ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

เคล็ดลับ การซื้อยาให้ปลอดภัย สมัยนี้คนเราเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยทางด้านกายภาพ ด้านจิตใจ และด้านทรัพย์สิน เราจึงต้องระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ แทบทุกเรื่อง ด้านทรัพย์สินนั้นเราสร้างความปลอดภัยโดยการอยู่ในถิ่นที่อยู่ที่ปลอดภัย มีสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ดี ส่วนด้านจิตใจ เราประคับประคองใจด้วยการปฏิบัติธรรมตาม คติความเชื่อทางศาสนาต่าง ๆ ด้าน และสำหรับด้านร่างกาย เรามีการใส่ใจดูแลสุขภาพที่ดี โดยการหาอาหารเสริมต่าง ๆ มาบำรุงร่างกาย มีการออกกำลังกายในรูปแบบต่าง ๆ หลากหลาย 

 

บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับในการเข้าร้านยาให้ปลอดภัย ท่านอาจจะสงสัยว่า “การเข้าร้านยามีอะไรไม่ปลอดภัย” แน่นอนถ้าเข้าร้านยาที่ไม่มีเภสัชกรประจำอาจจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยมากกว่า ถึงแม้ว่าเข้าร้านยาที่มีเภสัชกรประจำก็อาจจะมีความไม่ปลอดภัยได้บ้าง ดังนั้นท่านจึงควรทราบเคล็ดลับความปลอดภัยในการเข้าร้านยา โดยใช้หลักการ “ถามหาเภสัชกรและซื้อยาที่ถูก 5 ประการ” เคล็ดลับนี้เป็นสิ่งที่ง่าย และปฏิบัติได้เองเพื่อคุณ และคนที่คุณรัก 

เมื่อเข้ารับบริการที่ร้านยา ท่านต้องได้รับการสอบถามและได้รับคำแนะนำในประเด็นเหล่านี้ 

ถูกคน

ท่านต้องได้รับการซักถามว่า ยาที่ซื้อนั้น “ท่านใช้เอง หรือซื้อให้คนอื่น” ดังนั้นถ้าท่านจะซื้อยาให้คนอื่นใช้ หรือ คนอื่นฝากมาซื้อยา ท่านควรต้องสอบถามอาการคนที่ฝากท่านซื้อยาให้ละเอียดว่ามีอาการอะไรบ้าง และถ้าท่านจะใช้ยาเองท่านต้องบอกเล่าอาการที่ท่านเจ็บป่วยให้เภสัชกรฟังอย่างละเอียด และอย่ารำคาญเมื่อเภสัชกรซักถามท่านหลายคำถาม นั่นแสดงให้เห็นว่าเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องและเหมาะสม 

 

ถูกโรค

เภสัชกรต้องสอบถามท่าน เกี่ยวกับอาการที่ไม่สบายอย่างละเอียด เรียกว่าสัมภาษณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า (ถ้าท่านเป็นหลายโรคตั้งแต่หัวจรดเท้า) นอกจากนี้ท่านต้องได้รับการสอบถามเกี่ยวกับโรคที่ท่านเป็นอยู่ก่อน หรือโรคเรื้อรังที่ท่านต้องใช้ยาเป็นประจำ เช่น โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยาที่เภสัชกรจะสั่งจ่ายให้ท่านกับยาที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำ และเภสัชกรต้องสอบถามท่านว่า “เคยแพ้ยาอะไรบ้างหรือไม่” เพื่อป้องกันอันตรายจากการแพ้ยา เพราะยาบางชนิดอาการแพ้จะมากขึ้นมื่อใช้ยานั้นซ้ำ บางชนิดเป็นอันตรายถึงชีวิต

 

ถูกขนาด

ในขั้นตอนนี้เภสัชกรต้องแนะนำ ชื่อยาที่ท่านได้รับ และขนาดยาที่ท่านได้รับ หรือถ้าท่านต้องการซื้อยาที่ซื้อใช้เป็นประจำ ควรต้องแจ้งเภสัชกรเกี่ยวกับขนาดยาที่ท่านใช้อยู่ เพื่อความถูกต้องเหมาะสมของยาที่ใช้

 

ถูกวิธี

ท่านต้องได้รับการชี้แจง เกี่ยวกับช่องทางที่ท่านจะรับยานั้นเข้าร่างกายว่า ยาที่ท่านได้รับเป็น ยากิน ยาอม ยาดม ยาทา ยาพ่นหรือยาเหน็บ เพราะการให้ยาถูกคน ถูกโรค ถูกขนาด แต่ผิดวิธีใช้ ท่านจะไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้ยา แต่จะได้รับอันตรายจากการใช้ยานั้นแทน

 

ถูกเวลา

เภสัชกรต้องแจ้งท่านว่าจะใช้ยานั้นเวลาไหน ก่อนหรือหลังอาหาร ก่อนนอน หรือใช้เวลาปวด เพราะเวลาที่ใช้ยาต่างกัน อาจได้ผลจากยาไม่เท่ากัน ดังนั้นควรใช้ยาตามเวลาที่เภสัชกรแนะนำ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ยาที่รับประทานก่อนอาหาร ควรรับประทานในช่วงที่ท้องว่าง ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ซึ่งก็คือก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อย 30 นาที ยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันที อาจรับประทานพร้อมอาหารหรือก่อนรับประทานอาหารคำแรกก็ได้ เพราะไม่ว่าจะกรณีใด ยาจะเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหารพร้อมกับอาหารที่รับประทานเหมือน ๆ กัน ยาที่ควรรับประทานหลังอาหารเพื่อ หลีกเลี่ยงอันตรายจากอาการข้างเคียงของยา เช่นยาแก้ปวดกล้ามเนื้อและกระดูก ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างเพราะจะเกิดอาการเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

 

ที่สำคัญซองยาที่ท่านได้รับจะต้องระบุรายอะไรเกี่ยวกับตัวยา วิธีใช้ ขนาดที่ใช้ จำนวนที่ใช้ เวลาที่ใช้ และข้อควรระวังอย่างละเอียด และที่สำคัญคือต้องมีชื่อของคนที่จะใช้ยานั้นระบุไว้อย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการใช้ยาผิดคน

ข้อคิดสำคัญเมื่อมียาเหลือหลังจากที่อาการทุเลาแล้ว ไม่ควรนำยาที่ท่านใช้เหลือ ไปให้คนอื่นใช้ เพราะยาที่ท่านใช้ได้ผลดีอาจจะเป็นโทษต่อคนที่มีอาการคล้าย ๆ กันก็ได้ และที่สำคัญยานั้นอาจจะเสื่อมสภาพ เนื่องจากการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นการให้คนอื่นใช้ยาที่ท่านใช้เหลือจะเป็นความหวังดีที่จะกลายเป็นบาปโดยไม่ตั้งใจก็ได้

ดังนั้น อย่าลืมจะเข้าร้านยาทุกครั้ง ต้องจดจำไว้ว่า “ถามหาเภสัชกรและซื้อยาที่ถูก 5 ประการ”

 

เอกสารอ้างอิง
1. http://www.prema.or.th/patient.php?CId=1&Id=27&menu= (สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2556)
2. http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=83 (สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2556)

 

ผู้เขียน : อาจารย์ ดร. ภก. ลือรัตน์ อนุรัตน์พานิช. ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “เคล็ดลับ การซื้อยาให้ปลอดภัย”. 2556.
แหล่งที่มา : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/147/เคล็ดลับการซื้อยาให้ปลอดภัย/
ภาพประกอบจาก : https://www.freepik.com


.jpg

ใช้ยาอย่างไรให้ปลอดภัย แม้ว่ายาจะสามารถใช้รักษาให้หายป่วย และทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักไว้เสมอก็คือ ยาทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีอันตราย เช่นเดียวกับที่มีคุณประโยชน์ ดังนั้น ก่อนใช้ยาควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนใช้ทุกครั้ง

 

อันตรายจากการใช้ยานั้น อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากฤทธิ์ของยา ซึ่งอาจเริ่มจากอาการที่ไม่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ จนถึงขั้นเสียชีวิต เช่น การทำลายตับ หรือการหายใจไม่ออก เป็นต้น นอกจากนี้ยังเกิดได้จากปฏิกิริยาระหว่างยา 2 ชนิดขึ้นไป หรือปฏิกิริยาระหว่างยากับอาหาร เครื่องดื่ม หรืออาหารเสริม (เช่น วิตามินหรือสมุนไพร) ที่รับประทานระหว่างการใช้ยา โดยอาจส่งผลให้ยาที่รับประทานบางชนิด มีประสิทธิภาพลดลงหรือออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป หรืออาจเกิดสารเคมีตัวใหม่ที่มีอันตรายสูง ดังนั้นเราจึงควรรู้ถึงวิธีการปฏิบัติเพื่อ ลดความเสี่ยงและได้รับประโยชน์จากการใช้ยาอย่างสูงสุดมี 5 ประการ ได้แก่

 

คุยกับแพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านเองให้มากที่สุด เช่น

  • ท่านมีประวัติการแพ้ยาอะไรหรือไม่
  • รับประทานยาหรืออาหารเสริมอื่น ๆ อยู่หรือไม่
  • ข้อจำกัดบางประการในการใช้ยา (เช่น มีปัญหาการกลืนยา หรือต้องทำงานกับเครื่องจักรอันตราย ไม่สามารถทานยาที่ทำให้ง่วงได้)
  • อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร (กรณีของผู้หญิง)
  • นอกจากนั้น หากท่านมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจ ควรสอบถามให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาอย่างผิด ๆ

 

ทำความรู้จักยาที่ใช้ให้มากที่สุดเช่น

  • ชื่อสามัญทางยา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้ยาซ้ำซ้อน และได้รับยาเกินขนาด
  • ชื่อทางการค้าของยา
  • ลักษณะทางกายภาพของยา เช่น สี กลิ่น รูปร่าง เป็นต้น เมื่อสภาพของยาเปลี่ยนแปลงไป เช่น สีเปลี่ยน ไป ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาดังกล่าว เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
  • ข้อกำหนดการใช้ยา เช่น รับประทานเมื่อไหร่ จำนวนเท่าไร อย่างไร และควรรับประทานนานแค่ไหน
  • ภายใต้สถานการณ์ใด ควรหยุดใช้ยาทันที
  • ผลข้างเคียงของยาหรือปฏิกิริยาของยา

อ่านฉลากและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

  • ควรทำความเข้าใจการใช้ยาให้ถูกต้อง หากไม่เข้าใจประการใดควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญ
  • อ่านฉลากยาอย่างน้อย 2 ครั้ง ก่อนการใช้ยาทุกครั้ง เพื่อความมั่นใจว่ารับประทานยา ถูกต้อง
  • เก็บยาในที่ที่เหมาะสมตามที่ระบุบนฉลาก
  • ห้ามเก็บยาต่างชนิดกันในภาชนะเดียวกัน และไม่ควรเก็บยาสำหรับใช้ภายในและสำหรับใช้ภายนอกไว้ ใกล้เคียงกัน

 

หลีกเลี่ยงปฏิกิริยาระหว่างกันของยา

  • ถามแพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญว่ายาที่คุณรับประทาน มีปฏิกิริยาระหว่างยา อาหาร เครื่องดื่ม หรือ อาหารเสริมหรือไม่
  • ทุกครั้งที่จะได้รับยามาใหม่ ควรนำยาเดิมที่รับประทานอยู่ ไปแสดงให้แพทย์หรือเภสัชกร ได้ตรวจสอบและจัดยาใหม่ไม่ให้ซ้ำซ้อนกันและได้ยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

ตรวจสอบผลของยาที่จะเกิดขึ้นและอาการข้างเคียงจากการใช้ยา

  • ควรทราบวิธีการใช้ยา เพื่อลดอาการข้างเคียง เช่น ควรรับประทานยาหลังรับประทานอาหารทันที เพื่อลดอาการปวดท้อง
  • ให้ความสำคัญกับอาการต่าง ๆ ของร่างกาย หากมีสิ่งใดผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
  • รู้ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อเกิดอาการข้างเคียงจากการใช้ยา

 

แม้ว่าการใช้ยามีอันตรายควบคู่ไปกับคุณประโยชน์ แต่การปฏิบัติตนเพื่อลดอันตรายจากการใช้ยา สามารถทำได้ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากจนเกินกว่าที่จะปฏิบัติได้จริง แต่ประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง และควรระลึกไว้เสมอว่า การที่ท่านมีส่วนร่วมกับแพทย์ เภสัชกร และผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการใช้ยาของตัวท่านเองอย่างใกล้ชิด จะทำให้ท่านมีความปลอดภัยในการใช้ยามากยิ่งขึ้น

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.fda.moph.go.th. (2009).ใช้ยาอย่างไรให้ปลอดภัย.25 มีนาคม 2558.
แหล่งที่มา : http://webnotes.fda.moph.go.th/consumer/csmb/
ภาพประกอบจาก : www.090101066.exteen.com

 


-1.jpg

ข้อควรรู้ สำหรับผู้ใช้ยา ให้ปลอดภัย อ่านฉลากยาให้เข้าใจ และหากมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีใช้ยา ต้องถามให้เข้าใจอย่างชัดเจนก่อน เมื่อไรก็ตามที่ได้รับการจ่ายยามา ลองหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้

 

ใช้ยาให้ปลอดภัย

  1. อ่านฉลากยาให้เข้าใจ และหากมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีใช้ยา ต้องถามให้เข้าใจอย่างชัดเจนก่อน
  2. เมื่อไรก็ตามที่ได้รับการจ่ายยามา ลองหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้
    • ควรรู้ชื่อยา หากเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยควรรู้ว่า มีข้อบ่งใช้หรือรักษาอะไร
    • มีข้อควรระวังในการใช้อย่างไรบ้าง
    • ไม่ควรรับประทานร่วมกับยาใดบ้าง
    • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มประเภทใดบ้าง
    • มีวิธีใช้ยาอย่างไรและเวลาใดบ้าง
    • ต้องใช้เป็นระยะเวลานานเท่าใด หรือควรพบแพทย์อีกหรือไม่
  3. ทุกครั้งที่พบแพทย์หรือซื้อยามาใช้ด้วยตนเอง ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกร ได้ทราบว่ากำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง
  4. ยาเกือบทุกชนิดมีฤทธิ์ข้างเคียง ที่นอกเหนือจากฤทธิ์สำคัญที่ต้องการ และอาจเกิดขึ้นกับคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากผู้ใช้ยามีปัญหาของฤทธิ์ข้างเคียงที่เกิดขึ้นนั้น ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
  5. ผู้ใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งว่า ตนเองเคยมีอาการแพ้ยาชนิดใดบ้าง อาการแพ้ยาแสดงให้เห็น ด้วยลักษณะต่าง ๆ เช่น เกิดผื่นแดงที่ผิวหนัง ผื่นลมพิษ คันตามตัวหรือใบหน้า หน้าบวม หรือหายใจขัด เป็นต้น
  6. ไม่ควรนำยาของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ ไปให้ผู้อื่นหรือแนะนำให้ซื้อใช้ชนิดเดียวกับตนถึงแม้ว่าจะมีอาการแสดงคล้ายคลึงกัน แต่อาจไม่ใช่โรคเดียวกันก็ได้
  7. การซื้อยามาใช้ด้วยตนเอง เช่น ยาหยอดหู ตา จมูก ยาเหน็บ ควรอ่านฉลากหรือถามผู้ขายถึงวิธีใช้ยาให้เข้าใจ เพราะบ่อยครั้งที่พบว่าการใช้ยาไม่ถูกต้อง ทำให้โรคหรืออาการไม่หายได้
  8. คนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ต้องใช้ยาตามคำสั่งแพทย์ จำเป็นต้องระมัดระวัง ในการซื้อยามาใช้ด้วยตนเอง เพราะอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับ การเกิดปฏิกิริยาต่อกันของยาได้
  9. ไม่ควรให้ยาแก่ทารก ที่มีอายุต่ำกว่า 1 ขวบ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และการให้ยาเพื่อบำบัด อาการเจ็บป่วยไม่รุนแรง แก่เด็กที่มีอายุ 1 – 12 ปี ผู้ใช้ยาต้องรู้ขนาดใช้ยาที่เหมาะสมกับอายุของเด็ก
  10. สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในระยะให้นมบุตร ควรปรึกษาการใช้ยากับแพทย์หรือเภสัชกร
  11. ควรมีความรู้เกี่ยวกับการเก็บยาให้ถูกต้อง โดยทั่วไปยาที่ไม่ได้ระบุฉลากว่าต้องเก็บในตู้เย็นแล้ว ก็ควรเก็บไว้ในตู้เก็บยาที่ปิดมิดชิด ในสถานที่แห้งและเย็น ไม่มีแดดส่อง
  12. ตรวจตู้ยาเป็นระยะ ๆ เพื่อกำจัดยาที่ไม่ใช้หรือหมดอายุแล้ว

 

ใช้ยาให้ถูกต้อง

1.ใช้ยาให้ถูกวิธีหรือถูกทาง

  • ยาเม็ดหรือแคปซูลวิธีใช้ยาที่ถูกต้อง คือกลืนยาทั้งเม็ดหรือแคปซูล พร้อมน้ำโดยไม่ต้องเคี้ยวยา ยกเว้นยาที่ระบุว่า “ควรเคี้ยวยาก่อนกลืน” เช่นยาลดกรด
  • ยาน้ำสำหรับรับประทานก่อนรินยาต้องเขย่าขวดก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ตัวยากระจายทั่วขวด และต้องใช้ช้อนตวงยา หรือหลอดยาที่ติดมากับขวดยา ห้ามใช้ช้อนกาแฟ หรือช้อนรับประทานอาหาร เพราะทำให้มีขนาดยาไม่ถูกต้อง
  • ยาผงสำหรับรับประทานหากระบุให้ละลายน้ำก่อนรับประทาน ก็ต้องละลายก่อนรับประทาน ไม่ควรเทผงยาใส่ปากแล้วดื่มน้ำตาม หากเป็นผงยาโรยแผล เวลาใช้ต้องระวังอย่าให้ผงยาปลิวเข้าปาก จมูก และตา
  • ยาขี้ผึ้งหรือครีมเป็นยาที่ใช้กับผิวภายนอกร่างกาย เวลาใช้ให้ทาบาง ๆ วันละ 2 – 3 ครั้ง โดยไม่ต้องถูหรือนวด ยกเว้นเมื่อมีระบุไว้ในฉลากเท่านั้น
  • ยาประเภทหยอดหู ตา จมูก ยาเหน็บควรอ่านฉลากแนะนำให้เข้าใจก่อนใช้
  • ยาอมเป็นยาที่ต้องการให้ละลายในปาก ห้ามเคี้ยวหรือกลืนยาทั้งเม็ด

2.ใช้ยาให้ถูกขนาดและถูกเวลา ขนาดยา

คือจำนวนยาที่ให้เข้าไปในร่างกาย เพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุด โดยทั่วไปขนาดยาที่ใช้ในแต่ละคน จะไม่เท่ากันซึ่งแตกต่างกันไปตามอายุ น้ำหนักร่างกาย และความรุนแรงของโรค ดังนั้น ผู้ใช้ยาจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลาก เกี่ยวกับขนาดและระยะเวลา หรือช่วงห่างในการใช้ยา จึงจะทำให้ยานั้น ๆ ได้ผลตามต้องการ ผู้ใช้ยาควรต้องทราบถึงความหมายของคำต่าง ๆ ที่พบเสมอในฉลากยา เช่น

  • รับประทานก่อนอาหาร หมายความว่า ก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ดีในขณะท้องว่าง
  • รับประทานหลังอาหาร หมายความว่า หลังอาหารอย่างน้อย 15 นาที เพื่อให้ยาดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ดีโดยมีอาหารช่วยในการดูดซึม
  • รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ยามีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารจนถึงขั้นเป็นแผลทะลุได้ บ่อยครั้งที่ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน หากรับประทานขณะท้องว่าง ดังนั้น จึงต้องมีอาหารหรือน้ำช่วยทำให้เจือจางลง ยาดังกล่าวได้แก่ ยาแก้ปวดข้อต่าง ๆ หรือยาปฏิชีวนะบางชนิด
  • รับประทานก่อนนอน หมายความว่า รับประทานก่อนนอนตอนกลางคืนวันละ 1 ครั้งเท่านั้น

การใช้ยาอย่างปลอดภัย

เราจะใช้ยาได้อย่างปลอดภัย ก็ต่อเมื่อรู้ข้อมูลเกี่ยวกับยานั้น ๆ ให้มากที่สุด การรู้ว่ายาที่จะใช้คือยาอะไร และใช้เพื่ออะไรนั้น จะช่วยให้ใช้ยาได้เต็มประโยชน์ และลดโอกาสที่อาจเกิดอันตรายจากยา ให้เหลือน้อยที่สุด และถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าลืมจดคำถามที่อยากรู้ เอาไว้ถามแพทย์หรือเภสัชกร ก่อนรับยามาด้วยทุกครั้ง

หลักในการใช้ยาที่ถูกต้องคือ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร หรือคำแนะนำที่ระบุบนฉลากยา อย่างเคร่งครัดทุกครั้ง โดยเฉพาะยาที่ซื้อกลับมาใช้เองที่บ้าน (ยาบาอย่าง เช่น ยาต้านมะเร็ง ต้องให้แพทย์หรือพยาบาลเป็นผู้ฉีดให้เท่านั้น) ตัวอย่างเช่น ยาที่ระบุว่าให้กินพร้อมอาหาร ก็แสดงว่าเป็นยาที่มีผลระคายเคือง ต่อทางเดินอาหาร

ยาบางอย่างนั้น ต้องกินตามช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น ทุก 4 หรือ 6 ชั่วโมง เนื่องจากมีฤทธิ์อยู่ได้ เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นหากลืมกินยามื้อใดมื้อหนึ่งไป ก็เท่ากับว่าร่างกายจะไม่ได้รับยาตามขนาด ที่จะให้ผลได้ตามต้องการ เมื่อรับยามาทุกครั้ง จึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า ยาที่ระบุไว้ว่าให้กินวันละ 4 ครั้งนั้น หมายถึง ต้องกินยาทุก 6 ชั่วโมงจริง ๆ (ตื่นขึ้นมากินตอนกลางคืนด้วย) หรือให้กินตามเวลาอาหาร คือ เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน

 

การเรียกชื่อตัวยา

เมื่อจะใช้ยาอะไรก็ตาม เราต้องรู้จักชื่อสามัญของยานั้นด้วย ไม่ใช่รู้จักแต่เฉพาะชื่อการค้าเท่านั้น ชื่อสามัญของยา คือ ชื่อทั่วไปที่ใช้เรียกตัวยา โดยตัวยาชนิดหนึ่งจะมีชื่อสามัญเพียงชื่อเดียว แต่อาจมีชื่อการค้าได้หลายชื่อ ตามแต่บริษัทผู้ผลิตยาจะตั้งไว้

เมื่อบริษัทยาค้นพบยาใหม่ๆ ตัวใดตัวหนึ่ง ก็จะตั้งชื่อการค้าและขายยาตามชื่อนั้น จนกระทั่งหมดสิทธิ์ (ส่วนใหญ่ลิขสิทธิ์ยามีอายุประมาณ 20 ปี) หลังจากนั้นยาดังกล่าวก็จะถูกเรียกโดยชื่อสามัญ และบริษัทอื่น ๆ ก็สามารถผลิตออกมาขายได้ ประโยชน์ของการรู้จักชื่อสามัญของยานั้น นอกจากจะทำให้สามารถเลือกใช้ยาที่ถูกกว่า แต่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกันแล้ว ยังช่วยป้องกันความสับสน และความซ้ำซ้อน ที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ยาได้ด้วย

 

การใช้ยา

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า เราต้องใช้ยาชนิดนั้น ๆ นานเท่าใด ยาบางอย่าง เช่น ยาปฏิชีวนะนั้น จำเป็นต้องใช้ให้ครบ ตามจำนวนที่แพทย์สั่ง แม้ว่าจะหายป่วยแล้วก็ตาม หรือการหยุดใช้ยาบางชนิดอย่างกะทันหัน ก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นหากอาการยังไม่ดีขึ้น และต้องการยาเพิ่ม จึงควรไปพบแพทย์ ก่อนที่ยาชุดเก่าจะหมด

ยาบางอย่างแสดงฤทธิ์ได้เร็วมาก เช่น ยากลีเซอริลไตรไนเตรต ซึ่งเป็นยาแก้อาการปวดเค้นหัวใจ เนื่องจากหัวใจขาดเลือด ที่ออกฤทธิ์ได้เกือบทันที แต่ยาบางอ่างก็แสดงฤทธิ์ช้าๆ และต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ จึงจะเห็นผล ดังนั้นจึงควรถามแพทย์หรือเภสัชกร เกี่ยวกับเวลาในการออกฤทธิ์ของยา ก่อนที่จะหยุดยา เนื่องจากคิดว่ายานั้นใช้ไม่ได้ผล

ยาทุกชนิดล้วนมีอาการข้างเคียง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย และจะสังเกตได้หรือไม่ก็ตาม โดยบางชนิดอาจแสดงผลอันไม่พึงประสงค์ทันที แต่ยาบางชนิดอาจแสดงผล หลังจากใช้ไปแล้วหลายวัน ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ยา ต้องรีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรโดยเร็ว นอกจากนั้น การใช้ยาหลายๆ อย่างพร้อมกัน ก็อาจทำให้ยาเกิดปฏิกิริยาต่อกันได้ ไม่ว่าเป็นการเสริมฤทธิ์ ด้านฤทธิ์ หรือทำให้ยาอีกตัวไม่แสดงฤทธิ์ เป็นต้น จึงต้องบอกแพทย์และเภสัชกรทุกครั้ง หากกำลังใช้ยาตัวอื่นอยู่ด้วย

เรื่องที่ต้องถาม

คำถามเหล่านี้เป็นคำถามสำคัญ ที่ต้องถามแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง และต้องทำความเข้าใจกับคำตอบที่ได้ให้ชัดเจน ก่อนจะรับยากลับบ้าน

  • ชื่อสามัญและชื่อการค้าของยาชนิดนี้คืออะไร
  • ยาชนิดนี้เป็นยาประเภทใดหรือกลุ่มใด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไขมันในเลือด หรือยาลดความดันโลหิต
  • ยาออกฤทธิ์อย่างไร
  • ยาทำให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างไรบ้าง
  • ต้องกินยาวันละกี่ครั้ง กินอย่างไร (ก่อน หลัง หรือพร้อมอาหาร) และนานเท่าใด
  • ระหว่างการใช้ยา ต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดหรือไม่
  • จะทำอย่างไร ถ้าลืมกินยา
  • จะรู้ได้อย่างไรว่ายาใช้ได้ผลแล้ว

และสุดท้าย ต้องนึกไว้เสมอว่าโรคบางโรคนั้น อาจหายได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยา ดังนั้น เมื่อเจ็บป่วยและไปพบแพทย์ ก็อย่าคาดหวังว่าแพทย์ต้องจ่ายยา หรือฉีดยาให้เราทุกครั้ง เพราะวิถีแห่งเวชปฏิบัติที่ดี และควรจะเป็นก็คือ การรู้ว่าเมื่อใดบ้าง ที่ควรและไม่ควรใช้ยา

 

การใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี

ยาปฏิชีวนะนั้นถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น และมีประโยชน์สำหรับร่างกาย แต่ในบากรณีก็ไม่จำเป็นและไม่ควรใช้ วัตถุประสงค์หลักของการใช้ยาปฏิชีวนะ ก็คือ เพื่อฆ่าหรือยับยั้งเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่คือเชื้อราหรือบัคเตรี แต่จะใช้ไม่ได้ผลกับอาการไอ หรือไข้หวัดซึ่งมักเกิดจากเชื้อไวรัส ทุกครั้งที่ใช้ยาปฏิชีวนะ ต้องใช้ให้ครบตามจำนวนที่แพทย์สั่ง การหยุดาเอง เมื่อรู้สึกว่าอาการดีขึ้น จะทำให้เชื้อที่เหลืออยู่พัฒนาตัวเอง จนดื้อยาและรักษายากขึ้น ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อเป็น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อบัคเตรี
  • อาการปอดบวม
  • วัณโรค
  • สิวที่มีการอักเสบรุนแรง
  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบจากเชื้อบัคเตรี
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ก่อนและหลังการผ่าตัดใหญ่
  • โรคติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงและไม่ควรใช้เมื่อเป็น
  • ไข้หวัด เจ็บคอ (ยกเว้นที่เกิดจากเชื้อบัคเตรี) หัด อีสุกอีใส คางทูม หรือโรคอื่น ๆ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส
  • อาการท้องร่วงและอาเจียน ยกเว้นที่เกิดจากการติดเชื้อบัคเตรี

 

ยาบรรจุเสร็จ

ยาบรรจุเสร็จ คือ ยาที่ใช้แก้อาการหรือบำบัดโรค ที่ไม่เป็นอันตรายมากนัก และสามารถหาซื้อได้ โดยไม่ต้องใช้ใบยาสั่งยาจากแพทย์ แม้ว่ายาบรรจุเสร็จมักมีฤทธิ์รุนแรง น้อยกว่ายาที่แพทย์สั่งจ่าย แต่ก็ยังเป็นยาเช่นกัน จึงควรใช้เท่าที่จำเป็น และหากใช้เกิดขนาด ก็อาจเป็นอันตรายได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ตับถูกทำลายอย่างรุนแรง นอกจากนั้น ยังควรใช้อย่างระมัดระวัง และอ่านฉลากยาให้ถ้วนถี่ก่อนใช้ โดยเฉพาะเรื่องขนาดสูงสุดที่ใช้ได้ รวมทั้งข้อห้ามใช้อื่นๆ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลวิภาวดี.(2009).ข้อควรรู้สำหรับผู้ใช้ยา.9 กันยายน 2559.
แหล่งที่มา : http://www.vibhavadi.com/mobi/health_detail.php?id=27
ภาพประกอบจาก : www.kvamsook.com

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก