ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-จากการเล่นกีฬา-H2C00-h2c.jpg

สำหรับหลาย ๆ ท่านที่อยู่ในวัยทำงาน คงจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาไปไม่ได้ วันนี้เรามาดูผู้เชี่ยวชาญชี้แนะ กรณีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อน เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น พังผืด จากการเล่นกีฬา ไม่นับรวมกรณีการบาดเจ็บรุนแรง จนกระดูกหักหรือข้อเคลื่อน

 

สาเหตุการบาดเจ็บ แบ่งได้เป็น 3 แบบ

  1. เกิดจากแรงภายนอกมากระแทก เช่น ถูกเตะที่ขา หกล้มข้อเท้าพลิก บิดเอี้ยวตัวมากเกินไป
  2. เกิดจากแรงภายใน มีการหดตัวอย่างรุนแรง เช่น เอ็นร้อยหวายฉีกขาดในนักกีฬากระโดดสูง กล้ามเนื้อต้นขาฉีกขาดในนักฟุตบอล กล้ามเนื้อต้นแขนฉีกขาดในนักเทนนิส
  3. เกิดจากการใช้งานมากเกินไป และซ้ำ ๆ เป็นการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรง แต่เกิดซ้ำที่เดิมบ่อย ๆ
    ซึ่งมักเกิดจากเทคนิคในการเล่นกีฬา และใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น เส้นเอ็นข้อศอกอักเสบ เส้นเอ็นร้อยหวายอักเสบ กล้ามเนื้อหลังอักเสบ

 

ระดับความรุนแรง และแนวทางการรักษา

สำหรับแนวทางการรักษานั้น โดยจะขึ้นอยู่กับระดับของความรุนแรง ในเบื้องต้นมี 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับที่ 1 – 3 มาดูกันว่า แต่ละระดับมีรายละเอียดเป็นอย่างไร

  • ระดับหนึ่ง เส้นใยของเอ็นยึดข้อบางเส้นใยฉีกขาด ทำให้เวลากดหรือเคลื่อนไหวข้อนั้นจะรู้สึกปวดเล็กน้อย แต่จะบวมไม่มากหรือไม่มีเลย สามารถเดินลงน้ำหนัก หรือใช้ข้อนั้น ๆ ได้ใกล้เคียงปกติ ประมาณ 2 – 3 วัน ข้อที่บวมไก็จะยุบเหมือนปกติ แต่อาจมีอาการปวดอยู่บ้าง ซึ่งใช้เวลา1 – 2 อาทิตย์ ก็จะหายสนิท
    • การรักษา ใช้ผ้ายืดพัน หรืออุปกรณ์พยุงข้อ 1 – 2 อาทิตย์

 

บาดเจ็บ-จากการเล่นกีฬา

https://www.today.com/health/pain-when-working-out-signs-you-need-stop-or-keep-I518455

 

  • ระดับสอง เอ็นยึดข้อมีการฉีกขาดบางส่วน จะมีอาการปวดและกดเจ็บมากพอควร มีบวมและฟกช้ำมากขึ้น ยังพอเดินได้หรือใช้ข้อนั้น ๆ ได้ กว่าจะยุบบวมอาจต้องใช้เวลานานเป็นอาทิตย์ ใช้เวลา 1-2 เดือนจึงจะหายสนิท

    • การรักษา ใส่เฝือก 2 – 4 อาทิตย์ แล้วต่อด้วย อุปกรณ์พยุงข้อ 2 – 4 อาทิตย์
  • ระดับสาม เอ็นยึดข้อเกิดการฉีกขาดทั้งหมด จะมีอาการปวดมาก ข้อบวมและฟกช้ำมาก
    ไม่สามารถเคลื่อนไหวข้อหรือลงน้ำหนักได้ ขยับข้อนิดหน่อยก็ปวด

    • การรักษา ใส่เฝือก 4 – 6 อาทิตย์ หรือผ่าตัดเย็บซ่อมเส้นเอ็น

  

แนวทางรักษา

ในเบื้องต้นจะขึ้นกับความรุนแรงของการบาดเจ็บ แต่จะต้องรีบทำการปฐมพยาบาล โดยใช้หลัก RICE

  1. R (Rest) พัก = ไม่เคลื่อนไหวบริเวณที่บาดเจ็บ เช่น ไม้ดาม ผ้ายืดพัน เฝือก หรือใช้ไม้เท้า
    พยุงเดิน
  2. I (Ice) น้ำแข็ง = ประคบด้วยความเย็น เช่น ใช้ผ้าหุ้มก้อนน้ำแข็ง ประคบบริเวณที่บาดเจ็บ เมื่อเกิดการบาดเจ็บในระยะ 24 – 48 ชั่วโมงแรก ให้ประคบด้วยความเย็นครั้งละ 5 – 10 นาที วันละหลาย ๆ ครั้ง ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ช่วยให้เลือดไม่ออกมาก ช่วยลดการบาดเจ็บ ลดการอักเสบ และลดบวม
    ห้าม ใช้ความร้อน เช่น ยาหม่อง น้ำมัน หรือครีมนวด ไม่ว่าจะทาแล้วร้อนหรือทาแล้วเย็น เพราะจะทำให้เลือดออกมาก บวมมากขึ้นได้
  3. C (Compress) รัด = ใช้ผ้ายืดพันบริเวณที่บาดเจ็บ รอบข้อที่เคล็ด เพื่อให้อยู่นิ่ง และ ไม่ให้เลือดออกมากขึ้น
  4. E (Elevate) ยก = ยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ไม่คั่งอยู่บริเวณที่บาดเจ็บ ช่วยลดบวมและลดปวดได้ เช่น ถ้าข้อเท้าแพลง เวลานั่งควรยกเท้าพาดเก้าอี้ ไม่ควรนั่งห้อยเท้า หรือ เวลานอนก็ใช้หมอนรองขาเพื่อยกเท้าให้สูงขึ้น
  • ถ้าปวดมาก อาจรับประทานยาพาราเซตตามอล ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยแต่ไม่ควรใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ ส่วนยาต้านการอักเสบที่ไมใช่สเตียรอยด์ (Nsaids) จะมีผลข้างเคียงเรื่องแผลในกระเพาะอาหาร จึงควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลังจาก 24 – 72 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บ ให้ประคบด้วยความร้อน เพื่อทำให้เลือดที่คั่งถูกดูดซึมได้เร็วขึ้น เช่น กระเป๋าไฟฟ้า ถุงร้อน อัลตร้าซาวด์ ครีม โลชั่น น้ำมัน
    สเปรย์ เป็นต้น
  • ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 72 ชั่วโมง ควรไปพบแพทย์ โดยทั่วไป ถ้าเป็นการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรง อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน แต่ถ้าอาการปวดหรือบวม ไม่ดีขึ้นในสามวัน ก็ควรไปพบแพทย์
  • ถ้าไม่แน่ใจว่าจะเป็นข้อเคล็ดชนิดรุนแรง ปวดมาก บวมมาก ขยับข้อไม่ได้ เดินลงน้ำหนักไม่ได้  หลังจากประคบด้วยน้ำแข็งแล้วให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะถ้ารักษาช้าเกินไปหรือรักษาไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดอาการข้อบวม ปวดข้อเรื้อรัง และรู้สึกว่าข้อไม่มั่นคง ข้อหลวม การรักษาจะยากมาก และผลการรักษาก็จะไม่ค่อยดี 

 

ข้อแนะนำเพื่อฟื้นฟูสภาพ

  • เส้นเอ็นที่ฉีกขาด ใช้เวลา 4 – 6 อาทิตย์ จึงจะเริ่มติด อาการปวดบวมลดลง แต่กว่าเส้นเอ็นจะติดสนิท แข็งแรงเหมือนเดิม ต้องใช้เวลา 4 – 6 เดือน ถ้าบาดเจ็บรุนแรงก็ต้องใช้เวลานานมากขึ้น และ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้หายใกล้เคียงปกติ คือการบริหารกายภาพบำบัด การดูแลฟื้นฟูสภาพ
  • ในระยะแรกที่ยังมีการอักเสบ มีอาการปวด บวม ควรบริหารข้อและกล้ามเนื้อใกล้เคียงที่ไม่บาดเจ็บ โดยไม่ให้ส่วนที่บาดเจ็บเคลื่อนไหว เช่น เจ็บที่ข้อเท้า ก็ให้บริหารขยับเคลื่อนไหว ข้อเข่าและข้อนิ้วเท้า เป็นต้น
  • เมื่อพ้นระยะอักเสบ ประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ ต้องออกกำลังกายและเคลื่อนไหวบริเวณที่บาดเจ็บให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการพักนานเกินไป เช่น กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ข้อติดแข็ง เป็นต้น
  • ข้อควรระวังคือ ต้องทำในระดับที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนเกิดการบาดเจ็บซ้ำอีก ค่อย ๆ ทำ และเริ่มเบา ๆ ก่อน ใช้ความรู้สึกเจ็บเป็นตัวกำหนด ถ้ารู้สึกเจ็บมากขึ้น แสดงว่าทำมากหรือรุนแรงเกินไป ก็ให้ท้าน้อยลง หรือ หยุดพัก

 

แนวทางการฟื้นฟูสภาพ

หลังจาก 4 – 6 อาทิตย์ ก็จะต้องพยายามฟื้นฟูร่างกายให้คืนสู่สภาพปกติ มีแนวทางทั่วไปคือ

  1. เริ่มออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง เช่น ใช้การถ่วงน้ำหนัก และค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้น
  2. ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความทนทานควบคู่ไปด้วยซึ่งทำได้โดยใช้น้ำหนักต้านที่เบา ๆ หนักประมาณ 20 – 40% ของน้ำหนักที่กล้ามเนื้อเส้นเอ็นข้างปกติสามารถยกได้มากที่สุด แต่ต้องยกติดต่อกันหลายๆครั้ง
  3. เพิ่มความทนทานให้ระบบหัวใจหลอดเลือดและปอด โดยออกกำลังกายแบบแอโรบิก อย่างน้อยวันละ 30 นาที
  4. ออกกำลังกายเคลื่อนไหวข้อที่บาดเจ็บให้มากขึ้น แต่จะต้องเพิ่มช้า ๆ ไม่เช่นนั้น อาจทำให้ข้อนั้นเกิดบาดเจ็บซ้ำอีก

 

จะกลับไปเล่นกีฬาได้เมื่อไร

ปัญหาที่พบบ่อยหลังจากรักษา คือ เกิดการบาดเจ็บซ้ำขึ้นอีก เนื่องจากใจร้อนกลับไปเล่นกีฬาในสภาพที่ร่างกายยังไม่พร้อม คิดว่าไม่เจ็บแล้วน่าจะเล่นได้ หลักพิจารณาเบื้องต้นคือ

  • ในกรณี เล่นกีฬาทั่วไป (ไม่มีการแข่งขัน) ก่อนที่จะเล่นกีฬาจะต้องรู้สึกว่ากล้ามเนื้อและข้อปกติ ไม่มีอาการปวด บวมหรือเสียว ในกล้ามเนื้อหรือในข้อ ขณะเล่นกีฬาควรใช้ผ้ายืดรัดบริเวณกล้ามเนื้อหรือข้อ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ค่อยๆปรับเพิ่มความเร็ว-ความหนักของกีฬา เพื่อประเมินอาการ ถ้าเล่นกีฬาแล้วรู้สึกผิดปกติ รู้สึกเจ็บมากขึ้นให้หยุดเล่น หรือลดความเร็ว-ความหนักลง
  • ในกรณีที่เป็นการแข่งขัน เล่นกีฬาอย่างเต็มที่ เหมือนก่อนการบาดเจ็บ ต้องมีการทดสอบความพร้อมของร่างกาย ถ้าร่างกายมีความสมบูรณ์พร้อมมากกว่า 95% ขึ้นไป จึงจะลงแข่งขันได้

 

ภาพประกอบ : https://www.today.com


-ยังไงไม่ให้พลาด.jpg

ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันกระแสการออกกำลังกายมาแรงมาก ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องขายดี และมีการพัฒนาออกมาให้เลือกกันมากมาย จนบางครั้งผู้ซื้อไม่รู้จะใช้หลักอะไรในการตัดสินใจ รองเท้าออกกำลังกายเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะรองรับแรงกระแทกของร่างกายโดยตรง

 

สำหรับชุดออกกำลังกายนั้น นอกจากรูปทรงกระชับแล้ว ยังต้องมีเนื้อผ้าที่ใส่สบาย โดยระบายเหงื่อได้ดี  และแห้งเร็ว แต่การพิจารณาเลือกซื้อรองเท้าออกกำลังกายนั้น มีเรื่องต้องพิจารณามากไปกว่านั้น เพราะนอกจากจะส่งผลต่อสมรรถภาพของการออกกำลังกายแล้ว ยังอาจส่งผลต่ออุบัติเหตุในระหว่างการเล่น หรือถ้าเลือกรองเท้าผิดประเภท อาจส่งผลให้เท้าหรือกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อเกิดการบาดเจ็บได้เช่นกัน มี 2 เรื่องง่าย ๆ แต่สำคัญ ดังนี้

 

เลือกรองเท้าให้เหมาะกับประเภทของการออกกำลังกาย

เริ่มแรกให้ดูก่อนว่าคุณกำลังออกกำลังกายประเภทไหน ประเภทของการออกกำลังกายจะเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ เพราะจะทำให้คุณมีโอกาสได้รองเท้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการออกกำลังกายหรือกีฬาประเภทนั้น ๆ เช่น

  • เน้นการวิ่ง ถ้าคุณวิ่งเป็นหลัก ให้มองหารองเท้าวิ่งที่มีคุณสมบัติรองรับแรงกระแทกได้ดี และสามารถกระจายแรงกระแทกโดยเฉพาะส้นเท้า ไปยังส่วนต่างๆอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องมีความยืดหยุ่นตัว และคงสภาพได้ดี และแน่นอนว่าต้องมีน้ำหนักเบา
  • เน้นการเดิน ให้มองหารองเท้าที่ให้ความนุ่มสบาย ดูดซับแรงกระแทกและออกแบบมาเพื่อรองรับการเดินอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
  • เน้นการเล่นกีฬาในคอร์ต หากคุณมองหารองเท้าเล่นเทนนิส วอลเลย์บอล บาสเกตบอลหรือกีฬาในคอร์ตอื่นๆ เบื้องต้นเลือกพื้นรองเท้าที่เหมาะกับประเภทของคอร์ต ซึ่งปกติรองเท้าแต่ละประเภทจะทำพื้นมาอยู่แล้ว เช่น รองเท้าพื้นยางเหมาะสำหรับใช้ในคอร์ตแบดมินตัน สนามฟุตซอล เป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีความทนทานและการคงสภาพได้ดี เพื่อรองรับการเคลื่อนไหวกลับไปกลับมาเกือบทุกทิศทางในพื้นที่คอร์ต ได้เป็นอย่างดี
  • กีฬาสนามกลางแจ้ง หากคุณกำลังมองหารองเท้าสำหรับเล่นกอล์ฟ หรือฟุตบอล อื่น ๆ เบื้องต้นคุณจะต้องการรองเท้าที่มีเชือกผูกและมีปุ่ม เพื่อให้มีแรงยึดเกาะกับพื้นที่ดียิ่งขึ้น

เคล็ดลับง่าย ๆ เพื่อตรวจสอบคุณภาพรองเท้าก่อนตัดสินใจซื้อ: งอปลายของรองเท้าที่ละครั้ง ควรมีความยืดหยุ่นในการงอได้ใกล้เคียงกับเท้าของเรา หากงอได้มากเกินไปหรือแข็งจนงอได้ยาก ก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บในขณะเล่นได้  นอกจากนี้ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารองเท้าส่วนที่รองรับส้นเท้ามีความแข็งแรง เพียงพอ ไม่บุบหรือยุบตัวเมื่อออกแรงกด รวมถึงมีพื้นรองเท้าที่รองรับแรงกระแทกตามลักษณะของกีฬาแต่ละประเภทได้เป็นอย่างดี

 

เลือกรองเท้ากีฬาให้พอดีเท้า

การลองรองเท้าในร้านขายส่วนใหญ่จะต่างจากการใส่ออกกำลังกายจริง แต่มีเคล็ดลับเล็ก ๆ ในการเลือกซื้อรองเท้าเพื่อให้ได้ขนาดที่เหมาะกับเท้าของคุณในการออกกกำลังกาย:

  • ซื้อช่วงบ่าย ๆ หลังจากผ่านการเดินมาทั้งวัน เท้าจะบวมที่สุดในช่วงเย็นของวันและคุณจะได้รองเท้าที่พอดีเท้าเมื่อลองในช่วงเวลานี้
  • ลองกับถุงเท้ากีฬา ให้ลองกับถุงเท้ากีฬาที่คุณใส่ประจำ เพื่อตอนที่ใส่จริงจะได้พอดีแบบสุด ๆ
  • เลือกขนาดที่ใส่แล้วเหลือช่องบริเวณนิ้วเท้าด้านหน้า ประมาณครึ่งนิ้ว โดยหากเท้าสองข้างไม่เท่ากันให้เลือกขนาดที่พอดีกับข้างที่ใหญ่กว่าเสมอ
  • ปัจจุบันรองเท้าแต่ละยี่ห้อ หรือแต่ละรุ่นอาจมีรูปทรงที่แตกต่างกัน เช่น บางรุ่นสำหรับหน้าเท้ากว้าง บางรุ่นสำหรับหน้าเท้าแคบ เลือกรองเท้าให้เหมาะกับลักษณะเท้าของเรา สังเกตได้จากส้นเท้ารู้สึกกระชับ ปลายเท้าเหลือครึ่งนิ้ว และจุดกว้างที่สุดของฝ่าเท้าตรงกับจุดกว้างที่สุดของรองเท้าที่สวมอยู่
  • หาโอกาสลองสวมอย่างน้อย 10 นาที ลองเดินในร้านหรือถ้านอกร้านก็จะดีมากในกรณีที่ร้านค้าอนุญาต

ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับเท้าให้คุยกับพนักงานขายโดยตรงเพื่อหารองเท้าที่เหมาะกับเท้าคุณจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น คนเท้าโค้งอาจจะต้องการรองเท้าที่ต่างไปจากคนเท้าแบน โปรดจำไว้ว่ารองเท้ากีฬาทุกชนิดมีความแตกต่างกัน ดังนั้นอย่ายึดติดกับสไตล์หรือเลือกเพราะเห็นคนอื่นใส่ ให้ศึกษาว่าคุณมีลักษณะเท้าเป็นอย่างไร ถ้ามีปัญหามีในส่วนไหน แล้วเลือกรองเท้าในแบบที่ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้น้อยลงได้

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
ที่มา : www.everydayhealth.com
ภาพประกอบ : www.pixabay.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก