ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

วิตามินธรรมชาติ ลดอาการเจ็บคอ นั้นโดยทั่วไป อาการเจ็บคอ (sore throat) อาจเกิดจากอาการของโรคภูมิแพ้ อาการทอนซิลอักเสบ การสัมผัสกับอากาศแห้งจัด รวมทั้งการสูดควันพิษ ซึ่งภายในลำคอจะเป็นสีแดงเรื่อ ทำให้รู้สึกระคายเคือง หรือสากคอ นอกจากนี้ อาการเจ็บคออาจทำให้ลำคออักเสบ โดยเริ่มจากด้านหลังของปาก ไปจนถึงหลอดอาหาร และอาจเป็นอาการแสดงเริ่มแรกของไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ติดต่อจากการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรง ทั้งเสมหะ และน้ำลาย ซึ่งอาการเจ็บคอที่พบส่วนใหญ่มีสาเหตุดังนี้

 

  1. การติดเชื้อไวรัส คือ สาเหตุหลักที่ทำให้คนเป็นไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการเจ็บคอมากที่สุด โดยปกติถ้าร่างกายสร้างภูมิต้านทานได้ ก็จะหายเป็นหวัดเองภายในหนึ่งสัปดาห์ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการไข้ ปวดกล้ามเนื้อ และน้ำมูกไหล นอกจากนี้ อาการเจ็บคออาจเกิดจากโรคปอดบวม จากเชื้อไวรัส หรือ โมโนนิวคลีโอซิส
  2. การติดเชื้อแบคทีเรีย พบน้อยกว่าการติดเชื้อไวรัส แต่อาการอาจรุนแรงกว่ามาก ส่วนใหญ่จะแสดงอาการภายใน 2-7 วัน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 5-25 ปี จะติดเชื้อกันง่าย ทั้งทางน้ำมูก และเสมหะ นอกจากนี้ ยังติดต่อทางอาหาร นม และน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโตค็อกคัส ซึ่งถ้าไม่รักษาให้ทันท่วงที เชื้อโรคอาจลุกลามไปทำลายหัวใจและไตอย่างถาวร

บางคนที่มีอาการเจ็บคอ จนฝากล่องเสียงอักเสบ ช่องคอจะบวมมาก จนปิดทางเดินหายใจควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจติดเชื้อสเตร็ปโทรต และเมื่อมีอาการติดเชื้อซ้ำบ่อยๆ จนเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ เป็นไข้รูมาติกได้

 

ปรับตัวเพื่อลดเจ็บคอ

  1. ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า น้ำจะช่วยให้เสมหะเหนียวน้อยลง และขับออกง่ายขึ้น
  2. ปรับสภาพอากาศให้ชื้นขึ้นเล็กน้อย เช่น หาอ่างใส่น้ำมาวางบริเวณที่ร้อน หรือปลูกต้นไม้ในบ้าน เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศที่แห้ง จะช่วยให้เยื่อเมือกในช่องคอไม่แห้ง (เมื่อช่องคอแห้ง จะทำให้ระคายคอ และนอนไม่หลับ)
  3. หลีกเลี่ยงควันและมลพิษต่างๆ งดสูบบุหรี่ รวมทั้งสารระเหยจากน้ำยาทำความสะอาดในบ้าน หรือสีทาบ้าน เพราะจะยิ่งทำให้เจ็บคอมากขึ้น
  4. หลีกเลี่ยงอาหารก่อพิษ เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ อาหารที่มีน้ำตาลสูงจำพวกเค้ก ขนมหวาน เพราะจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดต่อมทอนซิลอักเสบ และโรคติดเชื้ออื่น ๆ อันเป็นสาเหตุของการเจ็บคอ
  5. ใช้เสียงให้น้อยลง เมื่ออาการเจ็บคอลุกลาม จนทำให้กล่องเสียงอักเสบ จนทำให้ระคายคอมากเวลาพูด หรือเสียงหายไปชั่วขณะ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และให้ความอบอุ่นกับร่างกายเยอะๆ

 

วิตามินธรรมชาติแก้อาการเจ็บคอ

  1. เบต้าแคโรทีนมีมากในแครอท ฟักทอง ตำลึง แค กระเพา ขี้เหล็ก ผักเซียงดา ยอดฟักขาว ผักติ้ว และผักแต้ว เมื่อสารเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกาย จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยทำให้เนื้อเยื่อของเมือกบุในลำคอ และทางเดินหายใจที่ต้องผลิตน้ำย่อยบ่อย ๆ มีความแข็งแรง
  2. วิตามินดีจาก ปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาสวาย ปลาดุก ปลาช่อน ปลาจะละเม็ด ปลาซาบะปลาซาดีน ปลาแซลมอน และปลาทะเล เพราะวิตามินดีจากไขมันปลา จะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อในลำคอ
  3. วิตามินอีมี มากในผลอะโวคาโด และอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ที่ถูกเชื้อโรคทำลายให้แข็งแรง
  4. วิตามินบีโดย เฉพาะอาหารที่มีส่วน ผสมของ เชื้ออะซิโดฟิลัส (acidophilus) เช่น โยเกิร์ต เพราะจะช่วยทดแทนแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินบีบางชนิด ที่ถูกยาปฏิชีวนะทำลายไป

 

ยาแก้เจ็บคอจากก้นครัว

  1. เกลือ เกลือที่เราใช้ปรุงอาหารเป็นยาแก้เจ็บคอได้เป็นอย่างดี โดยผสมเกลือ 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่น 1 แก้ว ใช้อมกลั้วคอ หรือทำเป็นน้ำยาบ้วนปาก วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
  2. น้ำอุ่น ผสมน้ำอุ่น 1 แก้วกับน้ำมะนาว หรือน้ำส้มไซเดอร์แอปเปิ้ล 1 ช้อนชา ใช้กลั้วคอ วันละ 2-3 ครั้ง ส่วนผสมดังกล่าวมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

 

ผลไม้รสเปรี้ยวบรรเทาเจ็บคอ

อย่ามองข้ามผลไม้รสเปรี้ยวนะคะ เพราะกรดซีตริก (citric) ในรสเปรี้ยวมีสรรพคุณช่วยลดอาการเจ็บคอได้ดี และวิตามินซีจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย และช่วยลดระยะเวลาในการเป็นหวัดให้สั้นลง ซึ่งผลไม้รสเปรี้ยวทีเราแนะนำมีดังนี้

  • มะขามป้อม ใช้เนื้อผลแก่สดประมาณ 2-3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง วิตามินซี และรสเปรี้ยวอมฝาดในมะขามป้อม จะช่วยแก้หวัด ทำให้คอชุ่มชื่น แก้อาการคอแห้ง และแก้อาการเจ็บคอ
  • มะนาว ใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำ แทรกเกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ หรือ ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำอุ่นครึ่งแก้ว แล้วผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา วิตามินซี และรสเปรี้ยวของมะนาวจะช่วยขับน้ำลาย ลดอาการระคายเคืองที่เยื่อบุผิวภายในลำคอ ส่วนน้ำผึ้งมีสรรพคุณบรรเทาอาการเจ็บคอ
  • มะขาม ใช้เนื้อในฝักแก่ของมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียก จิ้มเกลือกินพอสมควร หรือจะคั้นเป็นน้ำมะขามแทรกเกลือเล็กน้อย และใช้จิบบ่อยๆ ก็ได้ เนื้อฝักแก่ รสเปรี้ยว ช่วยขับเสมหะ ทำให้คอชุ่มชื่น และแก้อาการเจ็บคอ
  • น้ำส้ม นำผลส้มประมาณ 3 ผล ล้างให้สะอาด คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1/2 ช้อนชา จิบบ่อยๆเมื่อมีอาการ รสเปรี้ยวของส้มมีสรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ และทำให้ชุ่มคอ
  • เสาวรส นำเสาวรสสุกประมาณ 2-3 ผล ล้างให้สะอาด ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเมล็ดและส่วนที่เป็นน้ำสีส้มออกจากเนื้อผล คั้นกรองด้วยกระชอนหรือผ้าขาวบาง เพื่อแยกเอาเมล็ดและเส้นใยออก เติมน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ชิมรสตามใจชอบ จิบเมื่อมีอาการ รสเปรี้ยวของเสาวรสมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ และทำให้ชุ่มคอ

 

บำบัดด้วยน้ำมันหอม

ใช้น้ำมันกลิ่นยูคาลิปตัส เจอราเนียม ลาเวนเดอร์ และเสจอย่างใดอย่างหนึ่ง ทาบริเวณผิวหนัง ตั้งแต่ใต้คางไปสุดลำคอ หรือสูดดมไอระเหย โดยการหยดลงไปในเครื่องทำไอน้ำ หรืออ่างอาบน้ำ จะช่วยลดอาการเจ็บคอได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 193.(2009).วิตามินธรรมชาติ ลดอาการเจ็บคอ.25 มีนาคม 2558.
แหล่งที่มา: www.cheewajit.com
ภาพประกอบจาก: www.bloggang.com


-01.jpg

เมื่อพูดถึง ” วิตามินซี ” หลายคนคงนึกถึงผลไม้รสเปรี้ยว อย่างเช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขามหวาน มะขามป้อมและอีกมากมาย ขอเพียงแต่เป็นผักผลไม้สด ๆ เป็นใช้ได้ หรือบางคนอาจนึกถึงยาเม็ดสีส้ม สีเหลือง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ไว้กินเวลามีเลือดออกตามไรฟัน ในความเป็นจริงแล้ว” วิตามินซี “มีประโยชน์มากมายกว่านั้น

 

วิตามินซีมีประวัติการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่า ทหารเรือออกเดินเรือเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้รับประทานผักและผลไม้สด จึงมักป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ ต่อมาจึงได้หาสารอาหารที่เป็นต้นเหตุได้ คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbicacid) หรือวิตามินซีนั่นเอง

 

วิตามินซี ประโยชน์ที่ได้รับ

ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ

  • วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน
  • วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบจึงทำให้แผลหายเร็ว
  • วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
  • วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
  • วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก
  • วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
  • วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโน ให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย
  • วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

 

การรับประทานวิตามินซี

การรับประทานวิตามินซี ภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียด ควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซี การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium อาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ วิตามินซีทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับแร่ธาตุเหล็กเกิน

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: นพ.ครรชิต อมาตยกุล.(2008).เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินซี.12 เมษายน 2558.
แหล่งที่มา: www.hilight.kapook.com
ภาพประกอบจาก: www.livestrong.com


5-วิตามินยอดฮิต-ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี-H2C.jpg

5 วิตามินยอดฮิต ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี เมื่อพูดถึง ”วิตามิน” คนส่วนใหญ่มักนึกถึงสรรคุณทาง ”ยา” ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สดชื่น และสามารถรักษาโรคได้ ความเข้าใจดังกล่าวถูกต้องเพียงบางส่วน แม้ว่าวิตามินจะสามารถทำหน้าที่เสมือนยาแต่ถึงอย่างไรวิตามินก็ไม่ใช่ยา

 

เพราะความจริงแล้ววิตามินเป็นส่วนหนึ่งของสารอาหารและสารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เริ่มตั้งแต่การหายใจของเซลล์ การนำโปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ รวมถึงการผลิตพลังงาน ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์วิตามินขึ้นได้เอง เราจึงต้องได้รับวิตามินที่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ผ่านการกินอาหารเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างในร่างกาย วัตถุประสงค์และวิธีการกินวิตามิน รวมถึงสารอาหารยอดฮิตชนิดต่างๆ ให้ถูกต้องและปลอดภัยควรทำอย่างไร ลองตามไปดู

 

วิตามินซี

ในรูปแบบอาหารเสริม มีทั้งแบบเม็ดอัด แคปซูล ลูกอม ผสมน้ำหวาน-เครื่องดื่ม หรือผงละลายน้ำ รวมถึงการนำมาทำเป็น ซีรั่ม ครีม โลชั่น เพื่อเป้าหมายหลักในการบำรุงผิวให้ดูขาวใส เปร่งปรั่ง ลดความหมองคล้ำ นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถป้องกันและรักษาโรคหวัดทั้งยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบจากการติดเชื้อและระดับคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย

ปัญหาการขาดวิตามินซีพบได้ในกลุ่มคนที่ควบคุมอาหารมากๆ เป็นมังสวิรัต สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับการดูดซึม ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดข้อ เลือดออกตามไรฟัน แผลหายช้า และติดเชื้อง่าย ปริมาณวิตามินซีที่รางกายต้องการขั้นต่ำต่อวันคือ 60 มก.

ในบุคคลที่ขาดวิตามินซีแพทย์จะแนะนำให้กินวันละไม่เกิน 1000 มก. เพื่อประโยชน์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย แต่ในช่วงที่เป็นหวัดควรกินวันละ 3000 มก. แบ่งเป็น 3-6 เวลา ตลอดทั้งวัน จะลดความรุนแรงของหวัดได้มากที่สุด 85%

 

วิตามินบีรวม

เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทและความสมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยวิตามิน บี1 บี 2 ไนอะซีน แพนโทธีนิก แอซิด บี 6 บี 12 โฟลิก แอซิด ไอโนซิทอล และโคลีน วิตามินบีรวม นอกจากจะเหมาะสำหรับการบำรุงสุขภาพผิว ผม สายตา ตับแล้ว ยังมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาความผิดปกติของเส้นประสาทและคลายความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้หลายคนไม่รู้ว่าวิตามินบียังช่วยให้กระฉับกระเฉง ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่นอนดึกหรือนอนหลับยาก การกินวิตามินบีก่อนนอนอาจทำให้คุณกลายร่างเป็นนกฮูกตาค้างไปทั้งคืน สำหรับปริมาณในการกินวิตามินบีเพื่อเป็นอาหารเสริมควรอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 มก. ต่อวัน

 

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

มีประโยชน์ช่วยต้านการอักเสบ เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยป้องกัน และยับยั้งการลุกลามของภาวะประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน บำรุงผิวพรรณ รักษาผิวหนังอักเสบ นอกจากนี้ยังพบรายงานวิจัยบ่งชี้ว่าการรับประทานน้ำมันอีฟนิงพริมโรส มีผลในการรักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติ คลายการเจ็บเต้านมช่วงก่อนมีประจำเดือน และช่วยบรรเทาอาการปวดบวมของข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ แม้อีฟนิงพริมโรสจะถูกโฆษณาและโหมสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ แต่ทางที่ดีควรใช้เท่าที่จำเป็น ไม่เกิน 3,000 มก. ต่อวัน สำหรับผลข้างเคียงอาจทำให้มี อาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ ผื่นแพ้และลมชักกำเริบ

กลูต้าไธโอน

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากของร่างกายด้วย ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่เน้นสรรพคุณเรื่องผิวขาว มักอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำซึ่งสามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์

ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการกินกลูตาไธโอนจึงแทบจะไม่มีเลย ทำให้มีคนพยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนยากินมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวใสนั้นก็ยังไม่มีการพิสูจน์ผลที่ชัดเจน

 

Zinc (สังกะสี)

เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาบาดแผลในร่างกายและช่วยให้ของร่างกายดำรงความสมดุลในผู้ใหญ่ และช่วยทำให้เกิดความเจริญเติบโตในเด็ก ควบคุมฮอร์โมน สังเคราะห์โปรตีน ช่วยสร้างเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกัน zinc ประกอบด้วยเอ็นไซม์ที่ควบคุมกระบวนการเผาผลาญ ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระโดยปัจจัยต่าง ๆ หน้าที่ของ zinc ที่น่าสนใจก็คือการช่วยควบคุมอาการผิดปกติของผิวและช่วยในการรักษาบาดแผล อาหารเสริม zinc จะให้ผลดีที่สุดหากกินก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงหลังอาหาร อย่างไรก็ดีหากมีอาการปวดท้องควรกินพร้อมอาหาร และไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียมหรือฟอสฟอรัสสูงเพราะอาจทำให้การดูดซึมสังกะสีลดลง

 

จำให้ขึ้นใจ วิตามินไม่ใช่ยาวิเศษ!

  • วิตามินไม่สามารถทดแทนอาหารได้ และไม่สามารถดูดซึมได้หากไม่ได้รับประทานร่วมกับอาหาร
  • วิตามินไม่ใช่ยากล่อมประสาท
  • วิตามินไม่สามารถทดแทนโปรตีนหรือสารอาหารอื่น เช่น เกลือแร่ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต น้ำ หรือแม้แต่ทดแทนกันเอง โดยตัวของวิตามินเองแล้วไม่ใช่ส่วนประกอบของโครงสร้างในร่างกายเรา คุณไม่สามารถเลิกกินอาหารอื่น ๆ และหันมากินแต่วิตามิน เพื่อสุขภาพที่ดีได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์.(2015).5 วิตามินยอดฮิต ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี?.4 กุมภาพันธ์ 2558.
แหล่งที่มา: www.prachachat.net
ภาพประกอบจาก:  www.iherb-center.com


.jpg

ตำลึง มีชื่อวิทยาศาสตร์ Coccinia grandis Voigt. จัดอยู่ในวงศ์ Cucurbitaceae มีชื่ออื่นว่า ผักแคบ (ภาคเหนือ) แคเด๊าะ (กะเหรี่ยง, แม่ฮ่องสอน) จัดเป็นไม้เถา ตามข้อมีมือเกาะเพื่อยึดติดกับต้นไม้อื่น พบทั่วไปในพื้นที่รกร้าง มีประโยชน์ทั้งด้านอาหาร และด้านยารักษาโรค คือ

 

ประโยชน์ด้านอาหาร

ส่วนที่นิยมนำมาทำอาหาร คือ ใบ ส่วนนี้นับเป็นส่วนที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง ทั้งในส่วนของวิตามินเอ ที่ช่วยในการบำรุงสายตา ธาตุเกลือแร่ แคลเซียม ช่วยบำรุงเลือด เหล็กบำรุงกระดูกและฟัน วิตามินซี ทำให้ผิวพรรณผ่องใส นอกจากนั้นก็มีธาตุฟอสฟอรัส เหล็ก โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตด้วย ทำอาหารประเภทผักลวกจิ้ม แกงจืด ต้มเลือดหมู และก๋วยเตี๋ยว ส่วนผลตำลึงก็สามารถนำมาปรุงอาหารได้เช่นกัน แต่ไม่ค่อยนิยม

 

ประโยชน์ด้านยา

ในตำรายาไทยมีการบันทึกไว้ว่า ตำลึงมีรสเย็น สามารถนำมาใช้เป็นยาได้ทุกส่วน คือ ใบ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้เจ็บตา ตาแดง ตาแฉะ ราก ดับพิษ รักษาโรคตา เถา รักษาโรคตาเจ็บ ต้น แก้โรคผิวหนัง ลดน้ำตาลในเลือด

 

ในส่วนของการลดน้ำตาลในเลือดนั้น ได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อยืนยันข้อมูลที่แน่ชัด พบว่า สารสกัดตำลึงด้วยแอลกอฮอล์ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในสัตว์ทดลองและคน แต่ได้ในระยะเวลาสั้น นอกจากนี้ยังพบว่า ใบและเถาตำลึง มีฤทธิ์ย่อยแป้งได้ จึงเป็นผลดีที่ใช้เป็นอาหาร เพราะเท่ากับรับประทานยาช่วยระบายไปด้วย ทำให้ท้องไม่อืดเฟ้อ แต่ในกรณีนี้ต้องรับประทานตำลึงสด เพราะน้ำย่อยตำลึงจะถูกย่อยสลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน

 

ภาพประกอบจาก: www.agtrace.agri.cmu.ac.th


.jpg

น้อยหน่า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Annona squamosal L. จัดอยู่ในวงศ์ Annonaceae น้อยหน่าเป็นผลไม้ที่คนไทยรู้จักกันมานานแล้ว เป็นพืชที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี จึงปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่ไม่ชอบน้ำขัง

 

น้อยหน่านำมาเป็นยาตามสรรพคุณยาไทย ดังนี้

  1. ผลดิบ เป็นยาแก้พิษงู แก้ฝีในคอ กลากเกลื้อน ฆ่าพยาธิผิวหนัง แก้ท้องเสีย บำรุงธาตุ นอกจากนี้ ชาวบ้านยังใช้ลูกตาย (ผลดิบแห้งตายคาต้น) ฝนกับเหล้าโรงทารักษาแผล
  2. ผลสุก เป็นอาหารที่มีคุณค่ามากสำหรับคนเพิ่งฟื้นไข้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี
  3. เปลือกต้น เป็นยาสมานลำไส้ สมานแผล แก้บิด แก้พิษงู
  4. ใบ ฆ่าหิดเหา แก้กลากเกลื้อน นำมาตำกับเกลือเป็นยาพอกฝี แผลพุพอง เป็นหนอง

 

ผลทางคลินิกในการกำจัดเหา

จากการทดลองในอาสาสมัคร พบว่า สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ และสารสกัดคลอโรฟอร์มจากใบน้อยหน่า สามารถฆ่าเหาได้ 90% ที่ 26 และ 67 นาที ตามลำดับ การเปรียบเทียบสารสกัดที่เตรียมโดยการบดเมล็ดผสมกับน้ำมันมะพร้าว อัตราส่วน 1:2 และ 1:4 และสารสกัดจากการบดใบกับน้ำมันมะพร้าว อัตราส่วน 1:2 พบว่า สารสกัดน้ำมันจากเมล็ดให้ผลดีกว่า สามารถฆ่าเหาถึง 98% ในเวลา 2 ชั่วโมง

 

วิธีการใช้

นำใบสด 10 – 12 ใบ หรือเมล็ดที่กะเทาะเปลือกแล้วประมาณ 10 เมล็ด ตำให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าว 1 – 2 ช้อนโต๊ะ คั้นเอาเฉพาะน้ำมันมาชโลมบนเส้นผม ขยี้ให้ทั่วศีรษะ แล้วใช้ผ้าโพกไว้ประมาณ 1 – 2 ชม. แล้วสระผมให้สะอาด ทำติดต่อกัน 2 – 3 วัน ตัวเหาจะตายและไข่จะฝ่อ

 

ข้อควรระวัง

  1. ขนาดของสมุนไพรที่ใช้มากน้อยขึ้นอยู่กับความยาวของผม ถ้าผมสั้นให้ลดปริมาณลง
  2. ห้ามชโลมผมไว้ค้างคืน
  3. สระให้สะอาดทุกครั้ง
  4. ระวังไม่ให้เข้าตา หรือถูกผิวหนังบริเวณใบหน้า จะทำให้ระคายเคืองได้

-มีประโยชน์อย่างไรต่อสุขภาพ.jpg

กระเจี๊ยบแดง (Hibiscus sabdariffa L.) เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นได้ทั้งอาหาร และมีสรรพคุณทางยา ดังนี้

  1. ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการนั้น กลีบเลี้ยง และกลีบรองดอก มีสารชื่อว่า “แอนโธโซยานิน” (Anthocyanin) จึงทำให้มีสีม่วงแดง ประกอบด้วยวิตามินซีสูง มีกรดซิตริก มัลลิก ธาตุแคลเซียม วิตามินเอ และอื่น ๆ ใบ มีวิตามินเอสูง มีแคลเซียม มีฟอสฟอรัส และอื่น ๆ ส่วนกรรมวิธีในการนำไปปรุงเป็นอาหารนั้นใบอ่อน ยอดอ่อนนำไปใส่ในแกงส้ม หรือต้มส้ม เพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหาร กลีบเลี้ยง และกลีบรองดอก นำไปทำเป็นน้ำสมุนไพร แยม และเยลลี่ได้
  2. ทางด้านสรรพคุณทางยานั้น ยอด และใบ ช่วยย่อยอาหาร ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาบำรุงธาตุ และยาระบาย กลีบเลี้ยงทำให้สดชื่น ขับน้ำดี ลดไข้ แก้ไอ แก้นิ่ว แก้กระหายน้ำ เมล็ด ลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด บำรุงธาตุ ขับน้ำดี แก้ปัสสาวะขัดและเจ็บ นอกจากนั้น ยอด และใบสามารถใช้เป็นยาภายนอกได้ คือ ตำพอกฝี ต้มน้ำชะล้างแผล ตำให้ละเอียดนำมาประคบฝี

 

กระเจี๊ยบแดงกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

  1. ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ผลการศึกษาพบว่า น้ำชงกระเจี๊ยบไม่มีผลในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบขับถ่ายปัสสาวะ
  2. การทดลองทางคลินิกใช้ขับปัสสาวะ พบว่า เมื่อให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสกัดกระเจี๊ยบแดง มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และมีผลช่วยฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะด้วย
  3. การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่า สามารถลดไขมัน ลดไตรกลีเซอไรด์ในหนูได้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดด้วยน้ำของกลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบ เมื่อฉีดเข้าเส้นแมวแล้ว มีฤทธิ์ลดความดัน

ส่วนน้ำต้ม จากการทดลองให้คนกิน สามารถขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง ลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะ ภายหลังการผ่าตัดผู้สูงอายุที่เป็นนิ่วในไต ส่วนสารสกัดจากกลีบดอกของกระเจี๊ยบ ช่วยระบาย ลดอาการบวม ยับยั้งการสร้างอะฟลาท๊อกซิน ปกป้องไม่ให้ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสตรีวัยทอง ส่วนความเป็นพิษนั้น พบว่า การที่ทำให้หนูตายครึ่งหนึ่งนั้น ต้องกินน้ำสกัดกระเจี๊ยบ 129.1 กรัมต่อน้ำหนักหนูหนึ่งกิโลกรัม คือ ถ้าเปรียบเทียบกับให้คนกินแล้ว คนหนักประมาณ 60 กิโลกรัมจะต้องกินกระเจี๊ยบประมาณ 7.8 กิโลกรัม

 

คำแนะนำ

กระเจี๊ยบแดงมีเกลือโพแตสเซียมมาก จึงต้องระวังในการใช้กับคนไข้โรคหัวใจ


-และมีประโยชน์อะไรบ้าง.jpg

มะนาว (Lemon) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrus aurantifolia Swing. มีสารสำคัญได้แก่ ผิวของผลมีน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ประกอบด้วย Citral, Imonnene, linadol, linalylacetate cymene, terpineol

 

มะนาวมี Citric acid และวิตามินซีในใบม้ำมันหอมระเหยจำพวก coumarin, isopimpinellin และยังประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี 1, 2 และ 4

 

มะนาวจึงสามารถใช้รักษาอาการเบื้องต้นของโรคต่าง ๆ ได้ เช่น

  1. โรคลักปิดลักเปิด น้ำมะนาวมีวิตามินซีสูงมาก จึงมีฤทธิ์รักษาโรคลักปิดลักเปิด โดยการดื่มน้ำมะนาวเป็นประจำ
  2. อาการไอ เจ็บคอ เสียงแหบแห้ง ใช้น้ำมะนาวผสมเกลือเล็กน้อย กรดที่มีในน้ำมะนาวจะช่วยกระตุ้นให้มีการขับน้ำลายออกมา ทำให้เกิดการชุ่มคอ และลดการระคายคอ
  3. แก้ปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ โดยใช้เปลือกมะนาวคลึงให้น้ำมันออก แล้วชงน้ำดื่ม น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกจะช่วยแก้อาการปวดท้อง และท้องอืดท้องเฟ้อได้
  4. บรรเทาการปวดศีรษะ โดยการนำปูนแดงทาบนมะนาวที่ฝานผ่าครึ่ง แล้วปิดบริเวณขมับ จะบรรเทาอาการปวดศีรษะได้
  5. แก้ก้างปลาติดคอ โดยบีบน้ำมะนาวลงคอ กรดในน้ำมะนาวจะทำให้ก้างปลาอ่อนลง และหลุดได้
  6. แก้หัวโน นำน้ำมะนาวผสมดินสอพองพอกบริเวณที่โน จะทำให้เย็นและยุบตัวเร็ว

 

ประโยชน์อื่น ๆ ของมะนาว

มะนาวนอกจากจะช่วยรักษาอาการเบื้องต้นของโรคต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีประโยชน์อีก เช่น น้ำมะนาวสามารถนำมาปรุงแต่งอาหารให้มีรสเปรี้ยว และดับกลิ่นคาว เช่น ใส่ในน้ำพริกกะปิ ต้มยำ อาหารประเภทยำ ลาบ ส้มตำ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังใช้ทำน้ำมะนาวคั้น บ๊วยรสมะนาว มะนาวแช่อิ่ม มะนาวดอง รับประทานเป็นขนมหรือของว่างได้ ส่วนประโยชน์ในด้านความงามนั้น นำน้ำมะนาวผสมกับดินสอพอง ขมิ้นชันผง พอกหน้าลดการอักเสบของสิวได้ดี หรือเปลือกมะนาวที่เหลือนำมาถูตามข้อศอก หัวเข่า ซอกเล็บ และส้นเท้า จะช่วยลดการด้าน และส้นเท้าแตกได้

การจะใช้น้ำมะนาวให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น มีข้อแนะนำว่า วิตามินซีในน้ำมะนาวจะสลายตัวง่ายในความร้อน จึงควรที่จะปรุงน้ำมะนาวเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการประกอบอาหาร


-ใช้รักษาโรคแก้ไอได้จริงหรือไม่.jpg

มะขามป้อม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus emblica L. จัดอยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ตามตำรา แพทย์พื้นบ้าน โดยนำผลแก่สด 2 – 3 ผล มาโขลกพอแหลก ผสมเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยวรับประทานวันละ 3 – 4 ครั้ง ใช้รักษาอาการไอ ละลายเสมหะ เนื่องจากผลของมะขามป้อมมีรสเปรี้ยวอมฝาด แต่เมื่อรับประทานได้สักครู่ จะมีรสหวานชุ่มคอ

 

ตามสรรพคุณยาโบราณ พบว่า ช่วยบำรุงเนื้อหนังให้บริบูรณ์ กัดเสมหะในคอ แก้พรรดึก แก้ไข้เจือลม แก้ไอ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย เมื่อนำมาใช้เป็นยาตำรับร่วมกับสมอไทย สมอพิเภก เรียกว่า มหาพิกัดตรีผลา ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย และแก้ตรีโทษ คือ โทษที่เกิดจาก ปิตตะ (ดี) วาตะ (ลม) และเสมหะ คือ ลูกสมอพิเภก แก้ปิตตะและคุมธาตุไฟ ลูกสมอไทยแก้วาตะและคุมธาตุลม ส่วนลูกมะขามป้อม แก้เสมหะและคุมธาตุดินและน้ำ ซึ่งเป็นธาตุที่ก่อให้เกิดการมีเสมหะ นอกจากนั้น มะขามป้อมยังสามารถใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ เพราะมีวิตามินซีสูงมาก

 

รายงานผลการศึกษาวิจัย

มีรายงานการวิจัยทางคลินิกว่าได้ใช้กับผู้ป่วย 20 คน โดยนำผลแห้งที่ผ่าเอาเมล็ดออกประมาณ 3 กรัม มาผสมกับนม ปั่นให้เหลวเหมือนเนย ให้ผู้ป่วยรับประทานวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ พบว่า ผู้ป่วยอาการดีขึ้น 17 คน คิดเป็น 85%

จากการรายงานผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า มะขามป้อม สามารถต้านผิวหนัง ลดการอักเสบ และแก้สิวได้ จึงมีผู้ประกอบการนำเนื้อมะขามป้อมไปสกัดเพื่อนำสารสกัดที่ได้มาผสมในเครื่องสำอาง

 

ภาพประกอบจาก: en.wikipedia.org


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก