ไม่จำเป็นต้อง ออกกำลังกายอย่างหนัก สิ่งสำคัญคือ ความต่อเนื่อง
ดูวิดีโอสัมภาษณ์ “คลิก”
แนะนำตัวเอง
สวัสดีครับ ผมชื่อ ตู่ – มหัสนัย ลิ่วเฉลิมวงศ์ อายุ 45 ปี เป็นช่างภาพอิสระครับ
ปัญหาสุขภาพก่อนเริ่มออกกำลังกาย
ก่อนที่จะมาออกกำลังกาย ตอนเช้า ๆ ก็จะตื่นมาปวดหัว มึนหัว ไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า พอทำงานอากาศร้อน ๆ เดินไกล ๆ ก็จะเริ่มเหนื่อยง่าย หรือบางงานที่ต้องขึ้นไปถ่ายภาพมุมสูง ๆ ก็จะมีปัญหาเมื่อยขาต้องคอยพักบ่อย ๆ ก็เป็นอุปสรรคในการทำงานพอสมควรครับ
แรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย
แรงบันดาลใจของผม ผมไม่มีนะ มันเกิดจากตัวเราเองเลย เกิดจากเรามองว่าในอนาคตเราจะมีอายุไปอีกกี่ปี แล้วจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร เพราะว่าพอเราอายุมากขึ้นปัญหาต่าง ๆ มันก็จะรุมเร้า เราเริ่มจากตัวเราเองว่า วันนี้เราลองทำร่างกายของเราให้มันสมดุล ไม่ให้มันล้นเกินไป อ้วนเกินไปก็เลยหันมารักษาสุขภาพ ที่มาที่ไปมีแค่นี้เอง เพื่อตัวเราเอง
เริ่มออกกำลังกาย
ผมเริ่มออกกำลังกายปลายปี 2016 จนถึงปัจจุบันผมก็ลดไปประมาณเกือบ ๆ 30 กิโลกรัมครับ ช่วงแรก ๆ ผมเล่นคาร์ดิโอโดยการวิ่งกับปั่นจักรยานเพื่อลดไขมันก่อน เริ่มจากการปั่นจักรยานแล้วก็วิ่งบ้างสลับกัน ประมาณ 4 – 5 วันต่อสัปดาห์ ผมจะดูว่าผมมีเวลามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีเวลา 3 – 4 ชั่วโมงผมจะเลือกที่จะปั่นจักรยาน ถ้ามีเวลาเหลือสักชั่วโมงนึง ผมก็จะวิ่งสัก 45 นาทีครับ ผ่านไปสัก 6 – 7 เดือนผมก็มายกเวท เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น แล้วก็ช่วยให้ระบบเผาผลาญมันดีขึ้น
โปรแกรมการออกกำลังกายปัจจุบัน
ในสัปดาห์นึงผมจะออกกำลังกายสลับกัน อย่างวันจันทร์ถ้าผมเล่นคาร์ดิโอก็จะวิ่งหรือปั่นจักรยาน วันอังคารก็จะเป็นฟรีเวท บอดี้เวท หรือแมชชีน อีกวันก็จะเป็นคาร์ดิโอสลับกับเวทแบบนี้ครับ
ถ้าเป็นเวทหรือยกน้ำหนักผมจะใช้เวลา 45 นาที – 1.30 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายเรามีความพร้อมแค่ไหน จะไม่หักโหมเกินไป ถ้าเป็นคาร์ดิโออย่างต่ำ ๆ คือ 40 นาที ความถี่ 5 วันต่อสัปดาห์ ถ้าเป็นไปได้ก็คือทุกวันครับ มันเหมือนเป็นสิ่งเสพติดไปแล้ว เหมือนเป็นกิจวัตรไปแล้ว
การควบคุมอาหาร
ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารมากครับ ผมมองว่าการดูแลสุขภาพ 70% คือเรื่องอาหารการกิน 30% คือเรื่องการออกกำลังกาย ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการกินค่อนข้างมาก พยายามเลี่ยงมัน เลี่ยงเค็ม เลี่ยงหวาน อย่างทานก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ปรุง พวกกาแฟก็ไม่ใส่น้ำตาลเลย ทุกอย่างคือไม่มีหวานเลย
ตอนนี้ผมก็เริ่มอยู่ตัวนะ เริ่มกลับมาทานอะไรได้ปริมาณเยอะขึ้น อาจจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อเรามากขึ้น ระบบการเผาผลาญเราดีขึ้น มันจะหิวบ่อย 2 ชั่วโมงก็หิวละ ทานตลอด แต่น้ำหนักก็ไม่ขึ้นนะ แล้วไขมันก็ไม่ได้ขึ้น เพราะระบบร่างกายเราน่าจะมีการเผาผลาญที่ดี
การออกกำลังกายมันมีผลต่อการทำงาน มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน คนรอบข้างมาทักว่าเราเปลี่ยนแปลงไป เราก็มีกำลังใจอยากทำต่อ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ตอนแรกผมหนักประมาณ 120 กิโลกรัม ช่วง 1 – 2 เดือนแรก น้ำหนักไม่ลงสักขีดเลย เกือบจะท้อแล้วนะ แต่ก็เออ…ทำต่อไป พอขึ้นสู่เดือนที่ 3 มันเริ่มลงนะ เดือนที่ 5 ลงจนถึง 25 กิโลกรัม แต่ลดสูงสุดคือ 27 กิโลกรัม โดยใช้แค่การปั่นจักรยานกับการวิ่ง แต่ว่าทำให้สม่ำเสมอ บางสัปดาห์นี่ 6 วัน ไม่หยุดเลย
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือความกระฉับกระเฉงในการทำงาน อย่างผมเป็นช่างภาพอุปกรณ์ที่แบกก็ค่อนข้างจะหนัก ผมเห็นได้ชัดเลยคือเราสามารถถืออุปกรณ์หนัก ๆ ได้ทั้งวัน ไม่เหนื่อย แล้วก็เดินได้มากขึ้น รับงานได้มากขึ้น
อุปสรรคและความยากลำบาก
ช่วง 1 – 2 เดือนแรกรู้สึกท้อมาก ๆ เลย แต่มันอยู่ที่ใจ ใจเราคิดว่าเราทำได้ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2011 ผมเคยมาแล้วทีนึงด้วยการออกกำลังกายนี่แหละ พอผอมแล้วก็ประมาทไปหน่อย ปล่อยตัวเลย คิดว่ามันไม่กลับมาแล้ว ผมคิดว่า ทำได้ก็คือทำได้
มันต้องเริ่มจากใจเรา ใจเราต้องมุ่งมั่น แน่วแน่ ไม่มีใครมาควบคุมเราได้นอกจากตัวเราเอง
เทคนิคการออกกำลังกาย
เทคนิคของผมคือทำไปเรื่อย ๆ สม่ำเสมอ ถ้าจะให้แนะนำนะ มันต้องเริ่มจากใจเรา ใจเรามันต้องมุ่งมั่น แน่วแน่ ไม่มีใครมาควบคุมเราได้นอกจากตัวเราเอง ด้วยใจที่มีความสุขนะ ทุกอย่างจะประสบความสำเร็จ ให้ทำไปเรื่อย ๆ มันจะทำได้
ผมยังหาข้อเสียของการออกกำลังกายไม่เจอเลยครับ ผมจะแนะนำทุกคนที่เจอในฟิตเนสเลยว่า เราไม่ได้ฝืนตัวเองลุกขึ้นมา เราต้องทำด้วยใจที่มีความสุข มันจะมีผลดี
แนะนำสำหรับคนที่สนใจอยากออกกำลังกาย
สิ่งที่ผมทำมันมีผลต่อคนรอบข้างให้หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ผมรู้สึกดีนะ อย่างเราทำได้ คนอื่นก็ทำได้ เราก็อยากให้คนรอบตัวมาออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพมากขึ้นเพราะว่ามันมีผลต่องาน ถ้าสุขภาพเราดี ผลงานเราก็ดี คุณภาพชีวิตเราก็จะดี
ผมก็จะแนะนำว่าให้เริ่มทำเดี๋ยวนี้เลย เริ่มจากอะไรก็ได้ที่ทำให้เราเหงื่อออก อาจจะเดินเร็วแล้วก็เริ่มวิ่ง หลายคนที่ผมแนะนำไปเค้าทำตามแบบนี้นะแล้วมันจะดีขึ้น การออกกำลังกายในความคิดผมก็คือขอความสม่ำเสมอ วันนึงไม่จำเป็นต้องวิ่ง 5 กิโลเมตร หรือ 10 กิโลเมตร อาจจะวิ่ง 3 – 4 กิโลเมตรก็ได้แต่ให้ทำทุกวันต่อเนื่อง เพราะว่าความต่อเนื่องมันสำคัญ มันจะเห็นผล บางคนทำ 2 – 3 สัปดาห์ ยังไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลยก็หยุดไปที่ทำมามันก็สูญเปล่า