ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-ใช้สมุนไพรอะไรไดบ้าง.jpg

ก่อนที่จะหาสมุนไพรมารับประทานเพื่อลดความอ้วน ควรมารู้จักโรคอ้วนก่อนว่า หมายถึงอะไรและเกิดจากอะไร

 

โรคอ้วน หมายถึง สภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากเกินไป โดยการวัดจากดรรชนีมวลรวมของร่างกาย (Body Mass Index) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า BMI

 

ส่วนสาเหตุของโรคอ้วน นั้นเกิดมาจาก

  1. พฤติกรรมการรับประทานอาหารตามใจปากมากเกินไป เกินความต้องการของร่างกาย จึงถูกสะสมไว้ในร่างกาย เมื่อมีมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมันพอกพูนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
  2. ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมไธรอยด์ และกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกาย คือ อัตราความสามารถในการใช้พลังงาน และเผาผลาญของร่างกายจะค่อย ๆ ลดลงตามอายุ
  3. กรรมพันธุ์ ถ้าพ่อและแม่อ้วน ลูกมีโอกาสอ้วนถึง 80% แต่ถ้าคนใดคนหนึ่งอ้วน ลูกมีโอกาสอ้วนถึง 40%
  4. เพศ เพศหญิงมีโอกาสอ้วนได้ง่ายกว่าเพศชาย โดยธรรมชาติเพศหญิงมักรับประทานได้ตลอดเวลา อีกทั้งต้องตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับประทานอาหารเพื่อบำรุงร่างกายและทารกในครรภ์ หลังคลอดแล้วไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้
  5. อายุ เมื่อมีอายุมากขึ้นก็มีโอกาสอ้วนง่ายขึ้นทางเพศชายและหญิง ซึ่งเนื่องมาจากการใช้พลังงานน้อยลง
  6. ยา ผู้ป่วยบางโรค จะได้รับสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ก็ทำให้อ้วนได้ หรือในเพศหญิงที่ฉีดยา หรือรับประทานยาคุมกำเนิดก็ทำให้อ้วนได้เช่นกัน (อ้างอิง : www.thailabonline.com)

ดังนั้น การที่จะลดความอ้วนให้ได้ผลดี ก็ต้องปรับพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงสาเหตุต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ส่วนการใช้สมุนไพรเพื่อลดความอ้วนนั้น ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนว่าไม่มียาสมุนไพรตัวใดช่วยลดความอ้วนโดยตรง แต่ช่วยลดปัจจัยที่ทำให้อ้วนได้ อย่างเช่น สมุนไพรบุก เม็ดแมงลัก ซึ่งจะมีกากใยและพองตัวในกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่ม โดยไม่ต้องรับประทานอาหารมากนัก หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ระบาย เช่น มะขามแขก ชุมเห็ดเทศ จะช่วยลดการดูดซึมโมเลกุลของไขมันเข้าสู่ผนังลำไส้ คือ ช่วยระบายไขมันออกมาพร้อมกับอุจจาระ โดยทั่วไปคนอ้วนมักจะท้องผูก เนื่องจากกินอาหารจำพวกเนื้อ ไขมัน เนย แป้ง ซึ่งเป็นอาหารไม่มีกากใยขณะเดียวกันโมเลกุลของไขมัน โปรตีน น้ำตาล ก็ถูกดูดซึม เข้าสู่ร่างกายผ่านทางผนังลำไส้เป็นจำนวนมาก ไม่ถูกขับถ่ายมาพร้อมกับกากใย เมื่อมีแต่เข้าไม่มีออกแบบนี้จึงทำให้อ้วนได้

 

ภาพประกอบจาก: www.lovepik.com


L-diet.jpg

วิธีลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ในระยะยาว แม้ว่ายาจะสามารถใช้รักษาให้หายป่วย และทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักไว้เสมอก็คือ ยาทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีอันตราย เช่นเดียวกับที่มีคุณประโยชน์ ดังนั้น ก่อนใช้ยาควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนใช้ทุกครั้ง

เพื่อน ๆ หลายคนลดน้ำหนัก ตามสูตรลดน้ำหนัก ลดความอ้วน แบบ 7 วันบ้าง 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ทรมานและต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง (แต่เพื่อความผอม สวย ยอมได้) อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถทานแบบนี้ไปได้ตลอดชีวิตแน่นอน การลดน้ำหนักลงมาหลาย ๆ โล ในช่วงเวลาสั้น ๆ เป็นสูตรสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนแบบเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณกลับมากินอาหารปกติ คุณจะอ้วนเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม

การลดน้ำหนักในระยะยาว การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดนั้น ควรเป็นการจำกัดแคลอรี่ของอาหาร การทานอาหารครบทุกมื้อ และการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกิน วันนี้เรามีข้อแนะนำที่จะควบคุมน้ำหนักให้คงที่อยู่เสมอในระยะยาว เคล็ดลับต่าง ๆ เหล่านี้ ทำได้ไม่ยากแต่ต้องฝึกฝนให้ติดจนเป็นนิสัยเท่านั้นเอง

 

กิจกรรมและการออกกำลังกาย  

  1. อย่าชั่งน้ำหนักบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้กดดันตัวเอง ทำให้หงุดหงิดง่าย ควรชั่ง สัปดาห์ละครั้งก็พอ 
  2. ออกกำลังกายให้มากกว่า 15 นาที เพราะ 20 นาทีแรกนั้น ร่างกายจะอยู่ในระหว่างอุ่นเครื่อง หลัง จากนั้นร่างกายจะเผาผลาญไขมัน 
  3. การเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะ ๆ เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายหงุดหงิดได้ดีขึ้น 
  4. ถ้าวันไหนจะได้นอนมากๆ และไม่ได้ทำงานอะไรเท่าไหร่ คุณต้องลดอาหารลงอีก กินแต่ผักผลไม้ก็พอแล้ว 
  5. สำหรับคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย ให้ว่ายน้ำหรือเต้นรำตามจังหวะเพลงสนุก ๆ อย่างต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงทุกวัน 
  6. ออกกำลังกายให้หลากหลายชนิด จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอย่างครบถ้วน เป็นการบริหารทุกส่วนของร่างกาย และช่วยปรับสมดุลของร่างกาย 
  7. หมั่นไปออกกำลังกายเป็นกลุ่มหรือไปออกกำลังกายยังที่ที่คนมาชุมนุมกัน เช่น ศูนย์ฟิตเนส ลานเต้นแอโรบิค สระว่ายน้ำ เป็นต้น เพื่อช่วยเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คุณเกิดความมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนัก และอีกทั้งยังช่วยให้ไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการออกกำลังกาย 

 

อาหารการกิน

  • ลดปริมาณอาหารเนื้อสัตว์ประเภทหมู เป็ด ไก่และเนื้อวัวลง ควรกินแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น อย่ากินส่วนที่เป็นหนังและมัน
  • ถ้าหิวบ่อยให้แบ่งมื้ออาหารเป็น 4 – 5 มื้อเล็ก ๆ แทนการทานแบบ 3 มื้อใหญ่ (ที่หลายท่านมักทานจนอิ่มท้องมากเกินไป) 
  • เคี้ยวอาหาร เคี้ยวช้า ๆ ให้ละเอียดที่สุด ก่อนจะกลืนลงไป ควรใช้เวลากินมื้อละ 10 – 15 นาที จะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
  • ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำแร่ให้มาก ๆ และจิบน้ำตลอดวันเพื่อให้กินอาหารได้ไม่มาก อีกทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นด้วย 
  • ในตู้เย็นควรจะมีแต่ผักและผลไม้สดเท่านั้น เพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ราบรื่น
  • ของว่างระหว่างมื้อควรทานผลไม้สด ๆ หรือถั่วธัญพืชต่าง ๆ ไม่ควรทานอาหารคาวหรือขนมหวาน
  • ลดคาร์โบไฮเดรต ลดเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้เป็นหลัก งดทานของทอด ๆ ผัด ๆ หรือการปรุงอาหารที่ต้องใช้น้ำมันมาก ๆ หรือการปรุงด้วยน้ำตาล เนย และกะทิ เช่น แกงเผ็ด แกงที่ใช้กะทิเป็นเครื่องปรุงก็ควรเลี่ยง 
  • อย่าโทษตัวเองเมื่อเผลอกินอาหารตามใจปาก เช่น เค้ก ไอศกรีม วันต่อไปให้ออกำลังกายหนักขึ้นเพื่อการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่อย่าทำเช่นนี้บ่อยๆ เพราะจะทำให้ที่พยายามลดน้ำหนักมานั้นเสียเปล่า  
  • อย่าอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้คุณกินทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างไร้สติ ควรกินอาหารเล็กน้อยเสมออย่าปล่อยให้หิว ถ้าถึงมื้อแล้วไม่หิวก็ให้ทานผลไม้แทนได้
  • พยายามเปลี่ยนเมนูอยู่เสมอ การกินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กันเกือบทุกวันจะเป็นผลเสียต่อการเผาผลาญอาหาร เพราะร่างกายจะเผาผลาญแคลอรี่ได้เท่าเดิม จึงแทบจะไม่มีผลต่อการลดน้ำหนักตัว
  • อย่าเสียดายของเหลือในจาน ถ้ากินไม่หมด ควรเก็บใส่ตู้เย็น หรือทิ้งเสีย อย่ากินจนหมด 
  • แอปเปิ้ล แคนตาลูป และโยเกิร์ต คือเมนูลดน้ำหนักที่ดีกินอย่างใดอย่างหนึ่งแทนมื้อกลางวันหรือเย็นได้ทุกวัน
  • ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ให้กินแฮมต้ม ปลานึ่ง ทูน่ากระป๋อง ไก้ต้มไม่เอาหนัง กินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเล็กน้อยใน 1 มื้อ ควรกินคู่กับผักต้ม
  • ถ้าหิวตอนดึก ๆ ให้ดื่มชาร้อน ๆ เพราะเครื่องดื่มร้อน ๆ จะช่วยให้ความรู้สึกหิวหายไป อาจดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำร้อน ชาสมุนไพร หรือนมร้อน ๆ สักถ้วยก็ได้
  • ถ้าเบื่อผลไม้ ให้นำมายำ โดยทำน้ำยำดังนี้ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับมะนาว และพริกป่น แล้วคลุกกับผลไม้ให้ทั่ว ใช้แอปเปิ้ล เขียวแดง ชมพู่ มันแกว ส้มโอ
    ส้มเขียวหวาน หรือองุ่น
  • ถ้าติดขนมจุบจิบ ให้ใช้แตงกวา มะม่วง หรือแครอท หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หรือน้ำแข็งป่นมาวางใกล้ ๆ มือ ทานแทนขนมขบเคี้ยว
  • เคี้ยวหมากฝรั่งบ้าง รสชาติสะอาด ๆ ในช่องปากอาจทำให้คุณไม่อยากกินอะไร
  • กินกระเทียมสดและพริกไทยทุกวัน เพราะจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดน้ำหนักได้
  • วางแผนการกินล่วงหน้าแต่ละมื้อ การกินโดยไม่คิดก่อนจะทำให้เผลอไปกินอาหารที่ไขมันสูง
  • เมื่อลดน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม แทนที่จะให้รางวัลตัวเองเป็นขนมหวาน ควรให้รางวัลเป็นอย่างอื่น เช่น เสื้อสวย ๆ สักตัว หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การกิน
  • เลิกคร่ำครวญถึงรสชาติอาหารจานโปรด คุณต้องตัดใจ จงคร่ำครวญถึงชุดสวย ๆ แทน คุณจะได้มีแรงบันดาลใจเพียงพอที่จะลดน้ำหนัก
  • ฝึกเป็นนิสัยอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์อาหารทุกอย่าง ว่ามีพลังงานหรือไขมันเท่าใดบ้าง ทำเป็นประจำจะทำให้คุณเป็นคนที่กินเป็นมากขึ้น และมีประโยชน์
    ต่อสุขภาพด้วย
  • ทานข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือแทนข้าวขาว เพราะข้าวกล้องอิ่มนานกว่า และมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าข้าวขาว

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : jaisorgroup.(2009).วิธีลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ในระยะยาว. 28 พฤศจิกายน 2558.
แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/Faijaruwan
ภาพประกอบจาก : https://sites.google.com/site/jaisorgroup/9

 


-ช่วยลดความอ้วนได้หรือไม่.jpg

บุก เป็นพืชพื้นเมืองของไทย มักขึ้นในที่ชื้น ลำต้นมีลายขาว ๆ มีหนามเล็ก ๆ มียาง ซึ่งหากถูกแล้วจะคัน หัวบุกมีขนาดใหญ่ เนื้อมีสีขาวอมเหลือง ละเอียดเป็นเมือกลื่น เรากินบุกกันทั้งใบและหัว หัวบุกมีแป้งประมาณร้อยละ 67 มีโปรตีนร้อยละ 5 – 6 สารแป้งที่อยู่ในหัวบุกเรียกว่าแมนแนน (mannan) เมื่อสารนี้ถูกทำให้แตกตัวจะได้กลูโคสกับแมนโนส หรือที่เรียกกันว่ากลูโคแมนแนน (glucomannan) ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นน้ำตาลกลูโคสและแมนโนส เมื่อสกัดแยกออกมาเป็นผงแห้งจะมีลักษณะคล้ายเม็ดทราย เมื่อละลายน้ำที่อุณหภูมิห้องปกติจะดูดน้ำพองตัวได้ถึง 200 เท่า (สารบริสุทธิ์) กลายเป็นวุ้นใยอาหารธรรมชาติ

 

วุ้นใยอาหารธรรมชาติจากบุก มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ คือ

  1. เป็นวุ้นที่ให้พลังงานต่ำ หรือไม่ให้พลังงานเลย ถ้าเป็นสารสกัดที่บริสุทธิ์เหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยบางประเภท
  2. คงทนต่อน้ำย่อยในกระเพาะ และคงสภาพได้นาน 36 – 48 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการของโรคกระเพาะ ที่มักจะเกิดปัญหาเมื่อรับประทานอาหารผิดเวลา
  3. การรับประทานผงวุ้นก่อนมื้ออาหารปกติประมาณครึ่งชั่วโมง การพองตัวของวุ้นจะช่วยให้รับประทานอาหารน้อยลง อิ่มทนนาน เหมาะสำหรับเป็นอาหารลดความอ้วน
  4. วุ้นใยอาหารจากบุกสามารถดูดซับไขมัน และน้ำตาลส่วนเกินจากอาหาร ช่วยเคลือบผนัง กระเพาะลำไส้ ลดการดูดซับไขมันและน้ำตาลเข้าสู่กระแสโลหิต จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน น้ำตาล และไขมันในเลือดสูง
  5. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น (หลังรับประทานผงวุ้นบุกต้องดื่มน้ำให้มาก บุก 3 กรัม ควรดื่มน้ำตาม 2 – 3 แก้ว) เพราะจะเป็นเมือกวุ้นห่อหุ้มอาหาร
  6. ช่วยขับถ่ายของเสีย หรือสารพิษที่ตกค้างในระบบทางเดินอาหารออกจากร่างกาย

นอกจากประโยชน์ทางด้านอาหารและยาแล้ว กลูโคแมนแนนจากบุกยังถูกนำไปใช้ผลิตโลชั่นบำรุงผิว และยาเม็ดชนิด Sustained release อีกด้วย


-Atkins-Diet-ดีจริงหรือ-.jpg

นายแพทย์โรเบิร์ต แอทกิ้นส์ (Dr. Robert Atkins) แพทย์หัวใจชาวอเมริกันเป็นผู้ค้นคิดสูตร Atkins Diet ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 และได้ถูกปรับเปลี่ยนมาหลายเวอร์ชั่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเน้นการกินคาร์โบไฮเดรตต่ำ โปรตีนสูง เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันในร่างกาย ทำให้น้ำหนักลด และประโยชน์ในด้านอื่น ๆ 

 

อย่างไรก็ตาม Atkins Diet เป็นหนึ่งในสูตรอาหารลดน้ำหนักที่เป็นที่รู้จักกันดี โดยเน้นการทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยมีหลักการว่า การทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น น้ำตาล ผลไม้ แป้ง ข้าว จะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ซึ่งเชื่อว่ามีผลต่อความหิว และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

 

โดยหลักในการทำงาน คือ การปรับลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานให้เหลือน้อย ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ Ketosis ซึ่งร่างกายจะดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล ช่วยให้น้ำหนักตัวและไขมันส่วนเกินในร่างกายลดลง ผู้ที่ทำตามโปรแกรมนี้ นอกจากจะสามารถลดน้ำหนักลงได้แล้ว ยังช่วยรักษาระดับน้ำหนักให้คงที่ มีสุขภาพที่ดี แข็งแรงไม่เจ็บป่วย

 

อาหารที่ควรทานและไม่ควรทาน 

ควรทานอาหารโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาหารที่มีค่าไกลซิมิคต่ำ (Glycemic Index – GI) ซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มช้า ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ถือเป็นอาหารที่ดี ตัวอย่างอาหารที่ควรทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ เนื้อหมู เบคอน เนื้อปลา อาหารทะเล อาโวคาโด ไข่ นม ผักใบเขียว ถั่วและเมล็ดธัญพืชที่มีแป้งน้อย  ไขมันดีจากน้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอาโวคาโด เป็นต้น

 

ส่วนอาหารที่ไม่ควรทาน จะอยู่ในอาหารที่มีค่าไกลซิมิคสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน เค้ก ลูกกวาด ธัญพืช เป็นต้น ซึ่งหลังจากทานไปแล้ว ร่างกายจะดูดซึมอาหารอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเร็ว และมีการหิวเร็ว โดยการทานอาหารตามสูตรนี้ ควรที่จะบริโภคแร่ธาตุให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น

 

4 ระยะหลักของการกินแบบ Atkins Diet

  • ระยะเริ่มต้น ช่วงแรกของการเริ่มรับประทานอาหารสูตรนี้ จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานให้เหลือน้อยกว่า 20 กรัมต่อวัน (และมี Atkins 40 plan ซึ่งเป็นอีกสูตรที่มีการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ที่รับประทานให้เหลือน้อยกว่า 40 กรัมต่อวัน แทนที่จะเป็น 20 กรัมต่อวัน) โดยได้คาร์โบไฮเดรตจากสลัด และผักคาร์โบไฮเดรตต่ำ และอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันสูง จากการที่ระบบเผาผลาญจะดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล ทำให้อาจมีอาการข้างเคียงในระยะนี้ คือ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ท้องผูก มีกลิ่นปากได้
  • ระยะน้ำหนักลดต่อเนื่อง ค่อย ๆ เพิ่มคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอื่น ๆ โดยเน้นอาหารประเภทที่ให้พลังงานต่ำ และมีกากใยสูง โดยเพิ่มปริมาณ 25 กรัมภายใน 2 อาทิตย์แรก เพิ่ม 30 กรัมช่วงอาทิตย์ที่ 2 และเพิ่มทุก ๆ สัปดาห์จนน้ำหนักไม่ลดแล้ว จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานเข้าไป 5 กรัมทุก ๆ วันจนน้ำหนักเริ่มจะลดลงอีก
  • ระยะก่อนเข้าสู่ระยะน้ำหนักคงตัว อัตราการลดน้ำหนักของคุณจะค่อย ๆ ลดลง คุณสามารถเพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานได้ 10 กรัมต่อสัปดาห์ จนรู้สึกว่าน้ำหนักตัวลดลงอย่างช้า ๆ
  • ระยะน้ำหนักคงตัว เมื่อคุณสามารถลดน้ำหนักได้ถึงระดับที่ต้องการ คุณจะเริ่มเข้าสู่ระยะน้ำหนักคงตัว และอาจเริ่มเพิ่มการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ ได้ แต่ต้องเป็นแบบที่มีค่าไกลซิมิคต่ำ ๆ ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดดี โดยหากคุณเริ่มกลับมามีน้ำหนักเพิ่ม คุณอาจเริ่มการรับประทานอาหารสูตรนี้ใหม่อีกครั้ง

 

การทานอาหารตามสูตรจะช่วยในการลดน้ำหนัก และช่วยป้องกันโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด อย่างไรก็ดี การศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ของผู้ทานอาหารตามสูตรนี้ หยุดปฏิบัติหลังจากผ่านไป 2 – 3 ปี โดยช่วงแรกมีรายงานของอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการปวดศีรษะ เวียนหัว อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ท้องผูก ซึ่งอาจเกิดจากการใช้พลังงานจากไขมัน ทำให้เกิดการสะสมของคีโตน และอาจนำไปสู่อาการดังกล่าว นอกจากนี้ อาหารตามสูตรนี้ยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ยาขับปัสสาวะ ฉีดอินซูลิน ใช้ยาเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต สตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร

 

ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มทานอาหารแบบ Atkins diet ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อน รวมถึงผู้ที่จะปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารแบบทันทีทันใด ควรเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนการปรับเปลี่ยน

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล: www.medicalnewstoday.com
ภาพประกอบ: www.freepik.com


...ปี-.jpg

สุดยอดไดเอท ปี 2018 โดย U.S. News & World Report ได้จัดให้มีการประเมินสุดยอดไดเอทของสหรัฐอเมริกา โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและโภชนาการ โดยมีการประเมินสูตรไดเอทกว่า 40 สูตร แบ่งออกเป็น 7 หมวดหมู่ วันนี้เรามาดูสุดยอดไดเอท…ปี 2018 มีทั้งหมด 3 หมวดหมู่สำคัญ ๆ กัน มีอะไรบ้างมาติดตามกันค่ะ 

 

สุดยอดไดเอท สำหรับการลดความอ้วน

โดยส่วนใหญ่แล้ว การลดความอ้วน หรือลดน้ำหนัก คือ เป้าหมายหลักของการเข้าร่วมโปรแกรมไดเอท ทั้งนี้การลดน้ำหนักเป็นเรื่องยาก แต่การลดน้ำหนักแล้วทำให้มันคงที่นั้นยากยิ่งกว่า จากการศึกษาพบว่า 30 – 35% ของผู้ที่ลดความอ้วนสำเร็จ จะกลับมาอ้วนเหมือนเดิมภายใน 1 ปี ดังนั้น สูตรไดเอทที่ดีต้องทั้งลดน้ำหนักได้เร็ว และรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวได้ด้วย

อันดับ 1 โปรแกรมของ Weight Watchers โดยได้คะแนนการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว  4/5 คะแนน และการรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาว ( 3.5/5 คะแนน) ทั้งนี้ Weight Watchers เป็นบริษัทหนึ่งที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ในเรื่องของการกำหนดโปรแกรมอาหารสำหรับการลดน้ำหนัก โดยมีการนำเอาระบบคะแนน ตามคุณค่าทางโภชนาการของอาหารและเครื่องดื่มมาใช้

ผู้เข้าร่วมโปรแกรมจะได้รับคำแนะนำ ว่าสามารถบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ได้ตามคะแนนที่กำหนด ผู้เชียวชาญระบุว่าเป็นโปรแกรมที่ดี ในเรื่องของการเข้าถึงเครือข่ายทีมสุขภาพ แพทย์ นักโภชนาการ ที่จะคอยสนับสนุน ชี้แนะแนวทางให้สามารถลดน้ำหนัก และรักษาให้มันคงที่ในระยะยาวได้

อันดับที่ 2 Volumetrics Diet ได้คะแนนการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว 3.8/5  และคะแนนการรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาว 3.3/5 การไดเอทแบบ Volumetrics Diet ออกแบบโดย ศาสตราจารย์ บาบาล่า โรล แห่ง Pennsylvania State University เน้นเรื่องการรับประทานอาหารพลังงานต่ำในปริมาณสูง ซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดลง โดยที่ไม่รู้สึกว่ากำลังควบคุมอาหาร อาหารที่แนะนำ ได้แก่ ผลไม้ นมไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ถั่ว ปลาไขมันต่ำ ผัก เนื้อสัตว์ปีกไม่ติดหนัง หรือเนื้อไม่ติดมัน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ เนยแข็ง ลูกอม เครื่องดื่มรสหวาน และคุกกี้ เป็นต้น การรับประทานอาหารวิธีนี้ ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถช่วยลดน้ำหนัก และเป็นการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย

 

สุดยอดไดเอท สำหรับสุขภาพหัวใจ

ปัญหาด้านสุขภาพหัวใจ เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั้งในชายและหญิง การรับประทานอาหารผิดประเภทเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วน

อันดับ 1 มี 2  สูตรคะแนนพอ ๆ กัน คือ Dietary Approaches to Stop Hypertension (DASH) diet พัฒนาโดย National Heart, Lung, and Blood และได้รับการแนะนำจากสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ให้เป็นแนวทางในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งหลักการสำคัญ คือ ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาล เกลือโซเดียม ไขมันอิ่มตัว ไขมันรวม และคลอเรสเตอรอลลง และเพิ่มการรับประทานใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช รวมทั้งโปรตีนจากปลา เนื้อสัตว์ปีก แคลเซียม แร่ธาตุต่าง ๆ รวมถึงสารไนเตรทที่มีผลการศึกษาถึงการลดความดันโลหิตสูงได้ DASH diet ยังได้ตำแหน่ง  the best overall diet  อีกด้วย และ  Mediterranean diet ที่เน้นการรับประทานปลา และอาหารทะเลเป็นหลัก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ควบคู่ไปกับการทานผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว และธัญพืชขัดสีน้อย มีเส้นใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ เป็นต้น

อันดับ 2  Ornish diet ของนายแพทย์ ออร์นิช แพทย์โรคหัวใจที่มีชื่อเสียง เน้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและอาหารการกิน โดยสูตรอาหารจะเป็นแนวมังสวิรัติ เน้นการกินพืช ผัก ธัญพืชต่าง ๆ เลี่ยงเนื้อสัตว์ ไก่ ปลา จำกัดพลังงานจากการรับประทานไขมันไม่ให้เกิน 10% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน  Ornish diet แบ่งอาหารออกเป็น 5 กลุ่ม (Spectrum of foods) จากกลุ่ม 1 อาหารที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด ไปจนถึงกลุ่มที่ 5 ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

 

สุดยอดไดเอท สำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน

อันดับ 1 Mediterranean diet นอกจากจะดีต่อสุขภาพหัวใจแล้ว ไดเอทแบบนี้ยังเหมาะกับผู้เป็นโรคเบาหวานอีกด้วย โดยได้อันดับ 1 3.7/5 คะแนน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า Mediterranean diet เป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกัน และควบคุมโรคเบาหวาน โดยมีงานวิจัยบางชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อได้ทานอาหารตามสูตรไดเอทแบบ Mediterranean diet มีระดับน้ำตาลในเลือด หรือ hemoglobin A1C ที่ดีขึ้น

อันดับ 2 DASH diet นอกจากดีต่อสุขภาพหัวใจแล้ว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า DASH diet ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานอีกด้วยทั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีการไดเอทแบบไหน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันไป สำหรับผู้ใหญ่ แนะนำให้ออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายระดับหนักปานกลาง (Moderate-intensity) เช่น วิ่งเร็วพอประมาณ นานอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือออกกำลังกายแบบแอโรบิคแบบหนักมาก (Vigorous-intensity aerobic activity) นานอย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล: www.medicalnewstoday.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก