ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

Ketogenic-diet-หรือ-คีโต-ก่อนกินต้องรู้.jpg

สูตรการทานอาหารเพื่อไดเอทมีหลากหลายแนว หนึ่งในนั้น คือ สูตรการทานแบบคีโตเจนิค (Ketogenic diet) เรียกสั้น ๆ ว่า การทานแบบ “คีโต” ซึ่งเป็นอีกสูตรในการไดเอท ที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน มาติดตามเรื่องที่น่าสนใจด้วยกันได้เลย

 

ทำความรู้จักกับ การทานอาหารแบบ “คีโต”

“คีโต” เป็นสูตรการทานอาหารที่ได้รับความสนใจมากสุดในปัจจุบัน โดยเน้นการทานอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงาน 60 – 80% จากไขมัน 5 – 10% จากคาร์โบไฮเดรต หรือประมาณ 20 – 30 กรัมต่อวัน ที่เหลือเป็นพลังงานที่ได้จากโปรตีน สูตรการทานอาหารแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายนำไขมัน ที่สะสมในร่างกายออกมาใช้ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะคีโตซีส (Ketosis)

นักโภชนาการกล่าวว่า แม้ว่ามีผลการลดน้ำหนักที่ดี แต่ “การทานอาหารแนวคีโต อาจไม่ได้ผลเหมือนกันในทุกคน” โดยเคมีในร่างกายที่เป็นลักษณะเฉพาะ จะบ่งชี้ว่าร่างกายสามารถตอบสนองต่อการทานอาหารแบบนี้อย่างไร

 

การทานแบบ “คีโต” กับสุขภาพของคุณ

อาหารแนวคีโต อาจทำให้คุณผอมลงอย่างรวดเร็ว จากการตรวจสอบพบว่า อาหารแนวนี้มีประสิทธิภาพในการช่วยกระตุ้นให้น้ำหนักลด และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มการเผาผลาญเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่การที่น้ำหนักลดเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า อาหารแนว “คีโต” ทำให้คุณลดความอยากทานอาหารโดยรวม

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาผลที่ได้ต่อสุขภาพยังมีความขัดแย้งกัน เช่น งานวิจัยในสัตว์แสดงให้เห็นถึงปัญหาโรคไขมันพอกตับ จากการทานอาหารแบบคีโตเป็นเวลานาน ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติม กับผลกระทบของอาหารแนวนี้ นอกจากนี้ การทานอาหารแนวคีโตยังไม่ได้รับคะแนนที่ดีจากการจัดอันดับโดย US news & World report ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดอันดับสูตรอาหาร Diet กว่า 40 สูตร

 

ผลกระทบของการทานอาหารแนว “คีโต”

ช่วงเริ่มแรก คุณจะต้องทานคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก ประมาณ 20 ถึง 30 กรัมต่อวัน เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณจะเข้าสู่ “ภาวะคีโตซีส” (Ketosis) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในการกำจัดอาหารหลาย ๆ อย่างออกพร้อมกัน

โดยช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่น้ำหนักจะลด เป็นช่วงที่ร่างกายปรับตัว หลาย ๆ คนจะเจอกับอาการ “คีโตฟลู” (Keto flu) เช่น เหนื่อยล้า มึน คลื่นไส้ เป็นต้น อาการเหล่านี้มักเป็นแค่ชั่วคราว แต่จะทำให้คุณคิดไตร่ตรอง รวมถึงทดสอบแรงบันดาลใจ แน่นอนว่าเกี่ยวกับน้ำหนักที่คุณต้องการลด  สำหรับบางคนที่คิดว่าการทานอาหารแนวคีโตไม่เหมาะกับคุณ แต่เมื่อเริ่มแล้ว ควรมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น ถ้าคุณยังมีอาการ “คีโตฟลู” อยู่ หรือทานอาหารไม่ลง เป็นไปได้ว่าอาหารแนวนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคุณจริง ๆ อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หลังจากผ่านอาการ “คีโตฟลู” แล้ว คุณมีแนวโน้มที่จะไปได้ดีกับการทานอาหารแนวนี้

สำหรับในระยะยาวแล้ว งานวิจัยยังมีจำกัด ปัจจุบันยังบอกไม่ได้ว่าการตัดอาหารหมู่สำคัญออกไป จะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร นักโภชนาการเคยเตือนไว้ว่า อาจทำให้ขาดสารอาารได้ หากคุณทานอาหารแนวคีโตนานเกินไป ระยะเวลาที่แนะนำให้ทานอาหารแนวคีโต คือ  3 – 6 เดือน เพราะคีโตไม่เหมาะสำหรับทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน

 

ข้อควรระวังการทานอาหารแนว “คีโต”

อาหารแนวคีโต ไม่ได้เป็นอาหารวิเศษสำหรับลดน้ำหนัก หรือแก้ไขปัญหาสุขภาพได้ทั้งหมด สำหรับบางคน เช่น ผู้ที่เป็นโรคไต การทานอาหารแนวนี้อาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ ยังไม่เหมาะกับการทานเป็นระยะเวลานาน ๆ

 

ดังนั้น ควรนึกถึงไลฟ์สไตล์ของคุณว่า สอดคล้องข้อจำกัดกับอาหารแนวคีโตนี้หรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มทานอาหารแนวนี้ด้วย ทั้งนี้ ภายใต้คำแนะนำที่ถูกต้อง จะสามารถทำให้คุณมีความสุขกับการทานอาหารแนวนี้ได้

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.everydayhealth.com  www.healthline.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


-Ketosis-และ-Keto-flu.jpg

รู้จัก Ketosis และ Keto flu สำหรับผู้ที่สนใจสูตรไดเอท แบบ “คาร์บต่ำ ไขมันสูง” โดยเฉพาะสูตร “คีโต” หรือ Ketogenic diet อาจจะเคยผ่านตาเรื่องของภาวะคีโตซิส (Ketosis) และคีโต ฟลู (Keto flu) กันมาบ้าง มาดูกันนะค่ะว่า 2 คำนี้ มีความหมายอย่างไร

 

สูตรไดเอทแบบ “คาร์บต่ำ ไขมันสูง” เน้นการดึงเอาพลังงานจากไขมันมาใช้แทนคาร์โบไฮเดรต ยกตัวอย่างเช่น สูตรไดเอทแบบคีโต หรือ Ketogenic diet และสูตรไดเอทแบบแอทกิ้นส์ หรือ Atkins Diet ซึ่งร่างกายของผู้ที่ไม่คุ้นเคยต้องมีการปรับตัว เรามารู้จักกับ 2 คำ ที่ควรรู้กันค่ะ

 

Ketosis และ Keto flu คืออะไร และสำคัญอย่างไร 

 

1.Ketosis 

คีโตซิส (Ketosis) เป็นกระบวนการเผาผลาญไขมันที่เก็บไว้ในร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังงาน ในภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลกลูโคสไม่เพียงพอ กระบวนการดังกล่าวส่งผลให้เกิดการสะสมของกรดคีโตน (Ketone) ภายในร่างกาย

ทั้งนี้ภาวะนี้ จะพบได้ในผู้ที่ทานอาหารแบบ Ketogenic diet โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงอย่างมาก เพื่อบังคับให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน เพื่อเอาพลังงานที่ได้มาแทนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ภาวะนี้ยังพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน  ซึ่งร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติ ร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิสโดยพลังงานหลักมาจากไขมัน ต่อมาเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (Ketoacidosis)

โดยมีคีโตนในเลือดสูงจนเกิดอันตราย มีอาการปากแห้ง กระหายน้ำ มึนงง สับสน คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก กรณีรุนแรงอาจเกิดสมองบวม โคม่าและเสียชีวิตได้ โดยผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) ซึ่งตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ มีโอกาสเกิดภาวะเลือดเป็นกรดได้มากกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ซึ่งมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน และจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลทันที

 

2.Keto flu 

คีโตฟลู (Keto flu) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดกับหลาย ๆ คน ในช่วงแรกของการปรับตัวทานอาหารแนวคีโต (Ketogenic diet) ซึ่งเป็นสูตรอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก โดยมักจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 50 กรัมต่อวัน การลดลงอย่างมากนี้อาจเกิดผลกระทบต่อร่ากายคล้ายกับอาการจากการถอนคาเฟอีน หรือสารเสพติดบางประเภท

โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องร่วง ปวดหัว เวียนหัว อ่อนแรง หงุดหงิด ตะคริว ปวดท้อง ขาดสมาธิ ปวดกล้ามเนื้อ นอนหลับยาก จนถึงการอยากกินน้ำตาล โดยผู้ทานอาหารแนวคีโตอาจพบอาการเหล่านี้ในหนึ่งสัปดาห์แรก

ในขณะที่บางคนมีอาการต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลานาน อาการเหล่านี้มีผลโดยตรง ทำให้หลายๆคนไม่สามารถประสบความสำเร็จกับการทานอาหารแนวคีโต รู้จัก Ketosis, Keto flu ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.medicalnewstoday.com   www.healthline.com   www.haamor.com
ภาพประกอบจาก : www.unsplash.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก