ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

ปัจจุบันนี้ โรคเอดส์กำลังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุข ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งโรคนี้ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ มีเพียงยาต้านไวรัสเท่านั้น ที่จะช่วยให้เชื้อไวรัสเอดส์ลดลง ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งข้อดี คือ ทำให้ไวรัสลดลง มีภูมิคุ้มกัน CD4 เพิ่มขึ้น แต่ข้อเสีย คือ มีผลทำให้เกิดภาวะผิดปกติ เช่น ตับอักเสบ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคไต ปลายประสาทอักเสบ ปวดเมื่อยตามข้อตามตัว มีผื่นขึ้นตามตัว เกิดภาวะไขมันเคลื่อนย้าย แก้มตอบ แขนขาลีบ

 

แนวคิดในการรักษา

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แนวคิดในการรักษาเปลี่ยนไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้วิธีรักษาแบบ 2 ทางที่เรียกว่า Complementary treatment หมายถึง การรักษาระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันควบคู่ไปกับแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) โดยมีหลักการดังต่อไปนี้

  1. ใช้ต้านไวรัสเพื่อลดจำนวนเชื้อไวรัส จนไม่สามารถตรวจพบได้ ปริมาณไวรัสต่ำกว่า 50 ตัวต่อลบ.มม.
  2. ใช้วิธีป้องกันข้อเสียของยาต้านไวรัส โดยการซ่อมสร้างร่างกายที่เรียกกันว่าแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) เช่น การใช้ยาสมุนไพรแบบสกัด ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ว่ามีฤทธิ์ในการปกป้อง ซ่อมสร้างร่างกาย เช่น ปกป้องตับ โดยการใช้เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ฯลฯ ใช้มะระขี้นกซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ใช้น้ำมันปลาในกลุ่มโอเมก้า 3 ป้องกันไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น สามารถช่วยปกป้องผลข้างเคียงที่เกิดจากยาต้านไวรัสได้

 

สมุนไพรที่ใช้ในการเพิ่มภูมิต้านทานในผู้ติดเชื้อเอดส์

  1. ลูกใต้ใบ พบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบสามารถยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ของ HIV-1 ได้
  2. ฟ้าทะลายโจร พบว่า สาร dehydroandrographlide succinic acid monoester ซึ่งสังเคราะห์ได้จากสาร andrographolide จากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV-1 และมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อด้วย
  3. ขมิ้นชัน พบว่า มีสารสีเหลือง curcumin ในขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ protease ของ HIV-1 และ HIV-2 และยังสามารถยับยั้งเอนไซม์ integrase ของเชื้อ HIV-1 จึงได้มีการนำ curcumin ไปทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยเอดส์อยู่ในขณะนี้
  4. เห็ดหลินจือ พบว่า มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ HIV-1 ได้ผลดี โดยป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายในช่วงแบ่งตัวของไวรัส
    และไม่เป็นพิษต่อเซลล์ และยังพบอีกว่ามีสาระสำคัญที่ช่วยในการเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย และอาการภูมิแพ้ ตุ่มคันตามผิวหนัง
  5. มะระขี้นก พบว่า มีเมล็ดแก่ของมะระขี้นก มีโปรตีน TBG-P 29 ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV โดยการยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase  ผลอ่อนใช้เป็นยาเจริญอาหาร รักษาอาการเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ได้ดี

 

ภาพประกอบจาก: www.th.wikipedia.org


...เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้.jpg

ยาคุมฉุกเฉิน…เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้ มีความเหมือนหรือแตกต่างจากยาคุมกำเนิดแบบปกติอย่างไร อีกทั้งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีวิธีใช้ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเป็นเช่นไร หากท่านไม่ทราบ การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็จะเหมือนกับการใช้ยาอื่น ๆ คือ

 

ยาคุมฉุกเฉิน…เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้

คุณผู้อ่านหลายท่านอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็น ยาคุมกำเนิดประเภทหนึ่ง หลายท่านคงร้อง อ๋อ แต่ช้าก่อน ท่านทราบหรือไม่ว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มีความเหมือน หรือแตกต่างจากยาคุมกำเนิดแบบปกติอย่างไร อีกทั้งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีวิธีใช้ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเป็นเช่นไร หากท่านไม่ทราบ การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็จะเหมือนกับการใช้ยาอื่น ๆ คือ มีประโยชน์หากใช้ถูกต้อง และก่ออาการข้างเคียง หรืออันตรายหากใช้ไม่ถูก

 

ยาคุมฉุกเฉิน คืออะไร 

มารู้จักยาคุมกำเนิดกันก่อน เดิมเรียกว่า “ยาคุมกำเนิดหลังเพศสัมพันธ์” แต่ต่อมาเพื่อความเข้าใจและการใช้ที่ถูกต้อง จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน” ซึ่งจริง ๆ แล้ว หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า “ยาคุมฉุกเฉิน” แท้จริงแล้วไม่ใช่ยา แต่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งสูงกว่ายาคุมกำเนิดโดยทั่วไปถึง 2 เท่า และมี 2 ชนิด คือ

1. ยาคุมฉุกเฉินที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว 

มีชื่อทางการค้าว่า โพสตินอร์ จะมีส่วนประกอบหลักเพียงอย่างเดียว คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) ขนาดเม็ดละ 0.75 มิลลิกรัม โดยลีโวนอร์เจสเตรลนี้จัดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์กลุ่มเดียวกับฮอร์โมนโปรเจสโตเจน (Progestogen) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีความหนาขึ้น และยากต่อการฝังตัวของไข่ นอกจากนี้ ยังทำให้บริเวณปากมดลูกมีสารคัดหลั่งที่มีลักษณะเหนียวข้นออกมา จึงทำให้ตัวอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้ยากขึ้น

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้บ่อย คือ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน คัดเต้านม และระดูมาผิดปกติ โดยอาจมาเร็วขึ้น หรือช้าก็ได้ บางครั้งอาจพบเลือดออกกะปริบกะปรอย ดังนั้น ถ้าขาดระดู หรือระดูมากะปริดกะปรอยหลังใช้ยานี้ จำเป็นจะต้องตรวจให้ทราบว่าเป็นการตั้งครรภ์ หรือเป็นผลของยา ในกรณีที่ป้องกันไม่ได้ ยังมีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงกว่าปกติอีกด้วย

2. ยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนรวม 

หรือที่เรียกว่า Yuzpe regimen เป็นการใช้ฮอร์โมน ethinyl estradiol 0.1 มิลลิกรัม และ Levonorgestrel ขนาด 0.5 มิลลิกรัม โดยยาจะไปขัดขวางการปฏิสนธิของสเปิร์มและไข่ ยับยั้งการตกไข่ หรืออาจมีผลต่อการทำงานของคอร์ปัสลูเตียมก็ได้ ทั้งนี้ วิธีนี้เป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป แต่มีข้อเสีย คือ มีผลข้างเคียงมากกว่าแบบแรก

 

การกินยาคุมฉุกเฉิน อย่างไรถูกต้อง 

ตามคำแนะนำบอกไว้ว่า การรับประทานยาคุมฉุกเฉินต้องกิน 2 ครั้ง โดยเม็ดแรกต้องกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นอีก 12 ชั่วโมงจึงรับประทานยาเม็ดที่ 2 แต่ถ้าหลังจากทานยาเข้าไปแล้วไม่ว่าครั้งแรก หรือครั้งหลังแล้วเกิดการอาเจียนภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมง จะต้องทานยานั้นอีกครั้ง

ทั้งนี้ วิธีการรับประทานยาข้างต้นก็เป็นวิธีการที่ถูกต้องค่ะ แต่จริง ๆ แล้ว ทางกรมอนามัย ยังได้แนะนำวิธีการกินยาคุมฉุกเฉินอีกหนึ่งวิธี ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กัน ก็คือ  ให้รับประทานทั้ง 2 เม็ดพร้อมกันเลยใน 5 วันหลังจากมีเพศสัมพันธ์ได้เลย ซึ่งวิธีดังกล่าวได้รับการยอมรับในหลายประเทศ รวมทั้งองค์การอาหารและยาของสหรัฐ ว่าใช้ได้ผล และเป็นการป้องกันการลืมกินยาเม็ดที่ 2 ได้ดี แต่ในประเทศไทยยังรับรู้เรื่องนี้น้อยมาก

 

ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินเทียบเท่ายาคุมแบบปกติไหม 

ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินย่อมไม่เทียบเท่ายาคุมกำเนิดปกติแน่นอน สำหรับยาคุมฉุกเฉินนั้นมีประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ราวร้อยละ 58 – 95 ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้ที่ถูกวิธีและระยะเวลาที่เริ่มใช้ด้วย แต่ยังไม่พบว่า การกินยามากกว่าขนาดที่กำหนดจะทำให้ประโยชน์มากขึ้นหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือจะมีผลข้างเคียงมากขึ้น

ทั้งนี้ หากคุณรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกภายใน 72 หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์แล้วตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ 75% แต่หากรับประทานยาเม็ดแรกเข้าไปไม่เกิน 24 ชั่วโมง ประสิทธิภาพในการป้องกันก็จะเพิ่มขึ้นอีกถึง 10% ดังนั้น หากต้องการผลที่ชัดเจนและแน่นอนที่สุด ก็ควรจะรีบทานยาเม็ดแรกให้เร็วที่สุดนั่นเอง

 

ยาคุมฉุกเฉิน มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง 

แน่นอนว่า การใช้ยาคุมฉุกเฉินย่อมสร้างปัญหาบางอย่างให้กับคุณผู้หญิงแน่นอน เบาะ ๆ ก็คือ จะทำให้ประจำเดือนผิดปกติ มาช้า หรือมาแบบกะปริบกะปรอย และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน แต่หากใช้บ่อยและต่อเนื่อง ก็มีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูกได้เลยทีเดียว

นอกจากนั้นแล้ว จากข้อมูลจากแพทย์ระบุว่าในชีวิตไม่ควรจะใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเกิน 2 ครั้ง เพราะจะมีผลกับร่างกายของผู้หญิง เช่น กระตุ้นเซลล์มะเร็ง หรือกระทบต่อรังไข่ มดลูก และร่างกายทั่วไป ซึ่งจะส่งผลทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

 

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน 

สำหรับในประเทศไทย การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกในการซื้อการพกพา วิธีการกินไม่ยุ่งยากเหมือนยาคุมกำเนิดทั่วไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แพทย์ก็ได้เตือนสาว ๆ ที่มักนิยมใช้ยาคุมฉุกเฉินว่า ยาดังกล่าวจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เท่านั้น ไม่สามารถป้องกันโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไวรัสตับอักเสบบี ฯลฯ ได้อย่างที่เข้าใจกัน

สำหรับคนที่เข้าใจว่ายาคุมฉุกเฉินทำให้แท้งได้ ข้อนี้ก็เป็นความเชื่อที่ผิดเช่นกัน เพราะจริง ๆ แล้วยาคุมฉุกเฉินเพียงแค่ป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่จะต้องรับยาเข้าไปก่อนที่ไข่จะฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้น ความเข้าใจที่ว่ายาคุมฉุกเฉินเป็นยาทำแท้งนั้นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

นอกจากนั้นแล้ว ที่น่าเป็นห่วงก็คือ มีข้อมูลที่ระบุว่า ในประเทศไทยมีคนใช้ยาคุมฉุกเฉินราว ๆ ปีละ 8 ล้านแผง ขณะที่บางคนรับประทานยาคุมฉุกเฉินถึง 20 แผงต่อเดือน โดยคิดว่า ยาคุมฉุกเฉินสามารถรับประทานได้เรื่อย ๆ เหมือนกับยาคุมกำเนิดแบบปกติ แต่หากทานมากขนาดนั้นอันตรายถามหาแน่นอน

ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่ผลิตคิดค้นออกมาเพื่อใช้เฉพาะในเหตุการณ์ฉุกเฉินและจำเป็นเท่านั้น โดยจะเกิดผลดีหากใช้ในทางที่ถูกต้อง ในผู้ที่มีการวางแผนที่จะมีเพศสัมพันธ์ และยังไม่ต้องการมีบุตร สามารถเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากกว่า เช่น การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบที่รับประทานติดต่อกันทุกวัน การใช้ถุงยางอนามัย การใส่ห่วงอนามัย การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะเป็นต้น

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th.(2010).ยาคุมฉุกเฉิน…เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้.22 มิถุนายน 2558.
แหล่งที่มา: www.pharmacy.mahidol.ac.th
ภาพประกอบจาก: www.ppat.or.th


.jpg

หากกล่าวถึงความน่ากลัวของโรคเอดส์ ก็คงเป็นเรื่องที่ เมื่อผู้ป่วยเป็นแล้ว ก็มีแต่จะทำให้สภาพร่างกายเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ จนถึงแก่ชีวิต อีกทั้งอาการในระยะสุดท้ายของโรคก็ไม่เป็นที่พึงประสงค์ต่อผู้พบเห็นนัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เป็นที่รังเกียจในสังคม ในกลุ่มผู้ที่ยังไม่มีความเข้าใจอย่างกระจ่างชัด เนื่องในโอกาสวันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งถูกกำหนดไว้เป็น “วันเอดส์โลก” เราถึงขอหยิบยกประเด็นเรื่องผู้ป่วย AIDS / HIV ขึ้นมาพูดคุยกันในครั้งนี้

แต่เดิม องค์การอนามัยโลกกำหนดวันเอดส์โลกขึ้นเพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ เมื่อก่อนนั้นโรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 แต่ในขณะนั้นจะรู้จักเพียงเฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ต่อมามีการแพร่ระบาดโรคนี้ไปอย่างรวดเร็วและทั่วโลก จนมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากจนเป็นที่น่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบแอฟริกาและเอเชียอาคเนย์ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเช่นเดียวกัน

 

โรคเอดส์คืออะไร

อย่างที่เราพอจะทราบกันมาบ้างว่า โรคเอดส์ คือ อาการของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) โดยเกิดจากเชื้อไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย  เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ HIV  มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก จึงทำให้ผู้ป่วยสามารถติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายกว่าคนปกติ ส่งผลให้เป็นโรคอื่น ๆ ตามมา อาทิ วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสโลหิต เชื้อรา และอีกมากมาย

 

การติดต่อของโรคเอดส์

  1. การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อ HIV โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย
    ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแม้จะเป็นชายกับหญิงซึ่งเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรคเอดส์ได้ ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอดส์นั้น ล้วนได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์
  2. การรับเชื้อทางเลือด
    • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
    • รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด แต่ในปัจจุบัน กรณีเช่นนี้เกิดได้ยากมาก เพราะได้มีการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย โดยจะนำเลือดที่รับบริจาคมา ไปตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อนเสมอ ดังนั้น จึงมีความปลอดภัย 100%
  3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก
    เกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์อยู่แล้ว การตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอดส์ของทารกลดลงเหลือ ร้อยละ 8 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ไม่ได้ปลอดภัย 100% นัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การตรวจเลือดก่อนแต่งงานจะดีที่สุด

 

อยู่ร่วมกับผู้ป่วย AIDS / HIV เสี่ยงติดโรคหรือไม่

เชื่อว่าคำถามนี้อยู่ในใจของหลายคน และถือเป็นปัญหาหลักซึ่งเป็นอุปสรรคของการอยู่ร่วมกันในสังคมระหว่างผู้ติดเชื้อและคนปกติ อย่างแรกคือต้องทำความเข้าใจก่อนว่า AIDS และ HIV นั้น แม้จะถูกกล่าวถึงร่วมกัน แต่ที่จริงแล้วเป็นคนละเรื่องกัน นั่นคือเมื่อคุณได้รับเชื้อ HIV ข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเล็อดขาว ทำให้เกิดภาวะความผิดปกติต่าง ๆ เกิดโรคแทรกซ้อน และเชื้อโรคฉวยโอกาส อาการที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้ยังไม่ใช่โรคเอดส์ และได้มีกาพัฒนายาต้านไวรัสแล้วในปัจจุบัน อีกทั้งนอกจาก 3 ช่องทางการติดเชื้อที่กล่าวไปในขั้นต้นแล้ว การที่คุณจะติดเชื้อ HIV โดยช่องทางอื่นนั้นมีน้อยมาก สำหรับโรคเอดส์ AIDS นั้น กล่าวได้ว่าเป็นอาการในระยะสุดท้ายที่เชื้อกลายเป็นโรคแล้ว เกิดขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายจนหมด จนไม่สามารถต้านไวรัสได้อีกต่อไป

 

ยาต้านไวรัสเอดส์คืออะไร

ปัจจุบันได้มีการคิดค้นและพัฒนายาต้านไวรัสเอดส์ทั้งก่อนและหลังการได้รับเชื้อ ทำให้ผู้ป่วย และผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสามารถใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้มากขึ้น เรียกว่า ยาเพร็พ (PrEP) และยาเป๊ป (PEP)

  • PrEP : ย่อมาจาก Pre-exposure prophylaxis คือการให้ยาต้านไวรัสก่อนมีการสัมผัสเชื้อ HIV สำหรับคนที่น่าจะสุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อเอชไอวีมากกว่าคนทั่วไป เช่น กลุ่มหญิงชายที่เสี่ยงติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ทราบว่าติดเชื้อหรือไม่,  ผู้ที่มีแฟนติดเชื้อเอชไอวี, คนที่่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย,  กลุ่มชายรักชาย, ผู้ที่ทำงานบริการทางเพศ และผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด เป็นต้น
  • PEP : ย่อมาจาก Post-exposure prophylaxis เป็นยาต้านไวรัส HIV หลังผ่านการสัมผัสเชื้อมาแล้ว จึงเรียกกันว่า เป็นยาต้านไวรัส HIV แบบฉุกเฉิน ทั้งนี้ ผู้ที่จะทานยาต้องเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงว่าจะติดเชื้อ เช่น คนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ใช้ถุงยางแล้วเกิดฉีกขาด มีเพศสัมพันธ์กับผู้ใช้สารเสพติด ถูกล่วงละเมิดทางเพศมา ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น หรือได้รับอุบัติเหตุจากการถูกเข็มฉีดยาตำมา หากใครมีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจำเป็นต้องทานยา เพื่อป้องกันการติดเชื้อให้เร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมง งานวิจัยระบุว่า ยานี้ปมีประสิทธิภาพพอสมควร แต่ให้ผลได้มากแค่ไหนนั้นยังไม่มีการสรุปที่แน่ชัด ดังนั้น การป้องกันก่อนเพื่อไม่ให้รับเชื้อด้วยการใช้ถุงยางอนามัยก็ยังเป็นวิธีที่ได้ผลดีกว่า

 

“ยาต้านไวรัสเอดส์ของไทย ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลจาก WHO รายแรกของอาเซียน”

ยาต้านไวรัสเอดส์ของไทย ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม (GPO) ถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อ WHO Prequalification program (WHO PQ) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้แสดงอยู่บนเว็บไซต์ของ WHO เพื่อให้หน่วยงานหรือองค์กรสาธารณสุขนานาชาติ ได้จัดซื้อยาจากผู้ผลิตที่ได้ผ่านกระบวนการตรวจรับรองที่เข้มงวดแล้วเท่านั้น อาทิ กองทุนโลก (Global fund), องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ที่ทำหน้าที่ในการจัดซื้อจัดหายาให้กับประเทศสมาชิกที่ต้องการยา หรือประเทศที่ด้อยโอกาสต่อการเข้าถึงยา ซึ่งการได้รับการรับรองครั้งนี้ เป็นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยา และมาตรฐานการผลิตเป็นระดับสากลที่ทั่วโลกยอมรับ เป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยต่อผลิตภัณฑ์ยาขององค์การฯ ให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น ทั้งตลาดยาภายในประเทศและต่างประเทศ

 

ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz tablets 600 mg ทำอะไรได้บ้าง

  • เป็นยาที่ผู้ป่วยเอดส์มีความจำเป็นต้องใช้ เนื่องจากเป็นยาต้านไวรัสที่แนะนาให้เป็นสูตรแรก (First line regimen) ตามแนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อ HIV ของประเทศไทย
  • ช่วยลดปริมาณเชื้อ HIV ในร่างกายและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อเอชไอวี เช่น การติดเชื้อของโรคฉวยโอกาสซึ่งเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรค การติดเชื้อที่นาไปสู่การเป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีให้ดีขึ้น

 

การผลิตภัณฑ์ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz tablets 600 mg ขององค์การเภสัชกรรมที่ได้รับการรับรองครั้งนี้  ดำเนินการผลิตที่โรงงานผลิตยารังสิต 1 คลอง 10 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นอกจากยาดังกล่าวนับเป็นยารายการแรกของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศสมาชิกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่ ได้รับรองมาตรฐานสากล WHO

นอกจากนั้นทางองค์การเภสัชกรรม นำโดยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม  และ ดร.ภญ.มุกดาวรรณ ประกอบไวทยกิจ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ยังกล่าวย้ำถึงเจตนารมณ์อีกว่า “องค์การเภสัชกรรมจะไม่หยุดยั้งในการคิดค้น วิจัย และพัฒนา ตัวยาใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยาคุณภาพได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น และสามารถพึ่งพาตัวเองได้”

ปัจจุบันในประเทศไทย มีผู้ใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz tablets 600 mg  ประมาณ 80,000 ราย กล่าวได้ว่าการได้รับรองมาตรฐานจึงเสมือนเป็นการการันตีว่าผู้ป่วยในไทยสามารถเข้าถึงยาคุณภาพได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสการช่วยเหลือผู้ป่วยในภูมิภาคอาเซียน หรือประเทศอื่น ๆ อีกกว่า 20 ประเทศทั่วโลกที่เข้าร่วมโครงการ WHO Collaborative registration procedure ซึ่งเป็นความร่วมมือของ WHO กับ หน่วยงานดูแลผลิตภัณฑ์ยาแต่ละประเทศ ส่งผลให้องค์การฯ สามารถขึ้นทะเบียนตำรับยา Efavirenz ไปยังประเทศเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนตำรับยาไปยังประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะมีมูลค่าการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นราว 50 ล้านบาท

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : thaihealth.or.th   honestdocs.co   wikipedia.org   เอกสารประกอบการแถลงข่าว “ยาต้านไวรัสเอดส์ ขององค์การเภสัชกรรม(จีพีโอ) ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล จาก WHO รายการแรกของไทยและอาเซียน”

 


...แกล้งถึงจุดสุดยอด-.jpg

การแกล้งถึงจุดสุดยอดของผู้หญิง หรือ Fake Orgasms เป็นพฤติกรรมที่ได้ยินกันมาอย่างยาวนาน แต่เคยสงสัยกันรึเปล่าว่าทำไมผู้หญิงถึงต้องทำแบบนั้น พวกเธอจำเป็นจะต้องถึงจุดสุดยอดทุกครั้งที่มีความสัมพันธ์? หรือพวกเธอกำลังถูกกดดันให้ต้องเสร็จสม?

 

ทำไมผู้หญิงต้อง…แกล้งถึงจุดสุดยอด ผู้หญิง 2 ใน 3 คน ยอมรับว่าเคยแกล้งถึงจุดสุดยอดในบางครั้ง ซึ่งไม่ได้แกล้งทำเฉพาะเวลาที่พวกเธอกำลังมีเพศสัมพันธ์ผ่านช่องคลอด (Vaginal intercourse) จริงๆ เท่านั้น แต่กลับรวมถึง การแกล้งถึงจุดสุดยอดระหว่างการร่วมเพศโดยใช้ปาก (Oral sex) หรือทางโทรศัพท์ (Sex phone) อีกด้วย

 

สาเหตุที่ผู้หญิงแกล้งถึงจุดสุดยอด

ทำไมผู้หญิงต้อง…แกล้งถึงจุดสุดยอด ด๊อกเตอร์ เบตตี้ ดอดสัน (Betty Dodson) ผู้ให้ความรู้ทางเพศศึกษา และผู้เขียนหนังสือ Orgasms for Two ได้ออกมาบอกว่า เธอแน่ใจว่ามีเหตุผลหลายล้านเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงแกล้งถึงจุดสุดยอด (Fake orgasm) แต่มีข้อหนึ่งที่เธอจัดมันไว้เป็นเหตุผลอันดับต้นๆ คือ “ผู้หญิงแกล้งถึงจุดสุดยอดเพื่อปกป้องความภาคภูมิ และรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเธอและคู่ของเธอ”

นอกจากเหตุผลข้างต้นแล้ว ข้อมูลจากการวิจัย ยังกล่าวถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น ความรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ปลอดภัย ความกลัว ความไม่มั่นคง และความอาย จนสุดท้ายพวกเธอจึง “แค่ทำให้มันเสร็จ ๆ ไปแล้วกัน” ทำให้เกิดพฤติกรรมการแกล้งเสร็จสมตามมา นอกจากนี้แล้ว ยังมีเหตุผลที่น่าสนใจอีก เช่น

  • เธอต้องการหยุดการมีเพศสัมพันธ์ในครั้งนั้น
    ผู้ชายจำนวนมากจะวัดความสามารถทางเพศของพวกเขา โดยดูจากการตอบสนองของผู้หญิงเป็นหลัก ทำให้ผู้ชายหลายคนจะไม่ยอมแพ้ จนกว่าคู่จะถึงจุดสุดยอด (Orgasms) ดังนั้นถ้าพวกเธอรู้ตัวว่าถึงทำต่อไปก็ไม่สามารถแตะจุดสุดยอดได้  “การแกล้งถึงจุดสุดยอด (Fake orgasm)” จึงดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีอีกทางหนึ่ง
  • เธอต้องการรักษาความมั่นใจให้กับอีกฝ่าย
    หลายๆ ครั้ง ผู้หญิงแค่แกล้งถึงจุดสุดยอด เพราะไม่ต้องการทำลายความมั่นใจของฝ่ายชาย ในกรณีที่ไม่สามารถพาเธอไปถึงฝั่งฝันได้
  • เธอต้องการการควบคุมด้วยตัวเอง
    ผู้หญิงหลายคนสามารถถึงจุดสุดยอดขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยการกระตุ้นตัวเองไปด้วยได้ แต่บางครั้ง คู่ของเธออาจจะพยายามที่จะควบคุม ทำทุกอย่างด้วยตนเอง จึงทำให้กลายเป็นการขัดขวาง รบกวน การถึงจุดสุดยอด (Orgasm) ของผู้หญิง ทำให้สุดท้ายพวกเธอจึงต้องแกล้งถึงจุดสุดยอด (Fake orgasm) แทน

ในความเป็นจริง คือ ผู้หญิงจำนวนมากไม่สามารถถึงจุดสุดยอดจากการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดได้ หลาย ๆ ครั้งที่พวกเธอเลือกที่จะแกล้งถึงจุดสุดยอด (Fake orgasm) แล้วค่อยกลับมาช่วยตัวเองเมื่ออยู่คนเดียว

 

อาการแสดงการแกล้งถึงจุดสุดยอด

โดยผู้หญิงที่แกล้งเสร็จสม ได้บอกว่าพวกเธอใช้การแสดงออกที่หลากหลาย อย่างการโค้งงอ หรือแอ่นหลังขึ้น เหนี่ยวดึงคู่ของเธอให้ใกล้ชิด หอบหายใจหนัก และการเปล่งเสียงที่รุนแรงกว่าปกติ โดยจำมาจากอาการทางกายภาพที่เคยเสร็จสมจริง โดยเลือกช่วงเวลาที่ฝ่ายชายกำลังมีสมาธิกับตัวเองเมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอด เพื่อความแนบเนียน และบางคนก็เลือกที่จะตบท้ายการมีเพศสัมพันธ์อย่างสวยงาม ด้วยการกล่าวคำชมเชยถึงทักษะ ลีลาที่ยอดเยี่ยมของอีกฝ่าย

 

ทำอย่างไร…..ไม่ต้องแกล้งถึงจุดสุดยอด (Fake orgasm)

รู้เหตุผล การที่ต้องแกล้งเสร็จสมกันไปแล้ว มาดูหนทางแก้ไข ที่จะทำให้สาวๆ ไม่ต้องแกล้งถึงจุดสุดยอดอีกต่อไปโดย “วิธีรักษา” จะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่สามารถนำคุณไปสู่จุดสุดยอดที่แท้จริงในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์

  • ลองฝึกเมื่ออยู่คนเดียวก่อน
    การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (Masturbation) นั้นเป็นเรื่องปกติ เริ่มต้นจากการลองใช้เครื่องสั่น (Vibrator) หรือนิ้วมือ ค่อยๆ ค้นหาว่าการสัมผัส ความหนักเบา การหมุนวนแบบไหนที่นำไปสู่การเสร็จสม โดยมีผลสำรวจ ที่ได้รับการเผยแพร่เร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า มีผู้หญิงอย่างน้อยหนึ่งในสองคนใช้เครื่องสั่นสะเทือนในการช่วยตัวเอง หรือแม้แต่ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ และเมื่อผู้หญิงได้เรียนรู้วิธีการเพลิดเพลินกับจุดสุดยอด ผ่านการฝึกฝนด้วยตนเองแล้ว เธอก็จะสามารถแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างเธอกับคู่ของเธอต่อไปได้ในอนาคต
  • ลองต่างคนต่างทำ
    การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด (Vagina intercourse) อาจเป็นเรื่องเพศ ที่มีแบบแผนสำเร็จรูป แต่การที่ต่างคนต่างสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (Masturbation)  ในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน อาจจะกลายเป็นเรื่อง “เซ็กซี่” กว่าที่คิดก็ได้ โดยวิธีนี้จะทำให้สามารถสังเกตเห็น เรียนรู้วิธีกระตุ้นคู่ของตนให้ถึงจุดสุดยอดได้ทั้งสองฝ่าย
  • แสดงออกสิ่งที่ชอบ
    ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ แน่นอนว่าการแสดงออกหรือบอกอีกฝ่าย ในสิ่งที่ชอบและพอใจ การทำอะไร แบบไหน อย่างไร ที่จะทำให้คุณและเขาถึงจุดสุดยอดไปด้วยกัน จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นได้อย่างแน่นอน
  • กระตุ้นตัวเองระหว่างมีเพศสัมพันธ์
    นิ้วหรือเครื่องสั่น (Vibrator) สามารถช่วยได้ เพราะหนึ่งในวิธีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในการทำให้ผู้หญิงสามารถถึงจุดสุดยอดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ คือ การกระตุ้นอวัยวะเพศของเธอไปด้วย เช่นเดียวกับการช่วยตัวเอง
  • มีเพศสัมพันธ์ทางปาก
    ผู้หญิงบางคนมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่จะประสบความสำเร็จ ถึงจุดสุดยอดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ แต่กลับไม่มีปัญหาในการเสร็จสมโดยใช้ปากช่วย (Oral sex) รวมถึงการเล้าโลม ที่จะช่วยผ่อนคลายและเตรียมทั้งสองฝ่ายให้พร้อม โดยความต่อเนื่องของอารมณ์จะช่วยให้ฝ่ายหญิง สามารถถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อไป

น่าเสียดายที่มีผู้หญิงจำนวนกว่า 1 ใน 10 คน ต้องประสบกับอาการของความยากลำบากในการบรรลุจุดสุดยอด (Anorgasmia) ตลอดชีวิตของพวกเธอ ซึ่งหากคุณรู้สึกเข้าข่าย มีความกังวลและประสบความยากลำบากแบบนี้ การพบแพทย์อาจจะช่วยบรรเทาและค้นหาสาเหตุ หาแนวทางในการรักษาต่อไปได้

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.everydayhealth.com
ภาพประกอบ: www.freepik.com

 


.jpg

เมื่อมีอาการคัน หรือมีตกขาวปริมาณมาก สตรีมักจะนึกถึงการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นสาเหตุแรก ๆ ทำให้ไปหาซื้อยามาใช้เอง ใช้ครบบ้างไม่ครบบ้าง จนเกิดเป็นปัญหาเรื้อรังขึ้นมา อันที่จริงแล้วอาการคันและตกขาวเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือแม้กระทั่งไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อเลย เช่น การตกขาวปกติร่วมกับความเป็นกรดของช่องคลอด สิ่งแปลกปลอมที่ตกค้างในช่องคลอด เป็นต้น ดังนั้น ก่อนที่จะซื้อยามาใช้เองควรได้รับการประเมินจากสูติ-นรีแพทย์ก่อน โดยเฉพาะในการเป็นครั้งแรก

เชื้อราในช่องคลอด ช่องทางของอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง เป็นบริเวณที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ บางชนิด การพบเชื้อดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าสตรีรายนั้นเป็นโรค พบมากถึงร้อยละ 41 ของสตรี จะมีเชื้อราในช่องคลอดโดยไม่มีอาการ ทั้งนี้ ขึ้นกับอายุ ฐานะ ภูมิภาคที่อยู่อาศัย เชื้อราชนิดที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ส่วนใหญ่คือ เชื้อ Candida albicans เพราะเป็นเชื้อที่สามารถยึดติดกับเซลล์เยื่อบุช่องคลอดได้ดี นอกจากนี้ เชื้อ Candida ยังสามารถอยู่ในระบบทางเดินอาหารได้โดยไม่ก่ออาการอีกด้วย โดยสามารถตรวจพบเชื้อรานี้ในอุจจาระของประชากรร้อยละ 65

 

เชื้อ Candida albicans

Candida albicans เป็นเชื้อราที่เมื่อย้อมสีแกรมจะติดสีน้ำเงิน ปรากฏให้เห็นเป็นสองรูปแบบ คือ ยีสต์และสายรายาว สามารถเจริญเติบโตได้ทั้งบนพื้นผิว และในสารคัดหลั่งของร่างกาย โดยเมื่อมองผ่านกล้องจุลทรรศน์จะเห็นเป็นรูปแบบยีสต์ที่มีการแตกหน่อจำนวนมาก ขณะที่เจริญแทรกเข้าไปในเนื้อเยื่อจะมีการเปลี่ยนรูปร่างเป็น เส้นใยที่มีและไม่มีผนังกั้น

 

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเชื้อราในช่องคลอด

การอักเสบในช่องคลอดจากเชื้อรา พบได้น้อยในเด็กหญิงก่อนมีวัยประจำเดือน และสตรีวัยหมดประจำเดือน ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุน คือ ปริมาณไกลโคเจนในสารน้ำในช่องคลอดและความชื้น ดังนั้น ภาวะนี้จึงพบได้มากในสตรีตั้งครรภ์และสตรีที่อยู่ในภูมิประเทศที่อาการร้อนและมีความชื้นสูง ผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังพบบ่อย ในผู้ที่มีการทำหน้าที่ของ T-cell เสื่อมลง ได้แก่ โรคเบาหวานที่คุมได้ไม่ดี ผู้ที่ต้องรับยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสภูมิต้านทานบกพร่อง ทำให้การกำจัดหรือการลดจำนวนของเชื้อราได้ช้าลง

 

อาการและอาการแสดง

อาการแสดงที่เด่นชัดที่สุดคือ อาการคัน ซึ่งมักจะคันค่อนข้างมาก อาการมักจะดีขึ้นเมื่อมีประจำเดือน เชื่อว่าเกิดจากความเป็นด่างของเลือดประจำเดือน โดยอาการคันจะครอบคลุมบริเวณฝีเย็บด้วย หากคันเฉพาะบริเวณแคมใหญ่ ควรคิดถึงการติดเชื้อราที่ผิวหนัง หรือการติดปรสิตบางชนิด หากคันทั้งที่ในช่องคลอดและฝีเย็บอาจเกิดจากเชื้อ T. vaginalis, Human papilloma virus โดยควรได้รับการตรวจแยกโรคที่สถานพยาบาล อาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์หรือแสบเมื่อปัสสาวะ โดนบริเวณอักเสบก็สามารถพบได้บ่อย สำหรับอาการตกขาวจะไม่ชัดเจนในบางรายโดยหากมีตกขาวผู้ป่วยมักจะมีอาการคันนำมาก่อน

 

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยจะทำเมื่อผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงของช่องคลอดอักเสบร่วมกับผลการตรวจข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

  1. ตรวจตกขาว Wet smear (saline, 10% KOH) หรือ Gram stain พบ yeast, hyphae, หรือ pseudohyphae
  2. เพาะเชื้อหรือการตรวจอื่นแล้วพบยีสต์ชนิดใดชนิดหนึ่ง

โดยการตรวจเหล่านี้จำเป็นต้องทำโดยบุคลากรที่มีความชำนาญ สำหรับการเป็นครั้งหลัง ๆ ผู้ป่วยอาจลองซื้อยามาใช้เองได้ แต่จะต้องใช้อย่างถูกวิธีและครบตามจำนวน

 

การรักษา

  • ยาเฉพาะที่ ได้แก่ ยาทา หรือยาเหน็บ ยากลุ่มนี้ ทั้งครีมและยาเหน็บเป็น Oil-based ควรระวังเมื่อใช้ร่วมกับ Latex condom ยาทาเฉพาะที่อาจทำให้มีการระคายเคืองหรือแสบร้อนได้ แต่จะไม่ทำให้แพ้ทั้งร่างกาย
  • ยารับประทาน อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง หรือปวดศีรษะได้ สำหรับยารับประทานกลุ่ม Azole พบมีรายงานทำให้เมีเอนไซม์ตับสูงขึ้น ภาวะข้างเคียงจะพบมากขึ้นหากใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับยาบางชนิด เช่น Astemizole, Calcium channel antagonists, Cisapride, Cyclosporine A, Oral hypoglycemic agents, Phenytoin, Protease inhibitors, Tacrolimus, Terfenadine, Theophylline, Trimetrexate, Rifampin, และ Warfain

 

สามีต้องรักษาด้วยหรือไม่

ภาวะนี้ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงยังไม่มีข้อสรุปให้รักษาในทุกราย หากคู่นอนมีอาการ ก็ควรที่จะรักษาร่วมกันไปด้วย

 

กรณีที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

  • อาการไม่ดีขึ้น หรือกลับเป็นซ้ำในสองเดือน หลังการรักษา
  • การมีอาการอย่างน้อย 4 ครั้งใน 1 ปี พบได้ในน้อยกว่าร้อยละ 5 ของสตรีทั่วไป
  • อาการรุนแรง คือ อวัยวะเพศบวมแดงมาก มีผิวเป็นขุย จนถึงอาจมีรอยแตกของผิวหนัง กลุ่มนี้มักจะตอบสนองต่อยาระยะสั้นทั้งรูป รับประทานหรือทายาเฉพาะที่ระยะสั้นได้ไม่ดี
  • ตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีการทำหน้าที่ของ T-cell เสื่อมลง ได้แก่ โรคเบาหวานที่คุมได้ไม่ดี ผู้ที่ต้องรับยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสภูมิต้านทานบกพร่อง

 

ผู้เขียน: รศ. พญ. เจนจิต ฉายะจินดา. หน่วยโรคติดเชื้อทางนรีเวชและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สตรี ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. 2554.
แหล่งที่มา: www.si.mahidol.ac.th
ภาพประกอบ: http://www.ultrabeauty.it/


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก