ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-1.jpg

โรคภูมิแพ้ (Allergy) ด้วยลักษณะการทำงานของคนออฟฟิศที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ต้องตื่นเช้าเพราะหนีรถติดและส่วนใหญ่อยู่ในที่ทำงาน ทำให้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้มีผลต่อภาวะภูมิแพ้หรือไม่

 

โรคภูมิแพ้ (Allergy) คือ โรคที่เกิดจากภาวะร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้น (โดยในภาวะปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อย่างเช่น พวกไรฝุ่น ละอองเกสรพืช) แล้วเกิดการตอบสนองมากผิดปกติจนทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) นั้น เช่น ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก เมื่อเราหายใจเข้าไปทางจมูกสารก่อภูมิแพ้จะไปสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกแล้วทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ทำให้คัดจมูก จาม มีน้ำมูกใส ๆ คันจมูก

ส่วนกรณีที่เป็นโรคหืดเมื่อหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไปถึงหลอดลมก็จะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม แล้วหลอดลมก็จะตอบสนองด้วยการหดเกร็ง ทำให้เกิดอาการของหลอดลมตีบขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงก็ได้

 

โรคภูมิแพ้มีหลายชนิด

โรคภูมิแพ้แบ่งเป็นหลายชนิด ได้แก่ โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้ทางตา และแพ้อาหาร โดยโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยคือ โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และโรคหืด สถิติในประเทศไทยเราพบว่า อุบัติการณ์ของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 23 – 30 โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10 – 15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหารร้อยละ 5

 

สาเหตุ

สาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะภูมิแพ้ คือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีสารกระตุ้นภูมิแพ้ โดยสารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญในคนไทยคือ ไรฝุ่น ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มักอยู่ตามที่นอน พรม ม่าน ดังนั้น คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีพรม ม่านหรือแอร์ที่เก่า ไม่ค่อยได้ล้างก็อาจทำให้เป็นภูมิแพ้ หรือคนที่เป็นอยู่แล้วอาจมีผลทำให้อาการกำเริบได้

ดังนั้นคนที่ทำงานออฟฟิศอาจประสบกับภาวะนี้ เพราะต้องอยู่ในที่ทำงานที่มีสารก่อภูมิแพ้ไรฝุ่นมาก อาจมีผลให้อาการของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจกำเริบได้ นอกจากนี้การทำงานหนัก พักผ่อนน้อยมีผลทำให้อาการของโรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ และติดเชื้อหวัดได้ง่าย

 

วิธีสังเกต

วิธีสังเกตว่าเป็นโรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้หรือแพ้อากาศ จะมีอาการน้ำมูกใส โดยจะไหลออกมาหรือไหลลงคอ จาม คันจมูก อาจมีอาการไอเรื้อรังหรือกระแอม ซึ่งเกิดจากเสมหะไหลลงคอ บางคนมีอาการปวดศรีษะเรื้อรัง นอนกรน หรือถอนหายใจบ่อย ๆ ปากแห้ง บางคนมีอาการคันหัวตาโดยไม่มีอาการตาแดง ผู้ป่วยที่เป็นโรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้นั้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่กว่าคนปกติ เช่นว่า มีอาการคัดจมูกในเวลากลางคืนทำให้นอนอ้าปากหายใจ จึงตื่นมาด้วยอาการปากแห้ง รู้สึกเหมือนนอนหลับไม่สนิท คุณภาพการนอนหลับลดลง ทำให้ร่างกายไม่สดใสตื่นตัว มีผลกระทบต่อการทำงาน อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ อย่างไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก หูชั้นกลางอักเสบ หรือนอนกรน นอกจากนี้ในคนที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้อาจพบว่ามีโรคหืดร่วมด้วยในคนเดียวกัน ทำให้มีอาการไอบ่อย เหนื่อยง่าย หายใจดังวี้ด

หากสังเกตตัวเองว่ามีอาการเข้าได้กับภาวะเหล่านี้ ก็สามารถดูแลตนเองได้โดย การควบคุมสิ่งแวดล้อม การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ จัดบ้านและที่ทำงานให้เหมาะสม ไม่ควรมีพรมหรือม่านในที่ทำงาน ควรใช้มู่ลี่จะดีกว่า ทำความสะอาดแอร์ในที่ทำงานสม่ำเสมอ นอกจากนี้ไม่ควรปรับลดยาเอง ให้ใช้ยาสม่ำเสมอ โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจนั้นอาการจะกำเริบได้ง่ายหากอดนอน ดังนั้นควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้อาการของโรคดีขึ้น

 

 

สำหรับท่านที่มีสมาร์ทโฟน สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลตนเอง การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และการใช้ยาได้ที่แอพพลิเคชั่นที่หมอและทีมงานของชมรมผู้ป่วยโรคหืดธรรมศาสตร์พัฒนาขึ้นมาเรียกว่า แอสมาแคร์ (Asthma Care) ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอพได้ฟรี โดยใช้คำค้นหาเช่น หืด หอบ การพ่นยา การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เป็นต้น

 

ภาพประกอบ : www.wowamazing.com

 


.jpg

โรคหวัด เกิดจากเชื้อไวรัส มีอาการทั่วไป คือ ไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะ คัดจมูก มีน้ำมูกใส ไอ คอแห้ง เจ็บคอ มีเสมหะ ซึ่งไอมีทั้งไอแห้งและไอมีเสมหะ เป็นลักษณะสีขาว ถ้ามีอาการน้ำมูกข้นเหลือง หรือเขียว แสดงถึงการติดเชื้อต้องรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ ซึ่งการใช้สมุนไพรรักษาตามอาการของหวัดที่พบบ่อย คือ

อาการไข้

สมุนไพรที่ใช้ คือ สมุนไพรมีรสขม

  • ฟ้าทะลายโจร วิธีใช้มี 2 รูปแบบ คือ แบบลูกกลอน กินครั้งละ 4 เม็ด ก่อนอาหารและก่อนนอน หรือแบบดองกับเหล้า ซึ่งกินแต่น้ำที่เกิดจากการดองเหล้ากับฟ้าทะลายโจร 7 วัน (คนยาวันละ 1 ครั้ง) กินครั้งละ 1 – 2 ช้องโต๊ะ วันละ 3 – 4 ครั้ง ก่อนอาหาร
  • บอระเพ็ด วิธีใช้ นำเถา หรือต้นสด มาตำคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือต้มกับน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวเหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น และถ้ามีอาการ

 

อาการไอ

ระคายคอ มีเสมหะ สมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน ขม เปรี้ยว ช่วยลดอาการไอ และละลายเสมหะ ได้แก่

  • ขิง วิธีใช้ ใช้เหง้าขิงฝนกับน้ำมะนาว หรือใช้เหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาน้ำและใส่เกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอ หรือจิบบ่อย ๆ
  • ดีปลี วิธีใช้ ใช้ผลแก่แห้งของดีปลีประมาณครึ่งผลถึงหนึ่งผล ฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือ กวาด หรือจิบบ่อย ๆ
  • เพกา เมล็ด 1/2 – 1 กำมือ (หนัก 1.5 – 3 กรัม) ใส่น้ำประมาณ 300 มล. ต้มไฟอ่อน ๆ พอเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง รับประทานวันละ 3 ครั้ง
  • มะขามป้อม วิธีใช้ ใช้เนื้อสดครั้งละ 2 – 3 ผล โขลกพอแหลก ใส่เกลือเล็กน้อย อม หรือเคี้ยว รับประทาน วันละ 3 – 4 ครั้ง
  • มะขาม วิธีใช้ ใช้เนื้อในฝักแก่ของมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียก (รสเปรี้ยว) จิ้มเกลือรับประทานพอสมควร หรืออาจคั้นเป็นน้ำมะขามใส่เกลือเล็กน้อย และจิบบ่อย ๆ ห้ามใส่น้ำแข็ง
  • มะนาว วิธีใช้ ใช้ผลสดคั้นน้ำจะได้น้ำมะนาวเข้มข้น และใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้รสจัดดื่มบ่อย ๆ
  • มะแว้ง วิธีใช้ นำผลแก่สด 5 – 10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือ รับประทานบ่อย ๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ จนกว่าอาการจะดีขึ้น

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


.jpg

ขิง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber officinale Rsc. จัดอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae ตามสรรพคุณยาไทย สามารถใช้รักษาโรคท้องอืดได้ เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบด้วยสารเคมีต่าง ๆ คือ Citral, methol, bomeol, zingiberine, fenchone, 6-shogoal และ 6-gingerol มีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน แก้ลมจุกเสียด นอกจากนี้ สารที่มีรสเผ็ด ได้แก่ 6-shogoal และ 6-gingerol ทำให้ลำไส้เพิ่มการเคลื่อนไหว จึงบรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง

 

วิธีการใช้

ให้นำเหง้าขิงสดขนาดเท่าหัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรัม) ทุบให้แตก ต้มเอาน้ำดื่ม แต่มีข้อควรระวัง คือ การได้รับน้ำสกัดจากขิงที่เข้มข้นมาก ๆ จะให้ผลตรงข้าม คือ จะไประงับการบีบตัวของลำไส้จนทำให้ลำไส้หยุดการบีบตัว ดังนั้น การดื่มน้ำขิงไม่ควรให้ความเข้มข้นมากเกินไป เพราะจะทำให้ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ สำหรับโรคท้องอืดนั้น สาเหตุเกิดมาจาก

  1. ระบบการย่อยอาหารทำงานไม่ปกติ อาหารจึงไม่ย่อย หรือรับประทานอาหารมากเกินความต้องการ เคี้ยวไม่ละเอียด มีปัญหาในช่องปาก อาหารย่อยยาก ทำให้เกิดลมในท้องมาก
  2. ท้องผูก เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง เนื่องจากการที่มีก้อนอุจจาระแข็งอุดตันอยู่ในลำไส้ใหญ่
  3. แบคทีเรียในลำไส้มีมากเกินไป ปกติลำไส้จะมีแบคทีเรียทั้งดีและไม่ดีอาศัยอยู่ แต่ถ้าแบคทีเรียไม่ดีอาศัยอยู่มาก เช่น อีโคไล หรือคลอสตริเดียมมีมากเกินไป จะทำให้การสร้างแก๊ส ทำให้ท้องอืด มักพบในผู้ที่นิยมบริโภคเนื้อ นม ไข่ มากเกินไป
  4. ความเครียด เมื่อเกิดอาการเครียดระบบการทำงานของซิมปาเทติก และพาราซิมปาเทติก จะไม่มีความสมดุลกัน จึงเกิดการหลั่งน้ำย่อยออกมาน้อยลง และบางครั้งลำไส้ก็เคลื่อนไหวน้อย ทำให้ลมถูกกักอยู่ในท้อง กรณีนี้มักพบในคนทำงานที่ต้องใช้สมอง และนั่งอยู่กับโต๊ะนาน ๆ
  5. การใส่สเตย์รัดหน้าท้อง หรือใส่เสื้อผ้ารัดรูปเกินไป เป็นการเอาสิ่งของไปกดหน้าท้อง ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวไม่ได้ตามธรรมชาติ

 

วิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง

  1. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง รสจัด เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
  2. ออกกำลังกายและเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ
  3. รับประทานสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลม เช่น กะเพรา กระเทียม ชะพลู ดีปลี กานพลู ว่านน้ำ จันทน์เทศ พริกไทย ข่า

นอกเหนือจากการรักษาอาการท้องอืดได้แล้ว ขิงยังสามารถรักษาอาการไอ มีเสมหะได้ โดยการใช้เหง้าขิงแก่ผสมกับน้ำมะนาว หรือเหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาน้ำผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ หรือจิบบ่อย ๆ และยังมีการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดของขิงป้องกันการคลื่นไส้อาเจียน เมารถ เมาเรือได้ดี จึงจะมีการพัฒนาเป็นยาแก้คลื่นไส้อาเจียนของหญิงมีครรภ์

 

ภาพประกอบจาก: www.lovepik.com


-ใช้สมุนไพรอะไรรักษาได้บ้าง.jpg

การไอ ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมที่มากระตุ้นทางเดินหายใจ เช่น ควัน ฝุ่นละออง เสมหะ ออกจากทางเดินหายใจ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการไอชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น การไอติดต่อกันเป็นเวลานานจนเรื้อรัง เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น หวัดจากการแพ้ หลอดลมอักเสบ ไอกรน วัณโรค

 

การรักษาจึงต้องรักษาสาเหตุของการไออื่น ๆ เพื่อคู่ไปด้วย ยาแก้ไอที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะอาการไอ เช่น หากไอแห้ง ๆ ต้องใช้ยากดอาการไอ ซึ่งสมุนไพรในกลุ่มนี้ที่สำคัญ คือ ฝิ่น แต่ถ้าไอมีเสมหะควรใช้ยาแก้ไอละลายเสมหะ ซึ่งสมุนไพรในกลุ่มนี้แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มย่อยตามสารสำคัญ คือ

  1. กลุ่มที่มีสาระสำคัญเป็นน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ เหง้าขิง หัวกระเทียม และผลดีปลี
  2. กลุ่มที่มีสาระสำคัญเป็นกรด ซึ่งมีรสเปรี้ยว ได้แก่ มะขามเปียก น้ำมะนาว ผลมะขามป้อม และเนื้อสับปะรด และ
  3. กลุ่มสมุนไพรอื่น ๆ ได้แก่ มะแว้งเครือ มะแว้งต้น และเพกา เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรพักผ่อนมาก ๆ งดบุหรี่ อาหารทอด น้ำเย็น และพยายามดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากอาการไม่ดีขึ้นใน 1 – 2 สัปดาห์ร่วมกับน้ำหนักลด หรือมีอาการรุนแรงขึ้นควรปรึกษาแพทย์

 

ตำรับยาแก้ไอสมุนไพรต่าง ๆ ตามตำราพื้นบ้าน

  • กระเทียม ใช้กระเทียมและขิงสดอย่างละเท่ากัน ต่ำละเอียดละลายกับน้ำอ้อยสด คั้นน้ำจิบแก้ไอขับเสมหะ หรือคั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเติมเกลือใช้จิบ หรือกวาดคอก็ได้
  • ขิง วิธีใช้ขิงเป็นยาแก้ไอมีอยู่หลายวิธี อาจใช้ต้มกับน้ำพอเดือด ชงด้วยน้ำเดือด หรือคั้นน้ำขิงโดยใช้กระสายยา คือ น้ำมะนาวก็ได้ ขนาดที่ใช้ตั้งแต่ 5 – 30 กรัม
  • ดีปลี ใช้ดีปลีประมาณครึ่งผล ตำละเอียดเติมน้ำมะนาวและเกลือเล็กน้อย กวาดคอ หรือจิบบ่อย ๆ
  • มะนาว ใช้น้ำมะนาว 1 ถ้วยชา ผสมน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือเล็กน้อย ชงน้ำอุ่นดื่มบ่อย ๆ หรือน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ จิบแก้ไอ
  • มะขาม ใช้มะขามเปียก 3 กรัม จิ้มเกลือรับประทาน หรือนำมะขามเปียกมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล และเกลือเล็กน้อย
  • มะขามป้อม ใช้ผลสดตำคั้นน้ำดื่มหรือกัดเนื้อเคี้ยวอมบ่อย ๆ
  • มะแว้งเครือ/มะแว้งต้น ใช้ผลมะแว้งสด 5 – 6 ผล ล้างให้สะอาดเคี้ยวอมไว้ กลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมแล้วคายกาก หรือจะกลืนทั้งน้ำและเนื้อก็ได้ หรือใช้ผลสด 5 – 10 ผล โขลกพอแตกคั้นเอาแต่น้ำ ใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อย ๆ เวลาไอ
  • เพกา ใช้เมล็ดครั้งละครึ่งถึง 1 กำมือ (หนัก 1 1/2 – 3 กรัม) ใส่น้ำประมาณ 300 cc. ต้มไฟอ่อนพอเดือดประมาณ 1 ชั่วโมงรับประทานวันละ 3 ครั้ง

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก