ปัจจุบันโรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) ได้กลายเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของโลก เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตต่ำ และอัตราการเสียชีวิตสูง นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ ยังมีมูลค่าที่สูงมาก โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ในระยะที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต หรือที่เราเรียกง่าย ๆ ว่า การล้างไต (dialysis) โดยข้อมูลของประเทศไทยในปัจจุบันมีผู้ป่วยที่กำลังได้รับการล้างไตอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 70,000 คน และมีจำนวนผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นถึงประมาณปีละ 16,000 คน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้รวมถึงผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะแรก ๆ อีกจำนวนมากที่ยังไม่แสดงอาการแต่มีโอกาสที่จะเกิดไตเสื่อมลงจนต้องกลายเป็นโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายในอนาคต โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์มากที่สุดถ้าได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคไตให้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมสามารถชะลอการเสื่อมของไตออกไปได้
คำจำกัดความและการแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง (Definition and classification of CKD)
การจะวินิจฉัยผู้ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังจะต้องตรวจพบความผิดปกติทางด้านโครงสร้างหรือการทำงานของไตอย่างใดอย่างหนึ่งมานานกว่า 3 เดือนดังต่อไปนี้
- มีหลักฐานที่แสดงถึงการที่ไตถูกทำลาย (kidney damage) เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน โดยที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ การตรวจพบไข่ขาวในปัสสาวะ (albuminuria) มากกว่า 30 มก./วัน หรือ
- อัตรากรองของเสียของไต (glomerular filtration rate: GFR) ลดลงต่ำกว่า 60 มล./นาที/1.73 ตร.ม. ค่าปกติประมาณ 90-110 ทำให้แพทย์บางคนเรียกค่า GFR นี้ว่า เปอร์เซ็นต์การทำงานของไตเพื่อให้ผู้ป่วยเห็นภาพได้ง่าย
ในปัจจุบันเราแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรังออกตามระดับของ GFR (% การทำงานของไต) และระดับของไข่ขาวปัสสาวะ แต่โดยทั่วไปในทางปฏิบัติแพทย์โรคไตจะแจ้งผู้ป่วยตามระยะของ GFR เป็นหลักซึ่งแบ่งออกเป็นระยะที่ 1 ถึง 5 ซึ่งในระยะที่ 5 (GFR < 15 มล./นาที/1.73 ตร.ม.) จะเป็นระยะที่ผู้ป่วยต้องเตรียมตัวเข้ารับการล้างไต โดยข้อมูลจากการศึกษาของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยพบว่า ประชากรมีโรคไตเรื้อรังจำนวนสูงถึงร้อยละ 17.5 % โดยแบ่งเป็นระยะที่ 1 และ 2 ร้อยละ 8.9 และระยะที่ 3-5 อีก ร้อยละ 8.6
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าประชากรไทยมีภาวะโรคไตเรื้อรังสูงถึงร้อยละ 17.5 ซึ่งในผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะยังไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะท้าย ๆ (GFR น้อยกว่า 30 มล./นาที/1.73 ตร.ม. หรือระยะที่ 4 และ 5) ซึ่งเป็นระยะที่ไม่สามารถชะลอการล้างไตออกไปได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของการดูแลรักษาโรคไตเรื้อรังคือ การตรวจคัดกรองหาความผิดปกติของไตที่ซ่อนอยู่ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นแม้ว่าจะไม่มีสัญญาณหรืออาการใด ๆ
“ใครบ้างควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรัง”
ผู้ป่วยที่ควรเข้ารับการตรวจหาโรคไตเรื้อรังคือ กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ดังต่อไปนี้
- ผู้ป่วยเบาหวาน
- ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
- ตรวจพบนิ่วในไต
- เคยได้รับสารพิษหรือยาที่ทำลายไต (โดยเฉพาะยาแก้ปวดและสมุนไพร)
- มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด
- มีประวัติโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะซ้ำหลายครั้ง
- มีประวัติโรคไตเรื้อรังในครอบครัว
- อายุมากกว่า 60 ปี
“การตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรัง ต้องตรวจอะไรบ้าง”
โดยทั่วไปการตรวจหาความผิดปกติของไตทำได้ไม่ยาก ซึ่งการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไปจะรวมการตรวจสุขภาพไตขั้นต้นอยู่แล้ว ได้แก่
- วัดความดันโลหิต
- ตรวจปัสสาวะ โดยเฉพาะการตรวจหาไข่ขาวหรือโปรตีนในปัสสาวะ
- ตรวจเลือดหาระดับ “คริอะตินิน” เพื่อไปคำนวณค่า GFR (% การทำงานของไตที่เหลืออยู่)
ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้สามารถบอกได้ขั้นต้นว่ามีโรคไตระยะแรกซ่อนอยู่หรือไม่ ซึ่งการตรวจร่างกายประจำปีของกองเวชศาสตร์ป้องกัน กรมแพทย์ทหารอากาศ ได้มีการตรวจครบทั้ง 3 อย่างในข้าราชการที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป โดยหากตรวจพบว่า มีความผิดปกติของไตก็ควรที่จะพบอายุรแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาเพื่อชะลอการเสื่อมของไตตลอดจนป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
“กลเม็ดเคล็ดลับ ทำอย่างไร ไตไม่วาย”
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นโรคไตเรื้อรัง หรือมีแค่ความผิดปกติของไตระยะแรก ๆ นั้น เรามีกลเม็ดเคล็ดลับป้องกันไตวายอะไรบ้าง มาดูกันดังนี้
- ทำการตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังและติดตามค่าการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยง
- รักษาโรคเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เอสแอลอี โรคเก๊าท์ นิ่วในไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำ ๆ ควรพบแพทย์และตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ควรควบคุมความดันโลหิต ให้ไม่เกิน 130/80 มม.ปรอท
- ผู้ป่วยเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำกว่า 130 มก.ต่อเดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) < 7 %
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่เป็น “สาเหตุของไตเสื่อมเฉียบพลัน” เช่น ป้องกันอย่าให้เกิดโรคเก๊าท์กำเริบ หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดกระดูก ยาหม้อ และสมุนไพร
- รับประทานอาหารเค็มต่ำ (low salt) เกลือโซเดียม 2 กรัม (เทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา) โดยอาหารที่มีเกลือสูง ได้แก่ อาหารแปรรูปทั้งหลาย เช่น ปลาเค็ม ปลาร้า ผักดอง ผลไมดอง เต้าเจี้ยว น้ำบูดู กะปิ ผงชูรส หมูแผ่น หมูหยอง ไส้กรอก แฮม เบคอน ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ รวมไปถึงอาหารกึ่งสำเร็จรูป จำพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊ก เป็นต้น
- สนใจสุขภาพตนเองกินอาหารที่มีคุณค่าสูง ออกกำลังกายเป็นประจำควบคุมน้ำหนักตัวให้ดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ พักผ่อนให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่
น.อ. นพ. พงศธร คชเสนี
อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลภูมิพลอดุยเดช
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com