ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-จะใช้สมุนไพรตัวใดรักษาใดบ้าง.jpg

อาการปวดฟัน เกิดจากสาเหตุเพราะฟันผุ เนื่องมาจากการแปรงฟันไม่สะอาด มีเศษอาหารติดค้างอยู่ตามซอกฟัน ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากเจริญเติบโต แบคทีเรียเหล่านี้จะเปลี่ยนแป้งและน้ำตาล จากเศษอาหารที่ค้างอยู่ให้กลายเป็นกรด กรดจะทำลายฟันให้ผุกร่อนทีละน้อย จากชั้นเคลือบภายนอกเข้าไปเนื้อฟัน จนทะลุถึงชั้นโพรงประสาทฟัน ก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน หรือฟันอักเสบ

 

ถ้าปล่อยไว้รากฟันจะอักเสบ เป็นหนองก็จะทำให้มีอาการปวดฟันรุนแรง แก้มบวม อาจมีไข้ และต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวมและปวด จะมีอาการปวดฟันเวลารับประทานอาหารรสจัด รับประทานอาหารเย็นจัด ของหวาน หรือเมื่อมีเศษอาหารไปอุดฟัน

 

เบื้องต้นสามารถใช้สมุนไพร เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดฟันได้ชั่วคราว โดยใช้

  1. แก้ว ใบแก้วสามารถใช้รักษาอาการปวดฟันได้ โดยนำใบสดมาตำพอแหลก นำมาแช่เหล้าโรงในอัตราส่วน 1.5 หรือ 1 กรัมต่อเหล้าโรง 1 ช้อนชา หรือ 5 มิลลิลิตร และนำเอาน้ำยาที่ได้มาทาบริเวณที่ปวด
  2. ข่อย เปลือกข่อยสามารถรักษาอาการปวดฟัน โดยใช้เปลือกต้นสดขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือ สับเป็นชิ้น ต้มกับน้ำพอควร และใส่เกลือให้มีรสเค็ม ต้มนาน 10 – 15 นาที นำน้ำที่ยังอุ่น ๆ มาอมบ่อย ๆ
  3. ผักคราดหัวแหวน ใช้ดอกสดปริมาณพอเหมาะตำกับเกลือ อม หรือกัดไว้บริเวณที่ปวด

สมุนไพรเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการชา ระงับความเจ็บปวดได้ชั่วคราว การไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษา จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด โดยไม่ทำให้อาการปวดกลับมาอีก นอกจากนี้ ยังควรหมั่นตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ ก็จะช่วยป้องกันโรคภายในช่องปากได้เป็นอย่างดี

 

ภาพประกอบจาก: www.pngtree.com


-กัดต่อย.jpg

อาการแพ้อักเสบที่เกิดจากแมลงสัตว์กัดต่อย หรือสัมผัสสิ่งที่ทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้ เช่น ยุงกัด แมลงกัด ถูกแมงกะพรุนไฟ ผึ้งต่อย มักปรากฏอาการเป็นผื่น มีตุ่มน้ำ หรือจุดแดงเล็ก ๆ รู้สึกคัน ถ้าเกาอาจมีน้ำเหลือง หรืออักเสบเป็นหนองได้ ชาวบ้านมักเรียกว่าน้ำเหลืองไม่ดี อาการนี้อาจเป็นอยู่นานหลายชั่วโมง ส่วนผู้ที่เป็นมากและเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง อาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ริมฝีปากบวม หนังตาบวม มีลมพิษขึ้นทั่วตัว คลื่นไส้อาเจียน แน่นหน้าอก หายใจหอบ และอาจเสียชีวิตได้ภายใน 15 – 30 นาที

 

ในกรณีที่ถูกแมลงที่มีเหล็กในจำพวกผึ้ง แตน แมลงภู่ หรือหมาร่ากัดต่อย ควรรีบเขี่ยออกทันที โดยใช้มีด หรือปลายเข็มที่สะอาดขูดออก หรืออาจใช้กระดาษสก๊อตเทปปิดทาบแล้วดึงออก เหล็กไนจะหลุดออกมาด้วย หรือจะใช้ปลายหลอดกาแฟแข็ง ๆ หรือปลายด้ามปากกาลูกลื่น ครอบจุดที่ถูกต่อยแล้วกดลงให้เหล็กในโผล่ขึ้นมา จากนั้นจึงใช้คีมคีบออก ควรป้องกันโดยหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้แพ้ หรือแมลงเหล่านั้น

 

สมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในการบรรเทาอาการอักเสบจากพิษ มีอยู่ด้วยกันหลายตัว คือ

  1. ขมิ้น ใช้ส่วนของเหง้าสดและแห้ง โดยนำเอาเหง้าของขมิ้นยาวประมาณ 2 นิ้ว ฝนกับน้ำต้มสุกทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ผงขมิ้นโรยทาบริเวณที่มีอาการแพ้คัน อักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้
  2. ตำลึง โดยใช้ใบสด 1 กำมือ (ใช้มากน้อยตามบริเวณที่มีอาการ) ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อย ๆ จนกว่าจะหาย
  3. ผักบุ้งทะเล ใช้ใบสดและเถาสด ต้มเป็นยาแก้คันตามผิวหนัง
  4. พญายอ ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด บวมแดง ร้อน แต่ไม่มีไข้) จากแมลงมีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน เป็นต้น โดยเอาใบสด 10 – 15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมเหล้าขาวพอชุ่มยา ใช้น้ำและกากทา พอกบริเวณที่บวม หรือถูกแมลงสัตว์กัดต่อย ให้ทาซ้ำบ่อย ๆ จนกว่าจะหาย
  5. เสลดพังพอน ใบสดของเสลดพังพอนรักษาอาการแพ้อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย โดยเอาใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็น หรือต่ำผสมเหล้าหรือแอลกอฮอล์เช็ดแผลเล็กน้อยก็ได้

 

ภาพประกอบจาก: www.commons.wikimedia.org


-Ketosis-และ-Keto-flu.jpg

รู้จัก Ketosis และ Keto flu สำหรับผู้ที่สนใจสูตรไดเอท แบบ “คาร์บต่ำ ไขมันสูง” โดยเฉพาะสูตร “คีโต” หรือ Ketogenic diet อาจจะเคยผ่านตาเรื่องของภาวะคีโตซิส (Ketosis) และคีโต ฟลู (Keto flu) กันมาบ้าง มาดูกันนะค่ะว่า 2 คำนี้ มีความหมายอย่างไร

 

สูตรไดเอทแบบ “คาร์บต่ำ ไขมันสูง” เน้นการดึงเอาพลังงานจากไขมันมาใช้แทนคาร์โบไฮเดรต ยกตัวอย่างเช่น สูตรไดเอทแบบคีโต หรือ Ketogenic diet และสูตรไดเอทแบบแอทกิ้นส์ หรือ Atkins Diet ซึ่งร่างกายของผู้ที่ไม่คุ้นเคยต้องมีการปรับตัว เรามารู้จักกับ 2 คำ ที่ควรรู้กันค่ะ

 

Ketosis และ Keto flu คืออะไร และสำคัญอย่างไร 

 

1.Ketosis 

คีโตซิส (Ketosis) เป็นกระบวนการเผาผลาญไขมันที่เก็บไว้ในร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังงาน ในภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลกลูโคสไม่เพียงพอ กระบวนการดังกล่าวส่งผลให้เกิดการสะสมของกรดคีโตน (Ketone) ภายในร่างกาย

ทั้งนี้ภาวะนี้ จะพบได้ในผู้ที่ทานอาหารแบบ Ketogenic diet โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงอย่างมาก เพื่อบังคับให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน เพื่อเอาพลังงานที่ได้มาแทนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ภาวะนี้ยังพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน  ซึ่งร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติ ร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิสโดยพลังงานหลักมาจากไขมัน ต่อมาเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (Ketoacidosis)

โดยมีคีโตนในเลือดสูงจนเกิดอันตราย มีอาการปากแห้ง กระหายน้ำ มึนงง สับสน คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก กรณีรุนแรงอาจเกิดสมองบวม โคม่าและเสียชีวิตได้ โดยผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) ซึ่งตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ มีโอกาสเกิดภาวะเลือดเป็นกรดได้มากกว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ซึ่งมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน และจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลทันที

 

2.Keto flu 

คีโตฟลู (Keto flu) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดกับหลาย ๆ คน ในช่วงแรกของการปรับตัวทานอาหารแนวคีโต (Ketogenic diet) ซึ่งเป็นสูตรอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก โดยมักจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 50 กรัมต่อวัน การลดลงอย่างมากนี้อาจเกิดผลกระทบต่อร่ากายคล้ายกับอาการจากการถอนคาเฟอีน หรือสารเสพติดบางประเภท

โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องร่วง ปวดหัว เวียนหัว อ่อนแรง หงุดหงิด ตะคริว ปวดท้อง ขาดสมาธิ ปวดกล้ามเนื้อ นอนหลับยาก จนถึงการอยากกินน้ำตาล โดยผู้ทานอาหารแนวคีโตอาจพบอาการเหล่านี้ในหนึ่งสัปดาห์แรก

ในขณะที่บางคนมีอาการต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลานาน อาการเหล่านี้มีผลโดยตรง ทำให้หลายๆคนไม่สามารถประสบความสำเร็จกับการทานอาหารแนวคีโต รู้จัก Ketosis, Keto flu ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.medicalnewstoday.com   www.healthline.com   www.haamor.com
ภาพประกอบจาก : www.unsplash.com


.jpg

ตกขาวเป็นสิ่งที่พบได้ในผู้หญิงทั่วไป  ความสำคัญ คือ คุณควรรู้ว่าเมื่อไหร่ตกขาวนั้นปกติ เมื่อไหร่ตกขาวนั้นผิดปกติ ซึ่งการประเมินนั้นจะขึ้นอยู่กับสี กลิ่น ปริมาณ และอาการผิดปกติอื่น ๆ บริเวณพื้นที่ลับของคุณ

 

ตกขาวปกติ

ตกขาว เป็นสิ่งปกติที่พบได้ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยธรรมชาติของเพศหญิง ตกขาว คือ สารคัดหลั่งที่หลั่งจากต่อมบริเวณอวัยวะเพศ เพื่อหล่อลื่นและความสะอาดอวัยวะเพศ โดยทั่วไปตกขาวจะมีลักษณะเป็นเมือก ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว เชื้อแบคทีเรียและของเสียอื่นจากภายในช่องคลอด ดังนั้น ตกขาวจึงเป็นขั้นตอนธรรมชาติในการรักษาความสะอาดภายในอวัยวะเพศของผู้หญิง ซึ่งจากกระบวนการนี้ทำให้ โดยทั่วไปการล้างทำความสะอาดตอนอาบน้ำนั้นก็เพียงพอ ในการทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวนล้างด้วยน้ำยาหรือสเปรย์ใด ๆ ซึ่งน้ำยาหรือสเปรย์เหล่านั้นจะระคายเคืองช่องคลอด และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อภายในช่องคลอดได้

ลักษณะตกขาวของผู้หญิงหนึ่งคนอาจจะแตกต่างกันในแต่ละช่วง เช่น ช่วงมีประจำเดือน ช่วงตั้งครรภ์ ช่วงให้นมบุตร หรือกระทั่งช่วงใกล้หมดประจำเดือน และสำหรับผู้หญิงในช่วงหมดประจำเดือนแล้วนั้นส่วนมากจะมีตกขาวที่ลดลง ลักษณะตกขาวที่ปกติโดยทั่วไปนั้นจะมีสีขาวใส และเหนียวข้น แต่อาจจะมีลักษณะเป็นเมือกลื่นๆได้ หากผู้หญิงคนนั้นอยู่ในช่วงตกไข่ของรอบเดือน หรือกำลังมีการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ โดยการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาฆ่าเชื้อบางชนิดอาจทำให้ตกขาวนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะปกติเดิมได้ แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นความผิดปกติที่ต้องได้รับการรักษาอะไร การหยุดยาเหล่านั้นจะทำให้ตกขาวกลับมาปกติเอง

นอกจากลักษณะขาว ใส เหนียวข้นแล้ว ตกขาวที่มีลักษณะเป็นครีมขาว หรือการมีเลือดปนออกมาบ้างครั้ง (มักพบในช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือน) ก็ถือว่าเป็นปกติได้ และตกขาวที่ปกติก็มักจะไม่มีกลิ่น หรือมีกลิ่นฉุน ๆ แค่เพียงเล็กน้อย

 

ตกขาวที่ผิดปกติ

ลักษณะที่พบได้บ่อยสำหรับตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีสีเหลือง เขียว หรือเป็นตะกอนก้อนๆ คล้ายชีสหรือตะกอนคล้ายนมและการมีอาการปวด แสบ หรือคันบริเวณอวัยวะเพศร่วมด้วย ซึ่งจากลักษณะข้างต้นนั้น เป็นอาการของภาวะช่องคลอดอักเสบ โดยสาเหตุหลักมักเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อภายในช่องคลอด หรือ จากภายนอกช่องคลอดก็ได้ โดยราชวิทยาลัยสูตินรีเวชของประเทศสหรัฐอเมริกา (The American Congress of Obstetricians and Gynecologists) ได้อธิบายถึงภาวะการอักเสบของช่องคลอด ซึ่งเกิดจากเชื้อภายในช่องคลอดว่า เกิดจากความผิดปกติของสมดุลระหว่างเชื้อแบคทีเรียกับเชื้อราในช่องคลอด โดยในช่องคลอดของผู้หญิงนั้นจะมีเชื้อแบคทีเรียและราอาศัยอยู่ร่วมกันอยู่ในลักษณะของการรักษาความสมดุล หากเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่งปริมาณน้อยลงอีกชนิดหนึ่งก็จะการแบ่งตัวเพิ่มปริมาณมากขึ้น  หากเกิดการเปลี่ยนแปลงของสมดุลดังกล่าวทำให้เชื้อตัวใดตัวหนึ่งมีปริมาณมากขึ้นกว่าปกติเชื้อนั้นจะทำให้เกิดภาวะอักเสบของช่องคลอด โดยปัจจัยหลักที่มีผลต่อสมดุลในช่องนั้นประกอบด้วย ยาฆ่าเชื้อ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน การสวนล้างช่องคลอด ยาฆ่าตัวอสุจิ การมีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อขนิดอื่นๆ นอกจากนั้นเชื้อจากภายนอกที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบนั้น สามารถติดทางการมีเพศสัมพันธ์ได้ เช่น เชื้อคลามัยเดีย (Chlamydia) เชื้อหนองใน (Gonorrhea) เชื้อทิโครโมนาส (Trichomoniasis)

ดังนั้น เมื่อสงสัยว่ามีตกขาวที่ผิดปกติหรือสงสัยว่าจะตัวเองจะเป็นช่องคลอดอักเสบให้มองหาลักษณะเหล่านี้ในตกขาวของคุณ

  • กลิ่นที่ผิดปกติ ซึ่งหากคุณทำความสะอาดอย่างถูกต้องเป็นประจำ ตกขาวของคุณไม่ควรจะมีกลิ่น หากกลิ่นของตกขาวนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนั้นเป็นอาการบ่งบอกว่า คุณอาจมีภาวะช่องคลอดติดเชื้อได้ โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ คลามัยเดีย (Chalmydia) ทิโครโมแนส (Trichomoniasis) และเชื้อแบคทีเรียภายในช่องคลอดเอง
  • สีที่ผิดปกติ โดยปกติสีของตกขาวจะเป็นสีขาวครีม หรือขาวใส หากตกขาวของคุณเปลี่ยนไปเหลือง เขียว หรือน้ำตาล และอาจมีเลือดปนออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในข่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือน แสดงว่าคุณมีภาวะช่องคลอดอักเสบ
  • ลักษณะของตกขาวที่ผิดปกติไป เช่นการมีตกขาวที่มีลักษณะ เหนียว ข้น ร่วมกับการมีตะกอน คล้ายก้อนชีสเล็กหรือ ตะกอนของนม ซึ่งเป็นลักษณะของการอักเสบของช่องคลอดที่เกิดจากเชื้อรา โดยการติดเชื้อรา มักเกิดความอับชื้นบริเวณอวัยวะเพศ หรือการเปลี่ยนสมดุลกรดเบสในช่องคลอด นอกจากลักษณะของตกขาวที่เปลี่ยนไปแล้ว มักจะมีอาการคันบริเวณช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งการรักษานั้นสามารถทำได้ง่าย โดยการใช้ยาตามร้านขายยาทั่วไป
  • อาการอื่น ๆ เช่น อาการคัน ปวดแสบปวดร้อน บวม แดง ผื่น  หรืออาการที่แสดงถึงการระคายเคืองอวัยวะเพศ

หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ ในกรณีที่เคยไปรักษาและได้รับการวินิจฉัยว่าเกิดจากเชื้อรา และหากอาการในครั้งนี้เป็นเหมือนเดิม คุณสามารถซื้อยาฆ่าเชื้อราในช่องคลอดมาใช้เองได้ ซึ่งโดยส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบยาสอดทางช่องคลอด แต่หากไมแน่ใจสาเหตุ หรือเพิ่งเปลี่ยนคู่นอนควรปรึกษาแพทย์

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Qualityhealth.(2009).ตกขาว.23 ธันวาคม 2559.
แหล่งที่มา: www.Qualityhealth.com
ภาพประกอบจาก: www.ayushveda.com


-เมื่อประจำเดือนมาเร็ว.jpg

การมีประจำเดือนครั้งแรกของสาว ๆ ในด้านหนึ่งอาจทำให้ได้สัมผัสถึงธรรมชาติของความเป็นผู้หญิงมากขึ้น ในขณะที่อีกด้าน คือ การต้องเรียนรู้ถึงอาการต่าง ๆ ก่อนการมีประจำเดือน หรือที่เรียกว่า “Premenstrual syndrome (PMS)” และอาการปวดท้องประจำเดือนในช่วงนั้น

           

ปัจจุบันนี้มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การมีประจำเดือนเร็ว หรือก่อนอายุ 12 ปี อาจเชื่อมโยงกับปัญหาด้านสุขภาพหลาย ๆ ด้าน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ผู้หญิงที่มีประจำเดือนเร็ว จำเป็นต้องรู้เท่าทันกับปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้

 

ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้นถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกในช่วงอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป นั่นเป็นเพราะการเป็นสาวเร็วนั้น มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม

 

ความเสี่ยงต่อการเข้าสู่วัยทองก่อนช่วงวัยปกติ

ข้อมูลจากงานวิจัย ตีพิมพ์ในวารสารที่เกี่ยวกับประจำเดือน ปี 2560 พบว่า ผู้หญิงที่มีประจำเดือนในช่วงอายุ 11 ปี หรือน้อยกว่านั้น มีความเสี่ยงสูงถึง 80 % ในการเข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือนก่อนอายุ 40 ปี ขณะที่มีความเสี่ยงสูงถึง 30% ในการเข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือนในช่วงอายุ 40 – 44 ปี เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกในช่วงระหว่างอายุ 12 – 13 ปี

 

ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

มีรายงานพบว่า ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกในช่วงก่อนอายุ 12 ปี มีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ มากกว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกในช่วงอายุ 13 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ยังไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม มีความสัมพันธ์ระหว่างเด็กที่อ้วน ปริมาณเซลล์ไขมันที่มีอยู่มาก อาจส่งผลต่อการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และการมีประจำเดือน

 

ความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

จากข้อมูลก่อนหน้าประจำเดือนมาเร็วกว่าปกติ อาจชักนำให้เข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ นำมาซึ่งความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน ทั้งนี้ แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนมีหลากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นออกกำลังกายเพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทานแคลเซียม และทานวิตามินดี และยิ่งร่างกายสามารถสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนได้มากขึ้น ก็จะสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้มากขึ้นตามไปด้วย

 

ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งรังไข่

มีผลวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่สูงกว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนอายุ 14 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 51 ทั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนด้วยเช่นกัน

 

ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานไม่ได้มีสาเหตุมาจากการที่ผู้หญิงมีประจำเดือนเร็วกว่าปกติ ความสัมพันธ์อาจเกิดจากไขมันสะสมในร่างกาย เหนี่ยวนำให้มีประจำเดือนที่เร็ว และยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อีกด้วย

 

ความเสี่ยงต่อภาวะการมีบุตรยาก

ผู้หญิงที่มีประจำเดือนเร็วกว่าปกติ มีแนวโน้มที่ประสิทธิภาพการทำงานของรังไข่ลดลง อธิบายง่าย ๆ ก็คือ มีไข่ (Ovarian) ที่พร้อมในการปฏิสนธิน้อยลง  เรื่องนี้อาจต้องปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อวางแผนการแก้ไขหากจำเป็น

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ   
แหล่งข้อมูล: www.womenshealthmag.com
ภาพประกอบ: www.istockphoto.com


-Symptom.jpg

อาการ (Symptom) หลาย ๆ คนอาจสับสนกับคำว่าอาการ เพราะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยในทางการแพทย์จะมีความหมายของอาการ (Symptom) กับอาการแสดง (Sign) ที่แตกต่างกัน

 

อาการ (Symptom)

เป็นความผิดปกติที่ผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดรู้สึกหรือตรวจพบ เป็นลักษณะ subjective คือความรู้สึกแห่งตน เช่น ความรู้สึกปวด คัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร แสบอก ฯลฯ ที่ผู้ป่วยรู้สึกได้คนเดียว หรือเป็นอาการ ไอ อาเจียน บวม ตาแดง ตาเหลือง เดือนเซ ฯลฯ ที่คนอื่น ๆ ก็สามารถมองเห็นได้ หรืออาจเป็นอาการที่ตัวผู้ป่วยเองก็ไม่รู้สึกผิดปกติ แต่ผู้ใกล้ชิดรู้สึก เช่น นอนกรน สับสน พฤติกรรมเปลี่ยน เป็นต้น

 

อาการแสดง (Sign)

เป็นความผิดปกติที่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ตรวจพบ เป็นลักษณะ Objective คือ เชิงวัตถุวิสัย ซึ่งเป็นหลักฐานการปรากฏของโรค ไม่ใช่จากความรู้สึกของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยมีไข้มาพบแพทย์ ไข้ที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ คือ อาการ (Symptom) ต่อมามีการวัดปรอทพบอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.8 0C การขึ้นสูงของอุณหภูมิ คือ อาการแสดง (Sign) โดยปกติแล้วอาการแสดงจะเป็นการตอบสนองของร่างกายที่บ่งชี้ถึงพยาธิสภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเมื่อแพทย์ประเมินอาการที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟัง ร่วมกันกับอาการแสดงที่ได้ตรวจพบ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวินิจฉัยภาวะความผิดปกติของร่างกายผู้ป่วยที่มาพบ

อย่างไรก็ตาม อาการกับอาการแสดง อาจเหมือนกันได้ เช่น ไอ เป็นได้ทั้ง อาการและอาการแสดง เป็นต้น ดังนั้น อาการและอาการแสดงจึงมีความใกล้เคียงสัมพันธ์กัน ทางการแพทย์จึงมักใช้ 2 คำนี้ควบคู่กันเสมอ เช่น อาการและอาการแสดงของผู้ป่วย คือ ปวดท้อง และกดเจ็บตรงตำแหน่งช่องท้องด้านขวาล่าง เป็นต้น

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.mutualselfcare.org  th.wikipedia.org
ภาพประกอบจาก : www.diversame.com


-อาการ-ภาวะ-1.jpg

โรค (Disease) อาการ (Symptom) ภาวะ (Condition) เป็นศัพท์ที่มีความหมายคล้ายคลึงกันมาก และมักใช้สลับกันไปมาอยู่เสมอ โดยไม่ถือว่าถูกหรือผิด

 

โรค (Disease)

คือ ความผิดปกติที่เกิดกับเนื้อเยื่อและ/หรืออวัยวะ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการติดเชื้อหรือจากพันธุกรรม ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ขึ้น เช่น โรคปอดอักเสบมีอาการคือ ไข้ ปวดศีรษะ ไอ เหนื่อยหอบ ทั้งนี้แพทย์สามารถตรวจพบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการที่ผิดปกตินั้นได้ และยังตรวจพบมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อและ/หรืออวัยวะที่เกิดโรคได้ เช่น เอกซเรย์ปอดพบความผิดปกติ และตรวจเสมหะพบเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค

 

อาการ (Symptom)

คือ ความผิดปกติที่ผู้ป่วยรู้สึก ทั้งนี้อาจเป็นอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง ไอ และ/หรือ อาการทางอารมณ์/จิตใจ เช่น ซึมเศร้า โดยอาการอาจเกิดจากโรค หรืออาจเกิดจากภาวะก็ได้ หรือบางครั้งแพทย์หาสาเหตุไม่ได้

 

ภาวะ (Condition)

คือ สภาพความผิดปกติที่เกิดขึ้นและก่อให้เกิดอาการ อาจเป็นสภาพทางร่างกายหรือทางอารมณ์/จิตใจ อาจเกิดจากโรคหรือตรวจไม่พบโรค ตัวอย่างเช่น ภาวะเบื่ออาหาร เป็นได้ทั้ง อาการ ภาวะ และบ่อยครั้งเรียกว่า โรค

 

ผู้เขียน : ศ.เกียรติคุณ.  พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์. “โรค (Disease) อาการ (Symptom) ภาวะ (Condition)”. (ระบบออนไลน์).
แหล่งที่มา :  http://haamor.com/th/โรค-อาการ-ภาวะ/  (15 กุมภาพันธ์ 2561)
ภาพประกอบจาก : http://pixabay.com

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก