชื้อโรคได้ง่าย
- โรคผิวหนัง จริง ๆ แล้วแสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง โดยทำให้เกิดโรคเอสแอลอี โรคติดเชื้อเริม และลมพิษจากแสงแดดอีกด้วยค่ะ
- กระจกตาอักเสบและต้อกระจก ซึ่งรังสี UV มีส่วนทำให้ตาของเราอักเสบ อาการที่เห็นได้ชัดคือแพ้แสงและน้ำตาไกล และอาจทำให้เกิดโรคต้อกระจกในที่สุดค่ะ และที่ร้ายแรงกว่านั้นอาจทำให้ตาบอดได้เลยค่ะ
- ผิวมีกระแดด และฝ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณผู้หญิงหลายคนค่อนข้างกังวลใช่ไหมเอ่ย เพราะว่ารังสี UV และ Visible Light มีส่วนทำให้เกิดการผลิตเซลล์เม็ดสีเมลานิน หากเมลานินมีจำนวนมากขึ้น ผิวของเราจะมีความเข้มขึ้น ยังทำให้สีผิวของเราไม่เท่ากัน เกิดกระ เกิดฝ้าตามมาได้
- ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย เพราะว่ารังสี UV นั้นจะเข้าไปลำลายคอลลาเจนที่ชั้นผิวหนังของเรา ทำให้เกิดริ้วรอย หมองคล้ำ และเกิดจุดด่างดำที่ไม่พึงประสงค์ได้ค่ะ
วิธีการรับมือกับแสงแดด
- ทาครีมกันแดด
- ใช้ร่ม ใส่หมวก และแว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
- ใส่เสื้อมีแขนเพื่อปกปิดผัวหนัง
- พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10:00 – 16:00 น.
วิธีการทาครีมกันแดดอย่างถูกต้อง
- ควรทาเป็นประจำทุกวันให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
- ควรทาแต่ละครั้งอย่างน้อย 2 มิลลิกรัมต่อตร.ซม. ของผิวหนัง โดยความถี่ขึ้นอยู่กับความโอกาสในการสัมผัสแสงแดด
- เลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวและลักษณะการดำเนินชีวิต
SPF คืออะไร
โดยรังสี UV ในแสงแดดมีทั้ง UVA และ UVB โดย UVB จะมีผลกับ ผิวหนังชั้นตื้น ทำให้ไหม้เกรียม และ UVB จะลงสู่ผิวหนังชั้นลึกกว่า ทำให้ของเราผิวคล้ำขึ้น
สำหรับ SPF (Sun Protection Factor) เป็นหน่วยวัดประสิทธิภาพในการกันแดดของแสง UVB เท่านั้น ปกติผิวที่ตากแดดนาน 15 นาทีจะมีอาการแดง หากทาครีมกันแดดที่มี SPF10 ก็จะทำให้ผิวทนแดดได้นานขึ้น 10 เท่าเป็น 150 นาที ผิวจึงจะแดง ส่วนความสามารถในการป้องกัน UVA ของครีมกันแดดจะดูจากระดับของ PA เป็นหลัก ได้แก่
- PA+ จะป้องกัน UVA ได้ 2 – 4 เท่า
- PA++ จะป้องกัน UVA ได้ 4 – 8 เท่า
- PA+++ จะป้องกัน UVA ได้ 8 – 12 เท่า
- PA++++ จะป้องกัน UVA ได้มากกว่า 12 เท่า
รับมือแสงแดด หยุดให้รังสี UV ทำร้ายผิว ด้วย Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ ปกป้องผิวถึงชั้นคอลลาเจน
จากการทดสอบเมื่อนำ เม็ดเจลไว้ในแก้วแล้วปิดด้วยฟิล์มใสและทากันแดดไว้ที่ด้านบน ก่อนจะแปะแผ่น Smart Sun ที่ทากันแดดแล้วพบว่า ผลลัพธ์ที่ได้ Biore UV Essence เซฟได้สูงสุด ขนาดเม็ดเจลในแก้ว นั้นยังคงปริมาณเท่าเดิม ปกป้อง UV ได้ประสิทธิภาพสูงสุด แทบไม่เผยรอยเหี่ยวย่นที่ซ่อนอยู่เลยค่ะ
ซึ่งเป็นครั้งแรกของ Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ กันน้ำกันเหงื่อ แต่เนื้อบางเบาพิเศษจนสามารถทาทับเมคอัพได้ เติมได้ระหว่างวัน และที่นำ เทคโนโลยี Micro Defense ซึ่งเป็น Micro UV Cut Capsule อนุภาคขนาดเล็กระดับไมโคร ป้องกันผิวได้อย่างไร้ช่องว่างถึงร่องผิวลึก แตกต่างจากกันแดดสูตรเดิม ครอบคลุมทั่วทุกตารางผิวแม้ร่องผิวลึก หรือบริเวณร่องผิวที่มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน เสมือนเกราะป้องกันไม่ให้รังสี UV แทรกผ่านผิวชั้นนอกเข้าไปทำร้ายคอลลาเจน รวมถึงการผสานคุณค่าของ Hyaluronic Acid, Royal Jelly Extract และ Butylene Glycol ที่ช่วยคงความชุ่มชื่นของผิวไว้อีกด้วย
Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++
คุณสมบัติ
- Very High Level UVB/UVA Protection: ปกป้องขั้นสุด ได้อย่างทั่วถึงแม้ร่องผิวลึก ด้วยเทคโนโลยี Micro UV-Cut Capsule อนุภาคขนาดเล็กระดับไมโคร ช่วยป้องกันผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และผิวแก่ก่อนวัยจากแสงแดดที่ทำลายชั้นคอลลาเจน ด้วย SPF+PA++++
- Very Water Resistance: กันแดดติดทนนาน ด้วยสูตรกันน้ำกันเหงื่อ
- Moisture Essence: เนื้อเอสเซ้นส์สัมผัสบางเบาพิเศษ ไม่เหนอะหนะ ทาทับเมคอัพได้ผสาน HyaluronicAcid, Royal Jelly Extract คุณค่าการบำรุงของ Butylene Glycol ช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น
- Skin Tested: ผ่านการทดสอบระคายเคืองผิว (Allergy Tested) ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดสิว (Nin – comedogenic Tested)
บอกได้เลยว่า Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ สามารถป้องกันผิวแก่ก่อนวัยได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่เนื้อบางเบามาก “ไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดด”
ข้อมูลอ้างอิง : www.biorethailand.com