ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-ขณะออกกำลังกาย.jpg

มีข้อมูลพบว่า อันตรายขณะออกกำลังกาย โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิต ทั่วโลกอยู่ที่ 1 : 80,000 – 200,000 โดยการเสียชีวิตส่วนใหญ่จะมาจากโรคแฝง ที่นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ๆ ไม่รู้ หรือรู้และอยู่ในระหว่างการรักษาหรือการควบคุม โอกาสที่จะเสียชีวิตในคนที่แข็งแรงไม่มีโรคแฝงจากกการออกกำลังหรือเล่นกีฬาโดยตรงนั้น มีโอกาสเกิดน้อยกว่า

 

สาเหตุการเสียชีวิต จากการออกกำลังกาย

สำหรับการเสียชีวิต ซึ่งเกิดในระหว่างการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา เช่น การวิ่งระยะไกล การเตะฟุตบอล การเล่นแบดมินตัน มักจะมาจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับหัวใจเป็นหลัก โดยมีโอกาสเกิดสูงในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีอายุ ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีประวัติเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ไขมันสูง ความดันสูง มีเบาหวาน สูบบุหรี่ อ้วน เป็นต้น เมื่อต้องออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ 3 – 5 ชม. และเมื่ออยู่ในสภาพที่มีความฟิตไม่เพียงพอ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ มีเรื่องเครียดก่อนแข่ง นอนดึกก่อนแข่ง จึงมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตระหว่างการออกกำลังกายสูง

ทั้งนี้สาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิต มาจากการที่มีลิ่มเลือดหรือก้อน plaque หลุดไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดการอุดตันเฉียบพลัน เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวายและเสียชีวิต ซึ่งโรคนี้ในการดำเนินชีวิตปกติอาจไม่มีอาการ นอกจากนี้การตรวจหลอดเลือดหัวใจตามปกติ เช่น การตรวจเลือด เอกซเรย์ทรวงอก CT scan, MRI, คลื่นไฟฟ้าหัวใจ, การวิ่งสายพาน (Exercise stress test: EST) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary angiogram) อาจให้ผลเป็นปกติได้ ทำให้ผู้ออกกำลังกายหรือผู้เล่นกีฬาส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่ามีโรคแฝงอยู่ สำหรับในรายที่อายุน้อยกว่า 40 ยังอาจเสียชีวิตจากโรคหัวใจผิดปกติอื่น ๆ ได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจโตผิดปกติ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม อีกทั้งมีการพบว่า มีอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตที่สูง ในผู้ที่ปกติไม่ค่อยออกกำลังกาย แล้วจู่ๆไปออกกำลังกายหนักๆเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งเกินหัวใจจะรับได้

นอกจากการเสียชีวิตจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับโรคหัวใจแล้ว ยังมีการเสียชีวิตในขณะออกกำลังกายจากสาเหตุอื่น เช่น การสูญเสียเกลือแร่ จากโรคลมแดด (Heat stroke) ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า

  

อาการเตือนถึงอันตรายขณะออกกำลังกาย

ทั้งนี้ผู้ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาควรต้องสังเกต อาการที่แสดงถึง อันตรายขณะออกกำลังกาย สำคัญ ๆ โดยถ้ามีอาการอย่าฝืน อย่าพยายามเล่นต่อเด็ดขาด อาการดังกล่าว ได้แก่

  1. เจ็บแน่นหน้าอก โดยอาจลามไปจนถึงช่วงแขน คอ กราม ใบหน้าหรือช่องท้อง
  2. เวียนหัว หน้ามืดจะเป็นลม หรือเหงื่อแตก ใจสั่น

โดยหากมีอาการดังกล่าว ให้รีบบอกเพื่อน ผู้เล่น กรรมการเพื่อส่งให้หน่วยพยาบาลปฐมพยาบาล หรือไปโรงพยาบาลทันที หากไม่มีหน่วยช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ ให้โทรศัพท์ไปที่เบอร์สายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

  

ข้อแนะนำในการลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิต

  1. ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจร่างกายตามระดับความเสี่ยง เช่น อายุมาก มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ อาจต้องทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การวิ่งสายพานหรือการตรวจอื่นๆที่เหมาะสม ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดและค่าใช้จ่ายในการตรวจจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งจะมีแพคเกจเฉพาะออกมาเป็นระยะ โดยภายหลังการตรวจ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด
  2. ควรมีการเตรียมร่างกาย ฝึกซ้อมก่อนเล่นหรือก่อนแข่งอย่างเพียงพอ โดยมีรูปแบบการฝึกทั้งแบบ interval หนักสลับเบา แบบ tempo หนักต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความทนทาน รวมถึงการฝึกเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น เป็นต้น
  3. ในการออกกำลังกาย หากมีความหนักหน่วง เช่น ออกกำลังกายในลักษณะที่อัตราการเต้นของหัวใจโซนสูง ๆ ควรค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบเร่ง ไม่โหมโดยไม่ดูกำลังตัวเอง และควรมีวันพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้มีการปรับตัว
  4. ในกรณีที่เป็นการแข่งขัน ให้เล่นเหมือนกับที่ซ้อมมา อาจเข้มข้นขึ้นได้อีกเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายคุ้นเคยกับระดับความหนักของการออกกำลังหรือแข่งในระดับนี้มาแล้ว อันตรายมากหากไม่ค่อยได้เล่น ซ้อมน้อยหรือหยุดไปนาน แล้วมามุ่งมั่นเอาจริง เอาจังตอนแข่ง ซึ่งหัวใจจะโหลด และมีความเสี่ยงสูงอาจทำให้เสียชีวิตได้
  5. หากพบอาการเตือน เช่น แน่นหน้าอก เวียนหัว หน้ามืดจะเป็นลม อย่าฝืนเล่นหรือออกกำลังกายต่อ ให้หยุดพัก แจ้งหน่วยพยาบาลหรือติดต่อสายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทันที
  6. นอกจากนี้ควรหาเวลาเข้าอบรมการทำ CPR หรือการปั้มหัวใจ เผื่อมีโอกาสในการช่วยผู้เล่นกีฬาคนอื่น ๆ ได้

การออกกำลังกายให้ถูกประเภท โดยมีความหนักและความถี่ที่เหมาะสม ผู้ออกกำลังกายจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามการสังเกตอาการผิดปกติ โดยเฉพาะอาการที่อาจเกี่ยวกับหัวใจ และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com
ข้อมูลอ้างอิง : ข้อมูลจาก พ.อ. นพ. กิจจา จำปาศรี. (2562). วิ่งหรือออกกำลังกายอย่างไร ให้ปลอดภัยกลับบ้านแน่ ๆ. www.health2click.com


.jpg

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Ischemic heart disease) เป็นโรคหัวใจที่เกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการแน่นหน้าอกเป็นครั้งคราว เช่น ขณะโกรธจัด รีบจัด เครียด หรือออกกำลังกาย เรียกอาการแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดว่า Angina pectoris โดยหากปล่อยไว้ไม่ได้ทำการรักษา อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดรุนแรงจากการที่เลือดไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการแน่นหน้าอกรุนแรงจนเกิดภาวะช็อกและหัวใจวายร่วมด้วย และหากเกิดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจแบบเฉียบพลันทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction) ตามมาได้

 

โรคนี้มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อายุมากขึ้นจะมีโอกาสพบมากขึ้น หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น การสูบบุหรี่ การดำเนินชีวิตที่ขาดกิจกรรมเคลื่อนไหว ขาดการใส่ใจในการกินอาหาร และออกกำลังกายไม่เพียงพอ มีความเสี่ยงมากกว่าในผู้ที่มีการเคลื่อนไหว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ มีการออกกำลังกายที่เหมาะสม

 

อาการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย

กรณีที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จะมีอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นตรงกลางอก โดยอาจปวดร้าวไปที่ไหล่ซ้าย ด้านในของแขนซ้าย บางครั้งอาจปวดร้าวไปคอจนถึงขากรรไกรล่างได้ ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่เกิด 10 นาที อาการจะทุเลาหายไปเมื่อได้พัก นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจรู้สึกเหมือนแสบร้อนกลางอก หรืออาหารไม่ย่อยได้อีกด้วย

กรณีที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย จะมีอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นตรงกลางอก เช่นเดียวกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่จะมีอาการรุนแรงและยาวนานกว่า แม้ว่าได้พักอาการก็จะไม่หายไป ผู้ป่วยอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือเหงื่อออกมาร่วมด้วยได้ ในรายที่เป็นรุนแรง จะมีอาการหอบเหนื่อย จากภาวะหัวใจวายหรือเกิดภาวะช็อก โดยจะมีเหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเต้นเบาหรือ ความดันโลหิตตก ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจเป็นลมหมดสติและเสียชีวิตในทันทีได้

 

สาเหตุ

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้มีหลายสาเหตุ สาเหตุหลักเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease) โดยการมีคราบไขมันเกาะสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหัวใจขาดความยืดหยุ่นและเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) และไขมันที่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ และทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุหรือปัจจัยอื่น เช่น ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคไตเรื้อรัง ผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจ รวมถึงการมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น มีความเครียดสูง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น

 

การวินิจฉัย

แพทย์จะซักประวัติสุขภาพผู้ป่วย ประวัติสุขภาพครอบครัวในส่วนของโรคที่เกี่ยวข้อง การตรวจร่างกายทางระบบหัวใจ ตรวจเอกซเรย์ปอด ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography, ECG) นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาตรวจพิเศษเพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำมากขึ้น เช่น การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) การเดินสายพาน (Exercise stress test) การฉีดสารทึบรังสีเพื่อตรวจหลอดเลือดหัวใจ (Coronary angiography)

 

การรักษา

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง และอาจนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ ทั้งนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้การฟื้นฟูเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น แนวทางการรักษามีดังนี้

  • การรักษาด้วยยา โดยแพทย์อาจใช้ยาชนิดเดียว หรืออาจใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อช่วยในการรักษาเช่น ยาขยายหลอดเลือดหัวใจ ยากลุ่ม ACE inhibitor, ยากลุ่ม Calcium channel blocker, ยากลุ่ม Beta blocker, ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet) หรือยาละลายลิ่มเลือด (Anticoagulant) ในกรณีที่มีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เป็นต้น

บางกรณี แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเพื่อช่วยให้เลือดสามารถไหลเวียนผ่านหลอดเลือดหัวใจไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดียิ่งขึ้น ดังนี้

  • การรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ (Balloon angioplasty) โดยการสอดท่อที่มีปลายติดอุปกรณ์คล้ายบอลลูน เข้าไปที่หลอดเลือดหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือดบริเวณที่อุดตันหรือตีบ นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งขดลวด (Stent) ที่สามรถกางออกเพื่อให้ผนังหลอดเลือดหัวใจในบริเวณดังกล่าวขยายอยู่ตลอดเวลา
  • การรักษาด้วยการผ่าตัดทำทางเบี่ยงของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass grafting) โดยแพทย์จะนำหลอดเลือดดำที่บริเวณขาหรือหลอดเลือดแดงที่ทรวงอกหรือข้อมือมาเชื่อมหลอดเลือดหัวใจ เพื่อเป็นทางเบี่ยงของการไหลเวียนของเลือดให้สามารถผ่านตำแหน่งที่มีการตีบไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้

 

ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจังหรือมีอาการเรื้อรัง อาจพบภาวะแทรกซ้อนซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ เช่น ภาวะช็อกจากหัวใจ (Cardiogenic shock) หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) หัวใจวาย (Heart failure) หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน  เป็นต้น

   

ข้อแนะนำและการป้องกัน โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย

  • ผู้ป่วยที่เป็นเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เป็นประจำ และควรพกยาขยายหลอดเลือดหัวใจติดตัวไว้ใช้เวลามีอาการ ซึ่งมีทั้งแบบยาอมใต้ลิ้นหรือยาแบบ spray
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาภายหลังออกจากโรงพยาบาล ควรพักฟื้นที่บ้านสักระยะ หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก งดการร่วมเพศเป็นเวลา 6 – 8 สัปดาห์หลังได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงของหลอดเลือดหัวใจ โดยเมื่อกลับไปทำงานแล้ว ยังมีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้แรงมาก ทั้งนี้นอกเหนือจากการกินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแล้ว การปฏิบัติตัวเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ เช่น การกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว การออกกำลังกายให้เหมาะสม การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบ งดการสูบบุหรี่ในรายที่เคยสูบบุหรี่มาก่อน เป็นสิ่งจำเป็น
  • ข้อควรปฏิบัติในการป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    • ควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารในทุกมื้อ โดยไม่ควรรับประทานในปริมาณมากหรือตามใจปาก โดยมีมื้อหลักไม่เกิน 3 มื้อ มื้อเช้าสำคัญอย่าขาด มื้อเย็นควรให้น้อยเท่าที่พออิ่ม เพราะเป็นช่วงก่อนเข้านอน ในแต่ละมื้อเน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ  โดยเฉพาะธัญพืช ผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้แคลอรี่สูง เช่น ของมัน ของทอด เนื้อติดมัน เลือกดื่มน้ำเปล่าหรือนมไขมันต่ำ
    • ควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานในส่วนที่เกินจากปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน สำหรับการออกกำลังกายนั้นควรออกให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายอย่างน้อย 30 นาที/ครั้ง สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง อาจเลือกกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การวิ่ง เดิน หรือเต้น และเล่นกีฬาประเภทต่างๆ เมื่อมีโอกาส
    • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียดเรื้อรัง การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนหลับน้อย เป็นต้น
    • รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง อย่างเคร่งครัด
    • หากสมาชิกในครอบครัวเคยป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ควรวางแผนรับมือ เช่น จดรายละเอียดยาที่ใช้ ยาที่แพ้ และเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยแพทย์ฉุกเฉินไว้ในที่ที่สามารถเห็นได้สะดวก รวมถึงผู้ป่วยควรพกข้อมูลติดต่อของคนใกล้ชิดที่สามารถติดต่อได้ทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน คนในครอบครัวควรช่วยกันดูความผิดปกติ เพราะยิ่งพบเร็วก็จะทำให้รักษาได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น และสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้

 

แหล่งข้อมูล

  1. นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ. โรคหัวใจขาดเลือด โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย. ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป. สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน. (2543) : 421-425
  2. www.thaiheart.org 
  3. Knuuti J, Wijns W, Saraste A, Capodanno D, Barbato E, Funck-Brentano C et al. 2019 ESC Guidelines for the diagnosis and management of chronic coronary syndromes. Eur Heart J. 2020;41(3):407-77.
  4. Roffi M, Patrono C, Collet JP, Mueller C, Valgimigli M, Andreotti F et al. 2015 ESC Guidelines for the management of acute coronary syndromes in patients presenting without persistent ST-segment elevation. Eur Heart J. 2016;37(3):267-315.
  5. Levine GN, Steinke EE, Bakaeen FG, Bozkurt B, Cheitlin MD, Conti JB et al. Sexual activity and cardiovascular disease. Circulation. 2012;125(8):1058-72.

ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 

 


-ส่อโรคหัวใจ-h2c.jpg

สังเกตอาการเสี่ยง ส่อโรคหัวใจ อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน คืออาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคหัวใจ พบบ่อยในคนทั่วไป ที่คิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี ทั้งที่ความจริงอาจเป็นโรคหัวใจในระยะแรกเริ่ม มีดังนี้

 

อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน

คืออาการผิดปกติเบื้องต้นของร่างกาย ที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคหัวใจ พบบ่อยในคนทั่วไป ที่คิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี ทั้งที่ความจริงอาจเป็นโรคหัวใจในระยะแรกเริ่ม มีดังนี้

เหนื่อยเวลาออกกําลังกาย
เพราะหัวใจทําหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ขณะที่เราออกกำลังกาย หัวใจจะทํางานหนักมากขึ้น ปกติเวลาที่เราออกกำลังกายไปถึงระดับหนึ่งจะรู้สึกเหนื่อย แต่ในรายของคนที่มีอาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกเหนื่อยผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้น หากออกกำลังกาย แล้วรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า คุณอาจเป็นโรคหัวใจ

เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก
มักพบบ่อยในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการดังกล่าวจะมีลักษณะเฉพาะคือ รู้สึกเหมือนหายใจอึดอัด และแน่นบริเวณกลางหน้าอก เหมือนมีของหนักทับอยู่ หรือรัดไว้ให้ขยายตัวเวลาหายใจ โดยมากอาการนี้ จะแสดงออกเวลาที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างการออกกำลังกาย หรือใช้แรงมากๆ เป็นต้น ซึ่ง เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่า อาจเป็นโรคหัวใจ

ภาวะหัวใจล้มเหลว
เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือด ไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกายได้อย่างเพียงพอ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหนื่อย ทั้งที่ออกกำลังกายเพียงนิดหน่อย หรือเหนื่อยทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ ในกรณีที่เป็นมาก อาจทำให้ไม่สามารถนอนราบได้เหมือนปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจ และอึดอัดตรงหน้าอก นอกจากนั้น อาจมีอาการหอบจนต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก อีกด้วย อาการภาวะหัวใจล้มเหลวนี้ หากไม่รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้

ใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ปกติหัวใจของเราจะเต้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอประมาณ 60 – 100 ครั้ง/นาที แต่สำหรับคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจขยับไปถึง 150 – 250 ครั้ง/นาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอนี้ จะทำให้เหนื่อยง่าย ใจสั่น หายใจไม่ทัน

เป็นลมหมดสติ
คืออีกหนึ่งอาการที่เตือนว่าคุณอาจเป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นลมหมดสติสูง เนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เพราะเซลล์ซึ่งทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จนทำให้เป็นลมไปชั่วคราวได้ ทั้งนี้ การเป็นลมหมดสติ มักจะเกิดในท่ายืนมากกว่านั่ง ทำให้ขณะล้มลงศีรษะมีโอกาสฟาดพื้น และเกิดการกระทบกระเทือนต่อสมองได้มากกว่า ดังนั้น ใครที่เป็นลมบ่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์

หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน
ในกรณีนี้มักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์หัวใจโดยตรง และมักเกิดกับคนปกติที่ไม่มีอาการของโรคหัวใจมาก่อนล่วงหน้า ซึ่งหากมีอาการหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่รวดเร็ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

อาการผิดปกติที่สังเกตได้จากร่างกาย

นอกจากความผิดปกติชนิดเฉียบพลันแล้ว อาการบ่งชี้ที่สังเกตได้จากร่างกายของเราเอง ก็เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่เตือนให้รู้ว่า คุณอาจเป็นโรคหัวใจ และควรไปพบแพทย์โดยด่วนได้เช่นกัน เป็นต้นว่า

ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋มตามนิ้วที่กดลงไป ซึ่งหากเกิดขึ้นกับใคร ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คโดยด่วน เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า เวลานี้ คุณอาจอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวโดยที่ไม่รู้ตัว

ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ
อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทางเดินของเลือดในหัวใจห้องขวากับห้องซ้ายมีเชื่อมต่อที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการผสมของเลือดแดงกับเลือดดํา และทําให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดมีปริมาณน้อยลง

 

อาการผิดปกติที่ตรวจพบขณะตรวจร่างกาย

การไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถคาดคะเน ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ เช่น ตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้เช่นกัน เอ็กซเรย์พบว่าขนาดของหัวใจโตกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว และกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อนกำลังลง ทำให้ห้องต่าง ๆ ของหัวใจขยายขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบไปพบแพทย์โดยด่วน

 

ป้องกันโรคหัวใจอย่างไรดี

ข้อมูลที่ได้บอกไปข้างต้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เรามีอัตราเสี่ยงสูงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจเท่านั้น ซึ่งผู้ที่จะวินิจฉัยว่าเราเป็นโรคหัวใจหรือไม่ คือแพทย์โรคหัวใจเท่านั้น ดังนั้นหากพบความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนดีที่สุด

 สำหรับคนที่หัวใจยังเป็นปกติ เรามีข้อแนะนำในการดูแลหัวใจ (ก่อนสายเกินไป) ดังนี้

  • สังเกตความผิดปกติของตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน เช่น ดูว่าอัตราการเต้นของหัวใจปกติดีหรือไม่ เจ็บหน้าอก ใจสั่นบ่อย ๆ หรือเปล่า เป็นต้น
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สุขภาพจิตแจ่มใสแล้ว ยังช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้นอีกด้วย
  • ดูแลสุขภาพใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ พยายามไม่เครียด รู้จักควบคุมอารมณ์ และพึงระลึกไว้เสมอว่า ความเครียดและความโกรธ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หัวใจเต้นแรง และทำงานหนักขึ้น
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยงดอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบได้ง่าย หันไปกินอาหารจำพวกแป้งไม่ขัดขาว และผักผลไม้ให้มากขึ้น
  • ควรไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันและรักษาโรคร้ายที่อาจคาดไม่ถึง ซึ่งแฝงเร้นอยู่ในตัวเราตั้งแต่เนิ่นๆ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 216.(2009).สังเกตุอาการเสี่ยง ส่อโรคหัวใจ.
แหล่งที่มา : https://nawaporn.wordpress.com/2010/05/26/สังเกตอาการเสี่ยง-ส่อโร/
ภาพประกอบจาก : https://www.1413.in.th/category-view-13.htm


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก