ถ้าหายป่วยจากโรคนี้… จะไม่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน
ดูวิดีโอสัมภาษณ์ “คลิก”
แนะนำตัวด้วยค่ะ
แสงทัย ตั้งแสงสกุล ชื่อเล่น หนึ่ง ทำงานวิศวกรฝ่ายก่อสร้าง ปัจจุบันอายุ 37 ปี ครับ
แรงบันดาลใจในการหันมาดูแลสุขภาพ
แรกเริ่มเดิมที เป็นคนอ้วนมาก หนักร่วม 100 โล เลย แล้วมันก็มีโรคนั้นโรคนี้ตามมา หนักสุดก็เป็นโรคเกาต์ มันอักเสบ ปวดร้อนบวมแดงที่ข้อเท้า ถึงขั้นเดินไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แค่จะลุกไปกินน้ำ หาข้าว ทำอะไรให้กับตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังทำไม่ได้เลย
อย่างในการทำงาน เราเป็นวิศวกร ทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้าง ซึ่งจะต้องไปตรวจหน้าไซต์งานตามที่ต่าง ๆ หรือต้องไปประชุม ต้องไปเดินขึ้นตึกหลาย ๆ ชั้น หรือแม้กระทั่งขับรถ คนอื่นก็ต้องมาช่วยเราหมด ขับรถพาเราไป พยุงเราเดิน เลยรู้สึกว่าเรากลายเป็นภาระของคนที่รู้จักเราทุกคน
ตอนนั้นก็คิดแล้วว่าถ้าหายกลับมา จะหันมาดูแลสุขภาพ และมันถึงเวลาแล้วที่เราจะไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน
รักษาอย่างไร
ไปหาคุณหมอและรับยามาทาน เหมือนขั้นตอนในการรักษาโรคเกาต์ทั่วไป ก็ดีขึ้น แต่พอเราศึกษาเองลึก ๆ จริง ๆ แล้ว ถึงแม้ว่ายาที่วิเศษที่สุด มันก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ยกเว้นตัวเราเอง เพราะว่ามันเกิดจากอาหารที่เราทาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ทานอาหารอย่างเดียวกัน แล้วจะเป็นเหมือนกันหมด มันก็อยู่ที่ร่างกายของแต่ละคนมัน
ตอนเริ่มแรกดูแลสุขภาพวิธีใดก่อน ผลเป็นอย่างไร
นอกจากทำตามคำแนะนำของหมอแล้ว เราก็มาศึกษาจากอินเตอร์เน็ตว่าอาการปวดเกาต์มันเกิดจากอะไร และเราก็รู้ว่ามันเกิดจากอาหารที่เราทาน ต้องควบคุมอาหาร แต่พอไปเสิร์ชในอินเตอร์เน็ตต่อว่าอาหารอะไรบ้าง โห มันเยอะแยะมากมายไปหมด ก็เลยมาตัดสินใจว่าไหน ๆ เราต้องควบคุมอาหารขนาดนั้นแล้ว เราก็ลดไขมัน ลดน้ำหนักไปด้วยเลยดีกว่า นั่นก็คือเป็นจุดเริ่มต้นคือการควบคุมอาหาร
แต่พอเราศึกษาไปลึก ๆ จริง ๆ แล้ว โรคนี้
ถึงแม้ว่ายาที่วิเศษที่สุด มันก็ไม่สามารถรักษา
ให้หายขาดได้ ยกเว้นตัวเราเอง”
มีวิธีการควบคุมอาหารอย่างไรบ้าง
ผมใช้วิธีการจดแคลลอรี่ ตามวิธีที่แนะนำในอินเตอร์เน็ต สมมุติว่าเราอายุ 35 ปี น้ำหนัก ส่วนสูง พฤติกรรมปกติเป็นอย่างไร ก็คำนวณออกมาเป็นปริมาณแคลอรีที่ร่างกายต้องใช้ อย่างถ้าคำนวณออกมาประมาณ 2,000 แคลลอรี่ ผมก็ใช้วิธีการกินไม่ให้มันถึง 2,000 แคลลอรี่ เบื้องต้นแบบนี้ก่อน แต่กิน ต้องกินให้ครบทุกมื้อ ห้ามอด เพราะถ้าอด มันจะทำให้เกิดอาการโหย เราจะต้องไปกินเยอะ ๆ อีกในมื้อต่อ ๆ ไป มันจะทำให้สะสมมากขึ้นอีก อันนี้เป็นเบื้องต้นใช้วิธีการควบคุมแคลลอรี่
การดูแลสุขภาพหลังจากนั้น
พอคุมอาหารได้ น้ำหนักตัวเริ่มลดลง ทีละ 1 กิโล 2 กิโล 3 กิโล ลดไป 5 ลดไป 10 กิโล อาการเจ็บปวดข้อเท้าเริ่มลดลงเรื่อย ๆ บอกตรง ๆ มันทำให้มีกำลังใจในการควบคุมอาหารมากมาย เพราะเห็น ๆ เลยว่าทั้งน้ำหนักลด และโรคที่เราเป็นมันลดลงไปด้วย พอถึงจุดที่ร่างกายพร้อม ก็เริ่มมาออกกำลังกาย
วิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ชอบ
พอมาเริ่มออกกำลังกาย ก็เริ่มด้วยการเดินช้า ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ก่อนเดินอย่างเดียวอยู่เป็นเดือน ๆ พอแข็งแรงขึ้นก็เปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะ ๆ แล้วก็ตามเทรนด์เลย เสริมด้วยขี่จักรยาน แล้วก็ว่ายน้ำ แต่ปัจจุบันวิ่งเป็นส่วนใหญ่ เพราะอะไรเลือกวิ่ง มันสะดวกสุด เราสามารถใช้รองเท้า ใช้เสื้อผ้าที่เรามีอยู่เตรียมใส่รถไว้เลย บางครั้งจักรยานเอาใส่ไปก็ค่อนข้างที่จะลำบาก เทียบกับวิ่งพอสะดวกตอนไหน เราก็จะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่วิ่งได้เลย ก็เรียกว่าออกกำลังกายควบคู่กับการคุมอาหารมาหลายเดือนแล้ว
ผลที่ได้รับกับร่างกาย มีอะไรบ้าง เทียบกับก่อนหน้านี้
เรื่องแรกเลย น้ำหนักลดลงมา 25 โล ในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง ทำให้เรารู้สึกกระฉับกระเฉง คล่องตัว รู้สึกร่างกายมีกล้ามเนื้อขึ้น ปอด หัวใจ ทุกอย่าง รู้สึกมันฟิตขึ้น อาการที่ข้อเท้าก็ไม่เจ็บไม่ปวด ทำอะไรก็รู้สึกสบาย เสื้อผ้าก็หาง่าย เพราะเมื่อก่อนถ้าอ้วน ๆ ก็หาเสื้อผ้าไม่ได้เลย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ครอบครัว เมื่อก่อนเราเดินไม่ได้ เราต้องให้เขาไปซื้อข้าว ซื้อน้ำ เดินขึ้นบนบ้านก็เดินไม่ได้ต้องให้เขาประคอง นั่นคืออย่างที่ผมบอกมันเป็นภาระให้กับทุกคน พอหลังจากนั้นเราลดความอ้วนได้ ดูแลโรคเกาต์ได้ ก็ไม่เป็นภาระใครอีก มันดีสำหรับทุก ๆ คนไม่ใช่แค่เพราะตัวเรา ทุกวันนี้ก็ไปหาคุณหมอทุก ๆ 2 เดือน เพื่อติดตามอยู่เรื่อย ๆ แต่เราดำเนินชีวิตปกติ
ฝากถึงผู้ที่สนใจในแนวทางเดียวกัน
อันดับแรก จะบอกว่าไม่ต้องรีบนะครับ ในการออกกำลังกายไม่ใช่ว่าเห็นคนอื่นวิ่งได้ อยู่ดี ๆ เราไปวิ่งเลย มันก็จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ข้อแนะนำให้เดินก่อน เดินช้า ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ประกอบกับควบคุมอาหารไปด้วย เราจะเห็นผลทันทีว่า หลังจากที่เราควบคุมอาหาร และออกกำลังกายประกอบ น้ำหนักเราลดลงจริง
และเราเฟิร์มขึ้น พอหลังจากนั้น เริ่มวิ่งช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ มันจะเร็วขึ้นภายหลังถ้าพร้อมมากขึ้น จะบอกว่า ไม่ต้องเก่งเหมือนคนอื่น เราพยายามในสิ่งที่เรามีอยู่แค่นั้นพอครับ สำคัญคือ เราต้องมีวินัยในการกิน วินัยในการบังคับตัวเอง ที่สำคัญอยู่ที่ใจเราครับ
แนวทางการลดน้ำหนักที่ผ่านมา
เรื่องการกิน ต้องควบคุมอาหารเน้นกินปลา กินผัก กินข้าว หรือแป้งให้น้อย ไม่กินของหวาน ของทอดต่าง ๆ หากให้ลดลงเร็ว ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย
เดือนแรก เป็นเดือนที่ค่อย ๆ เริ่ม ไม่ต้องรีบไม่ต้องหักโหมน้ำหนักจะลงประมาณ 1 – 2 กก.
- กินไม่เกิน (2,500 kcal) ต่อวัน
- ออกกำลังกายแบบไม่ต้องหักโหมให้รู้สึกเหมือนกับไม่ได้ออก เช่น เช้าปั่นจักรยาน 1.5 กม. เย็นปั่น 1.5 กม. รวมออกกำลังกายแบบไม่หักโหมต่อวันให้เผาผลาญประมาณ 100 kcal หากไม่มีเวลาต้องตื่นแต่เช้าแทนต้องบังคับตัวเองให้ได้
- ระหว่าง 1 วัน ควรเดินให้มากกว่า 5,000 ก้าว
เดือนที่สอง น้ำหนักจะลงประมาณ 2 – 3 กก.
- กินไม่เกิน (2,000 – 2,300 kcal) ต่อวัน
- ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เช่น เช้าปั่นจักรยาน 3 กม. เย็นปั่น 3 กม. รวมออกกำลังกายให้เผาผลาญประมาณ 180 kcal หากไม่มีเวลาต้องตื่นแต่เช้าแทนต้องบังคับตัวเองให้ได้
- ระหว่าง 1 วัน ควรเดินให้มากกว่า 6,000 ก้าว
เดือนที่สาม น้ำหนักจะลงประมาณ 2 – 3 กก.
- กินไม่เกิน (1,500 – 1,800 kcal) ต่อวัน
- ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เช่น เช้าปั่นจักรยาน 6 กม. เย็นปั่น 6 กม. รวมออกกำลังกายให้เผาผลาญประมาณ 250 – 350 kcal หากไม่มีเวลาต้องตื่นแต่เช้าแทนต้องบังคับตัวเองให้ได้
- ระหว่าง 1 วัน ควรเดินให้มากกว่า 8,000 ก้าว
เดือนที่สี่ น้ำหนักจะลงประมาณ 2 – 3 กก.
- กินไม่เกิน (1,400 – 1,700 kcal) ต่อวัน
- ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เช่น เช้าปั่นจักรยาน 6 กม. เย็นปั่น 6 กม. รวมออกกำลังกายให้เผาผลาญประมาณ 250 – 350 kcal หากไม่มีเวลาต้องตื่นแต่เช้าแทนต้องบังคับตัวเองให้ได้
- ระหว่าง 1 วัน ควรเดินให้มากกว่า 8,000 ก้าว
รวมน้ำหนักทั้งหมดที่ลดลงประมาณ 10 – 12 กก.โดยใช้ระยะเวลา 4 เดือน ส่วนอาหารที่ผ่านมาไม่อดอาหาร แต่ต้องเลือกกินให้เหมาะสม







