ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

5-แนวกลิ่นน้ำหอมเพิ่มแรงดึงดูดทางเพศ.jpg

หลากหลายพฤติกรรมทางกายภาพที่เกิดตามธรรมชาติของเรานั้นล้วนมีจุดมุ่งหมายในเรื่องเพศหรือเซ็กส์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่องกลิ่นก็มีอิทธิพลต่อการดึงดูดซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ทางเพศและกลิ่นน้ำหอมเป็นหัวข้อที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับโลกต่างให้ความสนใจในการศึกษาอย่างมาก ทั้งในเรื่องของฟีโรโมนจากร่างกายตามธรรมชาติ และกลิ่นต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกคู่ของเรา

 

วงการธุรกิจน้ำหอมและเนวคิดเรื่องเซ็กส์

เนื่องจากแนวคิดเรื่องกลิ่นและการเลือกคู่นี้เอง ทำให้เหล่าผู้ประกอบการแบรนด์น้ำหอมต่างมุ่งเน้นการสร้างจุดขายในเรื่องเซ็กส์แฝงอยู่ในแคมเปญโฆษณาทุกยุคทุกสมัย ย้อนกลับไปเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 Jacques Guerlain ผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางเกอร์แลง (Guerlain) ได้ผลิตน้ำหอมที่ให้กลิ่นที่ชวนให้รู้สึกถึงพื้นที่ใต้กระโปรงของสุภาพสตรีและกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก เป็นต้นแบบของกลิ่นขายดีประจำแบรนด์ตลอดกาลอย่าง Shalimar และ Mitsouko

จากความสำเร็จในครั้งนั้น เป็นแบบแผนให้เหล่าแบรนด์น้ำหอมอื่น ๆ เจริญรอยตาม ไม่ว่าจะเป็น Tom Ford กลิ่น Black orchid, Serge Lutens กลิ่น Ambre sultan หรือ Hermès กลิ่น Eau de hermès ที่ชูจุดขายในเรื่องเพศอย่างชัดเจน นอกจากการผสมผสานกลิ่นจากสัตว์ พืชและสารสังเคราะห์เพื่อให้ได้แนวกลิ่นที่ใกล้เคียงกับแนวคิดเรื่องเซ็กส์มากที่สุด ในปัจจุบันวงการน้ำหอมยังก้าวข้ามไปอีกขั้นด้วยการพัฒนาสารเคมีจำพวกฟีโรโมน รวมไปจนถึงการเลียนแบบกลิ่นสารคัดหลังที่เกิดจากร่างกายโดยตรงอีกด้วย

 

5 แนวกลิ่นน้ำหอมเพิ่มเสน่ห์แรงดึงดูดทางเพศ

มัสก์

มัสก์ (Musk) เป็นกลิ่นฐานยอดนิยมที่กลุ่มน้ำหอมที่มีจุดขายในเรื่องเพศ  เป็นสารสกัดที่ได้จากสัตว์ ภายหลังได้มีการพัฒนามัสก์จากพืช เนื่องจากกลิ่นมัสก์แบบดั้งเดิมสกัดจากชะมด ซึ่งปัจจุบันถูกห้ามโดยกฎหมายแล้ว ดังนั้นมัสก์ในปัจจุบันจึงมาจากสัตว์ประเภทอื่น
โดยส่วนใหญ่แล้วหากพบน้ำหอมที่เขียนว่า Musk มักเป็นส่วนประกอบ จากพืชเป็นหลัก ส่วน Musk (Animalic) มักจะเป็นสารสกัดจากสัตว์ บริเวณต่อมใกล้กับอัณฑะซึ่งเป็นระบบสืบพันธุ์ ทำให้น้ำหอมมีราคาสูง เนื่องด้วยเชื่อกันว่าในมัสก์จะมีฟีโรโมนของสัตว์เจือปน
แต่อย่างไรก็ดี ฟีโรโมนของสัตว์ไม่ส่งผลต่อคน ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อ…ทว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้มัสก์ซึ่งสกัดจากสัตว์ยังได้รับความนิยม นั่นก็เป็นเพราะ แบรนด์ผู้ผลิตน้ำหอมมักมีกรรมวิธีการผลิตแบบเฉพาะ จนสามารถรังสรรค์กลิ่นที่ใกล้เคียงร่างกาย ดังนั้นมัสก์จึงเป็นกลิ่นน้ำหอมที่คนส่วนใหญ่ให้ค่ามากที่สุด เพราะส่งผลต่ออารมณ์และความเคยชินในเรื่องเซ็กส์นั่นเอง

 

นดัลวู้ด

พืชในกลุ่มไม้จันทน์ (Sandalwood) นั้น รวมถึงกฤษณาและไม้หอมหลากชนิดไม่ใช่เพียงต้นจันทน์เท่านั้น โดยในต้นไม้เหล่านี้จะให้น้ำมันที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล มีการใช้น้ำมันหอมกลุ่มนี้เป็นน้ำมันนวดและกิจกรรมทางเพศตั้งแต่ยุคโบราณ ตามแนวคิดของเรื่องจักระและการขับเคลื่อนพลังทางเพศจากตำรากามาสุตรา ว่ากันว่ากลิ่นแซนดัลวู้ดช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ เพิ่มการตอบสนอง ทำให้คู่นอนไปถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้น น้ำหอมกลิ่นแซนดัลวู้ดมักผสมผสานในกลุ่มน้ำหอมประเภทที่ระบุว่า Oriental ซึ่งหมายถึงน้ำหอมที่ให้แนวกลิ่นแบบเครื่องเทศ เซ็กซี่ อบอวล กลิ่นเข้ม และ Woody ซึ่งหมายถึงน้ำหอมที่มีแนวกลิ่นสุขุม ลุ่มลึก อบอุ่น ความแหลมของกลิ่นน้อยกว่าโอเรียนทอล เนื่องจากเน้นพืชที่ให้กลิ่นหอมเย็นเป็นหลัก

 

มะลิ

มะลิที่ถูกนำมาใช้ในน้ำหอมมีหลากหลายสายพันธุ์ หากคุณเจอคำว่า Jasmine ตรงตัว หรือแม้แต่ Melati, Sambac หรือ  White gardenia กลุ่มเหล่านี้มักมีมะลิรวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น เคยมีผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าในบรรดาพืชดอกที่ให้กลิ่นหอม มะลิถือเป็นดอกไม้ที่ให้กลิ่นหอม ซึ่งส่งผลดึงดูดที่สุด อีกทั้งยังเป็นดอกไม้ที่ถูกใช้ในการทำเครื่องหอมโบราณที่เกี่ยวกับการสร้างแรงจูงใจทางเพศในภูมิภาคเอเชียมากมาย ทั้งน้ำมันหอม น้ำปรุง น้ำมันนวด กำยาน ฯลฯ กลิ่นมะลิช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ใจสงบ ทำให้มีสมาธิ ซึ่งส่งผลต่อการบรรเทาอาการหลั่งเร็วได้ และยังมีพื้นกลิ่นนุ่ม ๆ เบา ๆ เหมาะกับอากาศเมืองร้อนอย่างประเทศไทยมาก ๆ

 

ชะเอมเทศ

ชะเอมเทศ (Licorice) คือพืชที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารและยามากมาย มีสรรพคุณทางยาในเรื่องของบรรเทาอาการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ นอกจากนั้นยังมีผลการศึกษาด้วยว่าชะเอมเทศช่วยให้คลายเครียดได้ ในแง่ของกลิ่น ชะเอมเทศ มักจะถูกนำไปใช้แต่งกลิ่นนผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สดชื่น ปลอดโปร่ง รู้สึกถึงความสะอาด ทำให้ทุกครั้งที่เราได้กลิ่นแนวนี้ ร่างกายจะจดจำความรู้สึกได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดความผ่อนคลาย รู้สึกสบาย อยากอยู่ใกล้ กลิ่นชะเอมเทศส่งผลต่อความรู้สึกของผู้หญิงด้วย ยิ่งถ้าผสมกับแนวกลิ่นของขนมลูกอมหรือโคล่า ก็จะทำให้รู้สึกอยากอยู่ใกล้ อยากทำความรู้จักได้ไม่ยาก

 

วนิลา

ย้อนกลับไปในช่วงยุคแรก ๆ ของน้ำหอม วนิลา (Vanilla) เป็นส่วนประกอบที่นิยมเป็นอย่างมากในประเทศจีนและประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญนิยมแนะนำในช่วงศตวรรษที่ 17 ว่าช่วยเพิ่มความแข็งแรงทางเพศได้อย่างดีในผู้ชาย  และยังมีการกล่าวถึงในยุคหลังจากนั้นอีกว่า วนิลาสามารถช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศในชายสูงอายุได้  วนิลาเป็นพืชที่ให้กลิ่มหอม ซึ่งมีอุภาพในการสร้างความผ่อนคลาย เป็นกลิ่นที่ทำให้เรานึกถึงเรื่องราวหรือความทรงจำแห่งความสุข เพราะเหตุนี้นี่เองวนิลาจึงมักถูกเลือกให้เป็นส่วนประกอบในน้ำหอมส่วนใหญ่แทบทุกมุมโลก

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.feelingsexy.com.au   www.allure.com   www.mensjournal.com   www.thoughtcatalog.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


-นอนไม่พอ.jpg

หลาย ๆ คนที่อ่านเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการนอน จะคิดว่าคนเราต้องนอนให้ได้ 8 ชั่วโมงถึงจะเพียงพอ แต่จริง ๆ แล้วตัวเลข 8 ชั่วโมง เป็นแค่ค่าเฉลี่ย การนอนให้เพียงพอ ของแต่ละคนคือ การนอนจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเอง และสามารถอยู่ได้จนไม่เพลียตลอดทั้งวัน ซึ่งค่าเฉลี่ยการนอนแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ อาทิ

 

WordPress Tables Plugin

 

รู้ได้อย่างไร นอนหลับไม่พอ

  • เมื่อตื่นมาตอนเช้า เรารู้สึกยังไม่สดชื่น อยากจะนอนต่อไปอีก
  • ในระหว่างวัน เรามีอาการง่วงเหงาหาวนอนอยู่เรื่อย ๆ
  • ถ้ามีโอกาสได้นอนในตอนกลางวัน เราอาจหลับไปภายในเวลา 5 นาทีเท่านั้น

การนอนหลับไม่พอมีผลต่อร่างกายอย่างแน่นอน ถ้าเรานอนหลับน้อยไปเพียงหนึ่งวัน อาจไม่เห็นผลกระทบที่รุนแรงนัก อย่างมากก็แค่ง่วงซึมบ้างในช่วงกลางวัน แต่ครั้นพอตกกลางคืนเมื่อได้นอนอย่างเต็มอิ่มอีกครั้งร่างกายก็จะฟื้นตัวกลับมาสดชื่นได้อีกในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้ายังนอนไม่พอ ต่อไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้น

 

ผลกระทบจากการนอนหลับไม่พอ

กระทบต่อกระบวนการคิดและความจำ การนอนหลับมีบทบาทสำคัญต่อการคิดและการเรียนรู้ หากมีการนอนไม่พอโดยเฉพาะช่วงที่สมองมีการจัดระเบียบความคิด ความจำ เชื่อมโยงระหว่างข้อมูลใหม่กับข้อมูลเก่า จะส่งผลต่อกระบวนการคิด ความสามารถในการใช้เหตุผล ความสามารถในการเรียนรู้ ทักษะการแก้ปัญหา การตัดสินใจ และสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ ลดลง ลืมง่าย ส่งผลให้ไม่สามารถเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพได้

กระทบต่อสุขภาพร่างกาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ต้องใช้เวลาในช่วงของการนอนหลับ ผลิตไซโตไคน์ (Cytokines) เซลล์ และแอนติบอดี้สำหรับต่อสู้กับเชื้อโรค ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ผู้ที่นอนน้อยหรือประสบปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับเรื้อรัง มีโอกาสเสี่ยงป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้มากกว่าคนปกติ เช่น โรคหัวใจวาย โรคหัวใจและหลอดเลือด หัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน และโรคอ้วน

นอกจากนี้ ยังมีผลเสียต่อร่างกายทางด้านอื่น ๆ เช่น มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาน้อย ทำให้ผิวเสียและตาบวม มีการหลั่งโกรทฮอร์โมน ซึ่งเป็นฮอร์โมนช่วยในการเจริญเติบโตน้อย ส่งผลต่อมวลกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกระดูก

กระทบต่อความต้องการทางเพศ การนอนน้อยส่งผลให้แรงขับทางเพศและความสนใจการร่วมเพศลดลง โดยผู้ชายที่ประสบภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้น จะมีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนลดลง ซึ่งส่งผลให้แรงขับทางเพศลดลง รวมถึงอาจประสบภาวะมีลูกยาก ทั้งในชายและหญิง

กระทบต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ ก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า ผู้ที่นอนน้อยหรือมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับนอนหลับ เกิดอาการซึมเศร้าได้ ทั้งนี้ ภาวะนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับการนอนที่พบได้มากที่สุด และเป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะซึมเศร้าอย่างเด่นชัด เนื่องจากภาวะนอนไม่หลับเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้เป็นอันดับแรกของโรคซึมเศร้า นอกจากนี้การอดนอนชนิดรุนแรงสามารถทำให้เกิด อาการหูแว่ว ประสาทหลอน หลงผิด ระแวงกลัวคนมาทำร้าย หรือมีอาการคล้ายคนที่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวนหรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) ได้

 

ทำให้เกิดอาการงีบหลับสั้น ๆ หรือที่เรียกว่า “หลับกลางอากาศ” หรือ “หลับใน”

เกิดจากการที่สมองส่วนธาลามัส (Thalamus) ของคนที่นอนไม่พอ จะหยุดทำงานช่วงสั้น ๆ แบบชั่วคราว อาจเป็นวินาทีหรือนานถึงครี่งนาที ทำให้เกิดอาการงีบหลับ ไม่ตื่นตัว ไม่ตอบสนองต่อการรับรู้ใด ๆ หรือรับรู้ได้ช้า บางคนเรียกภาวะนี้ว่า “หลับใน” ซึ่งเป็นอันตรายมากถ้าเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังขับรถหรือระหว่างการทำงานที่ต้องใช้ความเร็วหรือความแม่นยำ

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.pobpad.com  www.bangkokhealth.com
ภาพประกอบจาก : www.huffingtonpost.com


15-ข้อดีของการออกกำลังกาย.jpg

เมื่อใดก็ตามที่คุณยุ่งกับงานมาก ๆ เหนื่อยจากกิจกรรมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งรู้สึกลำบากตัวเองเมื่อจะต้องผูกเชือกรองเท้า ให้ลองนึกถึง 15 ข้อดีของการออกกำลังกาย ต่อไปนี้ที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายของคุณสมบูรณ์ขึ้นได้

 

1. บรรเทาอาการเจ็บปวดของร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ

เพื่อให้ข้อต่อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายที่ติดขัดและเคลื่อนไหวลำบากสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกดีขึ้น ฟังดูแล้วอาจจะขัดใจไปบ้าง แต่ว่าการพักผ่อนนั้น บางครั้งก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความเจ็บปวดและอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณหัวเข่า ไหล่ หลัง หรือลำคอ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีที่มีการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนั้นจะมีอาการเจ็บปวดกระดูกและกล้ามเนื้อน้อยกว่าบุคคลในวัยเดียวกันที่ไม่ค่อยออกกำลังกายมากถึง 25% ด้วยกัน

เมื่อมีการออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะมีการหลั่งสารสุข หรือ Endorphins ออกมา ซึ่งถือเป็นยาแก้ปวดตามธรรมชาติให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดี และอาจทำให้คุณมีกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นส่วนต่าง ๆ แข็งแรงมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การที่คุณมีการทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลายังสามารถช่วยบรรเทาสภาวะเรื้อรังของร่างกายบางอย่างได้ด้วย เช่น โรคข้ออักเสบ (Arthritis) เป็นต้น ซึ่งในงานศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบนี้ จะมีอาการปวดข้อลดลง 25% และมีอาการข้อติดลดลง 16% หลังจากหลังจากที่ได้มีการออกกำลังกายประเภทที่มีการกระแทกน้อย เช่น การเดินทรงตัวและการเดินก้าวยาว เป็นเวลาต่อเนื่อง 6 เดือน ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เมื่อมีการออกกำลังกายบ้างแล้วคนส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองไปในทางที่ดีขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

สิ่งที่ต้องทำ : เล่นโยคะหรือมวยไท้เก๊กสัปดาห์ละสองครั้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งความยืดหยุ่นและความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างกายและช่วยลดอาการเจ็บปวดของอวัยวะในร่างกายส่วนต่าง ๆ

 

2. รู้สึกเซ็กซี่ได้เสมอไม่ว่ารูปร่างของตนจะเป็นอย่างไร

ภูมิใจในสัดส่วนรูปร่างของตัวเอง การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมนั้นย่อมจะทำให้รูปร่างของคุณดูดีขึ้นได้ จากผลการศึกษาเกี่ยวกับการออกกำลังกายและรูปลักษณ์ทางร่างกาย พบว่า การออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ โดยไม่คำนึงว่าคุณจะมีน้ำหนักหรือความแข็งแรงของร่ายกายมากเพียงใดนั้น จะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวเองได้ซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายของคุณได้มีการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีออกมาก็ได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของคุณได้ด้วยโดยการเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณอวัยวะเพศมากขึ้น จากการศึกษาหนึ่งพบว่า การออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานเพียง 20 นาทีสามารถช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของผู้หญิงได้มากขึ้นถึง 169% เลยทีเดียว และจากการศึกษาผู้ที่ชื่นชอบการว่ายน้ำที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจะสามารถมีความสุขทางเพศได้เท่าเทียมกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าหลายสิบปีอีกด้วย

สิ่งที่ต้องทำ : เต้นแอโรบิก 20 นาทีก่อนบทสวาทกับคู่รัก และอาจเดินหรือเล่นโยคะเป็นประจำทุกวันเพื่อช่วยให้บทรักของคุณดีขึ้น

 

3. ลดค่าใช้จ่ายในการหาหมอฟันให้น้อยลงสุขภาพ

ร่างกายที่ดีสร้างรอยยิ้มที่สวยงามได้ การใช้ไหมขัดฟันและการแปรงฟันมิได้เป็นปัจจัยสำคัญเพียงสองประการที่จะทำให้คุณมีรอยยิ้มที่ดูสมบูรณ์ดีเท่านั้น หากแต่สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยในเรื่องนี้ก็คือ การออกกำลังกายนั่นเอง ในการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ใหญ่ที่มีการทำกิจกรรมระดับปานกลางเป็นเวลา 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 5 ครั้งขึ้นไปนั้นจะมีโอกาสลดลงกว่า 42% ที่จะประสบกับปัญหาโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ซึ่งเป็นโรคในช่องปากที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น การออกกำลังกายนั้นอาจมีส่วนป้องกันการเกิดโรคปริทันต์อักเสบดังกล่าวในลักษณะเดียวกับที่การออกกำลังกายมีส่วนต่อการป้องกันโรคหัวใจ กล่าวคือ การออกกำลังกายจะช่วยลดการอักเสบและช่วยทำให้เกิดโปรตีน C – reactive Protein ในเลือดมากขึ้น

สิ่งที่ต้องทำ : นอกจากออกกำลังกายหรือหมั่นทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอแล้ว ควรพบหมอฟันทุก 6 เดือน (หรือมากกว่านั้นถ้าหมอฟันบอกว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคในช่องปาก)

 

4. ปลดปล่อยพลังงานสะสมที่กระตุ้นร่างกายของคุณให้พบกับสิ่งใหม่ ๆ เสียบ้าง

ถ้าหากว่าคุณเป็นหนึ่งใน 50% ของผู้ใหญ่ที่พบว่าตนเองมีอาการเหนื่อยทางร่างกายอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์นั้น ให้คุณลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียบ้าง จากผลการศึกษาพบว่า การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเพิ่มพลังงานและช่วยลดอาการอ่อนเพลีย
ได้

นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังช่วยทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองที่ช่วยในการลดอาการอ่อนเพลียได้ด้วย เช่น สาร Norepinephrin และ Dopamine ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตลอดจนสาร Serotonin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยทำให้คนเรามีอารมณ์ดีขึ้น

 

5. ลดไขมันที่เกิดขึ้นจากความเครียดกับน้ำหนักของร่างกาย

การออกกำลังกายเพียง 40 นาที สองครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอที่จะหยุดความอ้วนลงพุงที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ขนาดรอบเอวของผู้ที่ออกกำลังกายน้อยนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะเพิ่มมากขึ้นประมาณ 3 นิ้ว นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังอาจลดระดับฮอร์โมนบางตัวได้ เช่น ฮอร์โมน Cortisol ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการอ้วนลงพุง

6. ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ 33% 

การออกกำลังกายในระดับปานกลางไม่ได้เพียงแค่ทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น หากแต่ยังช่วยในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณได้อีกด้วย ซึ่งก็หมายความว่าร่างกายของคุณจะสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้ป่วยเป็นไข้หวัดและโรคอื่นๆ ได้ จากผลการศึกษาหนึ่งพบว่า หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 50 – 75 ปีที่มีการออกกำลังกายที่ได้บริหารหัวใจและระบบการไหลเวียนเลือด (Cardio) เป็นเวลา 45 นาทีต่อครั้ง 5 วันต่อสัปดาห์ จะป่วยเป็นไข้หวัดในสัดส่วน 1 ใน 3 ของหญิงที่มีการออกกำลังกายแบบเดินยืดเส้นยืดสายสัปดาห์ละครั้ง

สิ่งที่ต้องทำ : เพิ่มการออกกำลังกายที่ได้บริหารหัวใจและระบบการไหลเวียนเลือด (Cardio) ให้เป็นกิจวัตรประจำวันโดยการเปลี่ยนจากการเดินเป็นการวิ่ง

 

7. บำรุงสายตา

การรับประทานแครอทเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสายตา แต่การออกกำลังกายอาจช่วยได้มากกว่า สิ่งที่ดีสำหรับหัวใจของคุณนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับดวงตาของคุณเช่นกัน จากผลการศึกษาในผู้ใหญ่จำนวน 4,000 ราย พบว่า รูปแบบการใช้ชีวิตแบบทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอสามารถกำจัดความเสี่ยงภาวะจุดรับภาพเสื่อม (Macular Degeneration) ที่เกิดขึ้นตามอายุได้สูงสุดถึง 70% ซึ่งโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้นี้จะทำให้การอ่านหนังสือ การขับรถ และการมองดูสิ่งที่มีรายละเอียดขนาดเล็กมากสามารถกระทำได้ยาก และถือเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ตาบอดได้เมื่อมีอายุหลังจาก 60 ปีขึ้นไป

สิ่งที่ต้องทำ : ป้องกันดวงตาของคุณในระหว่างการทำกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหมด (ในกรณีที่คุณเป็นผู้ที่ชอบเดิน ให้เดินวันละประมาณ 1.5 กิโลเมตร) โดยตลอดทั้งปี คุณอาจเลือกสวมใส่แว่นตากันแดดที่สามารถป้องกันแสง UVA/UVB ก็ได้

 

9. การนอนหลับอย่างสนิทจะไม่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อคุณออกกำลังกาย คุณจะต้องไม่มีปัญหากับการนอนหลับในเวลากลางคืนอีกต่อไป จากผลการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่เดินหรือเต้นอย่างน้อยครั้งละหนึ่งชั่วโมง 4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีจำนวนครั้งของการตื่นกลางดึกในสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนครั้งของการตื่นกลางดึกของผู้หญิงที่ไม่ชอบการออกกำลังกาย และในแต่ละคืน จะมีระยะเวลาการนอนหลับที่มากกว่าหญิงที่ไม่ออกกำลังกายเฉลี่ยคืนละ 45 นาทีอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวดีอย่างมากสำหรับผู้หญิงหลายคนที่มักจะมีการตื่นกลางดึกเมื่อมีอายุมากขึ้น กล่าวคือ เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น รูปแบบการนอนหลับของคุณก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในแต่ละคืน คุณอาจจะต้องใช้เวลาในการเริ่มต้นนอนหลับใหม่หลาย ๆ ครั้ง

สิ่งที่ต้องทำ : ตั้งเป้าหมายในการออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมงแม้ว่าจะเป็นช่วงเย็นหรือค่ำของวันแล้วก็ตาม จากหลักฐานพบว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีการทำกิจกรรมในช่วงเย็นตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงระดับปานกลางนั้นจะมีการนอนหลับที่ดีในเวลากลางคืน อย่างไรก็ตาม ให้ตัวคุณเองทดลองดูกับตัวเองว่าการออกกำลังกายระดับใดที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด

 

10. ห่างไกลโรคเบาหวาน

จากผลการศึกษา พบว่า การเดินเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรต่อครั้ง 5 ครั้งต่อสัปดาห์อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ดีมากกว่าการวิ่งเกือบ 2 เท่าตัว ทั้งนี้ จากการที่ไขมันจะเป็นสิ่งที่จะถูกเผาผลาญไปเป็นลำดับแรกจากการออกกำลังกายระดับปานกลาง ดังนั้น การเดินก็อาจจะมีผลดีในการช่วยพัฒนาความสามารถของร่างกายในการสร้างสารอินซูลินออกมาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

สิ่งที่ต้องทำ : จัดทำแผนการเดินออกกำลังกาย

11. กำจัดไขมันส่วนเกินที่พุงลดไขมันส่วนเกินรอบเอว 

เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าบริเวณพุงของตัวเองเริ่มยื่นออกมามากขึ้นนั้น คุณคงต้องทำอะไรกับตัวเองสักอย่างแล้วล่ะ จากผลการศึกษาหนึ่งพบว่า การทำกิจกรรมทางร่างกายเล็กๆ น้อยๆ สามารถช่วยลดแก๊สในร่างกายและช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ เนื่องจากการทำกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้นและการหายใจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ ช่วยป้องกันอาการท้องผูกและการสะสมของแก๊สโดยการเร่งให้มีการย่อยอาหารเร็วขึ้น

สิ่งที่ต้องทำ : เดินหรือถีบจักรยานเบาๆ จนกระทั่งคุณรู้สึกดีขึ้น

 

12. ป้องกันการเกิดภาวะสมองตื้อ (Brain Fog) 

การออกกำลังกายนั้น จะทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในปัจจุบัน จากงานศึกษาวิจัยหนึ่งพบว่า การออกกำลังกายสามารถป้องกันการเกิดภาวะสมองตื้อในผู้สูงวัยได้มากเท่ากับผู้ที่อายุน้อยกว่าหลายปี กลุ่มนักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้แบ่งผู้ใหญ่ช่วงต้นที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งให้เข้าคอร์สออกกำลังกายแอโรบิก และกลุ่มที่สองไม่ต้องเข้าคอร์สออกกำลังกาย หลังจากผ่านไป 4 เดือนพบว่า กลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกายมีเนื้อสองส่วนสีเทา (Gray Matter) ในบางพื้นที่ของสมองลดปริมาณน้อยลง ในขณะที่กลุ่มที่มีการออกกำลังกายไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเนื้อสมองของตัวเองแต่อย่างใด

สิ่งที่ต้องทำ : มีการออกกำลังกายให้เป็นกิจวัตรประจำวัน หรือเข้าสมัครสมาชิกในโรงยิมออกกำลังกาย ซึ่งนอกจากคุณจะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการออกกำลังกายแล้ว การที่ร่างกายของคุณมีความสดชื่นมากขึ้นยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์สมองได้อีกด้วย

 

13. หัวใจปลอดภัยลดอาการบวมอักเสบที่เป็นอันตราย

จากงานศึกษาหนึ่ง พบว่า ผู้หญิงอ้วนและไม่ชอบการออกกำลังกายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปที่ได้เริ่มต้นออกกำลังกายแล้วนั้นจะมีระดับโปรตีน C – reactive Protein (สารในเลือดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ) ในร่างกายลดน้อยลงประมาณ 10% หลังจากที่มีการออกกำลังกายเป็นเวลา 1 ปี

 

14. ยืดอายุของตัวคุณเอง

ในความเป็นจริงนั้น การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจะทำให้รูปแบบการทำงานในร่างกายของคุณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วย ผู้ที่มีการออกกำลังกายอย่างจริงจังจะมีตัวชี้บ่งทางชีวภาพ Telomeres-cellular Biomarkers ที่ยาว (มีขนาดสั้นลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น) กว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั่วไปแต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมากเท่าใด

 

15. เพิ่มภูมิต้านทานในการเกิดโรคมะเร็งทรวงอก

การออกกำลังกายนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทรวงอกได้เท่านั้น หากแต่ยังสามารถช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ชีวิตของคุณได้ด้วยถ้าหากว่าคุณได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างทันท่วงที หญิงที่มีน้ำหนักตัวมากที่เคยออกกำลังกายมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก่อนที่จะได้รับการตรวจวินิจฉัยนั้นจะมีโอกาสที่จะเสียชีวิตน้อยกว่าหญิงที่มีการออกกำลังกายน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์มากถึง 47%

สิ่งที่ต้องทำ : ออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจเป็นการเดินเร็วๆ เมื่อคุณต้องเดินไปหยิบเอกสารในจุดต่าง ๆ เดินขึ้นลงบันไดก่อนรับประทานอาหารกลางวัน หรืออาจทำการวิดพื้นและลุกนั่ง (ซิทอัพ) เล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะที่ดูทีวี การออกกำลังกายเพียงครั้งละ 10 นาที วันละ 2 – 3 ครั้งนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ในแต่ละสัปดาห์คุณได้มีการออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : siamsety.(2009).15 ข้อดีของการออกกำลังกาย.19 กันยายน 2558.
แหล่งที่มา :  www.siamsety.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


-เสี่ยงนอนไม่หลับ-นอนไม่พอ.jpg

ร่างกายของคนเรา คุ้นเคยกับการทำกิจกรรมในตอนกลางวันและพักผ่อนในตอนกลางคืน โดยมีสมองและฮอร์โมนคอยควบคุมชีวิต ให้ดำเนินไปตามวงจรนาฬิกาชีวภาพ (Biological clock)  อย่างไรก็ตาม การทำงานในบางอาชีพ เป็นอุปสรรคสำคัญในการที่ปฏิบัติตัวตามวงจรนี้  มาดูว่ามีอาชีพอะไรบ้าง

 

1. ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ
ถึงแม้ว่าจะเป็นงานที่ท้าทาย แต่บางครั้งการทำงานโดยต้องปลุกตัวเองให้ตื่นตัวตลอดทั้งคืน ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่าย นั่นเป็นเพราะรูปแบบการทำงาน ขัดกันกับวงจรนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย ส่งผลให้นอนหลับไม่พอ เกิดการหลับในอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะกับคนที่มีอาชีพที่ต้องทำงานเป็นกะ

 

2. ผู้ดูแลระบบออนไลน์
ในขณะที่ข้อดีของระบบเครือข่ายออนไลน์ในปัจจุบัน สามารถตอบสนองความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคได้อย่างสะดวกสบายตลอด 24  ชั่วโมง แต่ข้อเสียที่ไม่อาจมองข้าม คือ ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลระบบจะต้องอดหลับอดนอน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาดูแลระบบ อาจนำมาซึ่งภาวะ นอนไม่หลับ นอนไม่พอ ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย

 

3. คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานในกะกลางคืน และพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง การดำเนินชีวิตแบบนี้ นอกจากมีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในการทำงานกับเครื่องจักรแล้ว ยังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน
และโรคซึมเศร้า

 

4. ผู้บริหาร
สำหรับผู้บริหารแล้ว ความเครียดในการบริหารงาน บริหารคน บวกกับชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน ส่งผลกระทบโดยตรงกับการพักผ่อน  ยิ่งใช้ชั่วโมงในการทำงานมากเท่าไหร่ ช่วงเวลาการพักผ่อน รวมถึงการนอนก็น้อยลงไปเท่านั้น และการนอนน้อย ก็ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน 

 

5. นักข่าว
ในชั่วโมงที่การนำเสนอข่าวแข่งกันด้วยความสด อาชีพนักข่าว ผู้รายงานข่าว ผู้ผลิตรายการ แทบจะต้องใช้เวลาตลอด 24 ชั่วโมง อุทิศให้กับการผลิตและรายงานข่าวให้ทันเหตุการณ์ การทำงานเช้ายันเช้า หรือเย็นจนถึงดึกดื่นอีกคืน เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอาชีพนี้

 

6. พยาบาล
การดูแลผู้ป่วยในสถานพยาบาล เป็นงานหนัก ต้องใช้ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน พยาบาลแทบทุกคนทำงานและเข้าเวร มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน (ส่วนใหญ่อยู่ที่ 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้ ) ซึ่งนอกจากส่งผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพแล้ว ยังลามไปถึงประสิทธิภาพในการทำงานให้กับประชาชนอีกด้วย

 

7. นักวิเคราะห์ทางการเงิน
ยิ่งเป็นนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญตลาดต่างประเทศ เช่น ยุโรป หรือเอเชีย ความต่างของเวลา ทำให้ร่างกายและสมองต้องปรับตัว ปรับชั่วโมงการทำงานที่ผิดจากเวลาปกติ นานวันไปจะส่งผลเสียต่อวงจรนาฬิกาชีวภาพของร่างกายได้

 

8. ตำรวจ
งานบำบัดทุกข์บำรุงสุข และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอด 24 ชั่วโมง  ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพยายามปรับตัว ให้พร้อมกับการเข้าเวรในกะเช้าและกะกลางคืนหมุนเวียนกันไป

 

9. แพทย์ฝึกหัด
แม้จะคุ้นเคยกับการอดหลับอดนอน ในการเรียนการสอบตอนเป็นนักเรียนแพทย์ แต่ภาวะนั้นไม่ได้จบลง การเป็นแพทย์ฝึกหัดที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในตอนกลางคืน ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์กับแพทย์หลายคน รวมทั้งการนอนน้อย ยังอาจส่งผลต่อความผิดพลาดในการวินิจฉัยผู้ป่วยอีกด้วย

 

10. นักบิน
อาชีพนักบินกับการอดนอน และนอนในเวลาที่แตกต่างแทบจะเป็นของคู่กัน ทั้งนักบินที่บินระยะสั้นแต่หลายเที่ยวบิน หรือนักบินที่บินทางไกลข้ามทวีป จะต้องเจอปัญหาการบินข้ามเวลามาซ้ำเติม การนอนหลับให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันความอ่อนล้า หรือ Pilot Fatigue ซึ่งจะทำให้คุณภาพการทำงานของนักบินลดลง กระทบต่อการตัดสินใจ และความปลอดภัยในการบิน

 

11. ครอบครัวที่มีลูกอ่อน
เลิกคิดถึงการนอนหลับยาว ๆ เมื่อเจ้าตัวน้อยพร้อมจะตื่นทุกสองสามชั่วโมงตลอดคืน งานวิจัยพบว่าคุณแม่มือใหม่อาจได้นอนถึง 7 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ใช่การนอนที่มีคุณภาพไม่มีทางหลับสนิทได้ แต่โชคดีที่สถานการณ์นี้จะคลี่คลายขึ้น เมื่อ 16 สัปดาห์ผ่านไป

 

12. คนขับรถบรรทุก
เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรในช่วงกลางวัน การเดินทางในเวลากลางคืน คือ เวลาที่คนขับรถนิยม แต่มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ส่วนใหญ่เกิดจากการหลับในของคนขับ

 

13. บาร์เทนเดอร์
งานกลางคืนที่หลายคนไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา ยิ่งดึกยิ่งตาสว่าง แต่นั่นหมายถึงสมดุลในการนอนตามธรรมชาติ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับวงจรนาฬิกาชีวภาพกำลังถูกทำลายไป โดยไม่รู้ตัว

 

อดนอนเป็นอาชีพ ส่งผลเสียอย่างไร

การนอนผิดเวลาบ่อย ๆ ทำให้วงจรนาฬิกาชีวภาพในร่างกายรวน วงจรการหลับและตื่นถูกรบกวน หลายคนต้องประสบปัญหานอนไม่หลับ ตามมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียหลับยาก หงุดหงิดง่าย ขาดสมาธิ และอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพอีกมากมาย

 

อย่าเพิ่งตกใจ ทางแก้ยังมี

  • พยายามปรับเวลาเข้านอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน
  • สร้างบรรยากาศการนอนให้เป็นเหมือนเวลากลางคืนมากที่สุด
  • อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงดังรบกวน
  • ในเวลาทำงานกะดึก พยายามหาเวลางีบบ้างซัก 15-30 นาที
  • เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ช่วยซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ
  • ออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แถมช่วยให้หลับสนิทขึ้น

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.webmd.com
ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com


-จะใช้สมุนไพรอะไรช่วยได้บ้าง.jpg

ท้องผูก เป็นอาการภาวะผิดปกติของการถ่ายอุจจาระ ซึ่งจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระน้อยผิดปกติ โดยทั่วไปน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่าผิดปกติ และอุจจาระเป็นก้อนแข็ง

 

สาเหตุ ที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก

  1. พฤติกรรมการรับประทานอาหาร ไม่รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ หรือดื่มน้ำน้อย ไม่ออกกำลังกาย
  2. ผลจากการรับประทานยา เช่น ยาคลายเครียด ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาแก้ความดันโลหิตสูง ยาลดกรด
  3. ภาวะที่ร่างกายมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน และโรคระบบประสาท นอกจากนี้ อาจเกิดจากการมีเนื้องอก หรือมะเร็ง เข้าไปอุดตันบริเวณลำไส้

เพราะฉะนั้น การรักษาอาการท้องผูกจึงต้องดูจากสาเหตุและอาการร่วมอื่น ๆ ด้วย เช่น ปวดท้องมากผิดปกติ ถ่ายเป็นมูกเลือด น้ำหนักลด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด ถ้าเป็นไม่มาก และไม่ชอบรับประทานผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใย ให้ปรับปรุงพฤติกรรมการรับประทาน และดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกายให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหว เพื่อเป็นการบรรเทาอาการเบื้องต้น แต่ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือจะใช้สมุนไพรช่วย ก็มีสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการระบาย ดังนี้

  1. ขี้เหล็ก (Senna siamea (Lam.) Irwin & Barneby) ใช้ใบอ่อน ดอก และแก่นแห้ง ประมาณ 4 – 5 กำมือ น้ำหนัก 20 – 25 กรัม ใส่น้ำให้ท่วมตัวยา ต้มนาน 25 นาที ดื่มก่อนอาหารเช้า หรือก่อนนอน
    ข้อแนะนำ ให้ใช้ในขณะที่มีอาการท้องผูก ห้ามใช้เป็นประจำและห้ามใช้ในบุคคลที่กำลังตั้งครรภ์แก่
  2. ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) ใช้ใบตากแห้งคั่วจำนวน 12 – 15 ใบย่อย ต้มกับน้ำพอควร ดื่มครั้งเดียวก่อนอาหารตอนเช้า หรือใช้ช่อดอกสด 1 – 3 ช่อดอก ลวก จิ้มน้ำพริก
    ข้อแนะนำ ให้คั่วใบชุมเห็ดเทศทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน
  3. คูณ (Cassia fistula L) ใช้เนื้อในฝักแก่สีน้ำตาลดำ ประมาณ 2 หัวแม่มือ น้ำหนัก 4 – 5 กรัม ต้มกับน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนนอน หรือเช้ามืดก่อนรับประทานอาหาร
  4. มะขาม (Tamarindus indica L) เนื้อมะขามเปรี้ยว 70 – 150 กรัม ประมาณ 10 – 20 ฝัก จิ้มเกลือรับประทาน ดื่มน้ำตามมาก ๆ หรือใส่น้ำพอประมาณต้มเดือดใส่เกลือเล็กน้อย รินน้ำดื่ม
  5. มะขามแขก (Senna alexandrina Mill) ใช้ใบแห้ง 3 – 10 กรัม หรือฝัก 5 – 8 ฝัก ต้มกับน้ำดื่ม หรือบดเป็นผงชงด้วยน้ำเดือด รับประทานก่อนนอน หรือเช้ามืดก่อนอาหาร
    ข้อแนะนำ เพื่อป้องกันการเสาะท้องให้ใส่กระวาน 1 – 2 ผล หรือกานพลู ทุบพอแหลก 1 – 2 ดอก ลงไปด้วย สตรีมีประจำเดือน หรือกำลังตั้งครรภ์ห้ามใช้ ห้ามใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  6. แมงลัก (Ocimum americanum L) ใช้เม็ดแมงลัก 1 – 2 ช้อนชา เติมน้ำเมื่อพองเต็มที่ ดื่มก่อนรับประทานอาหาร

 

ภาพประกอบจาก: www.lovepik.com


.jpg

ปัจจุบันนี้ โรคเอดส์กำลังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุข ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งโรคนี้ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ มีเพียงยาต้านไวรัสเท่านั้น ที่จะช่วยให้เชื้อไวรัสเอดส์ลดลง ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งข้อดี คือ ทำให้ไวรัสลดลง มีภูมิคุ้มกัน CD4 เพิ่มขึ้น แต่ข้อเสีย คือ มีผลทำให้เกิดภาวะผิดปกติ เช่น ตับอักเสบ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคไต ปลายประสาทอักเสบ ปวดเมื่อยตามข้อตามตัว มีผื่นขึ้นตามตัว เกิดภาวะไขมันเคลื่อนย้าย แก้มตอบ แขนขาลีบ

 

แนวคิดในการรักษา

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แนวคิดในการรักษาเปลี่ยนไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้วิธีรักษาแบบ 2 ทางที่เรียกว่า Complementary treatment หมายถึง การรักษาระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันควบคู่ไปกับแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) โดยมีหลักการดังต่อไปนี้

  1. ใช้ต้านไวรัสเพื่อลดจำนวนเชื้อไวรัส จนไม่สามารถตรวจพบได้ ปริมาณไวรัสต่ำกว่า 50 ตัวต่อลบ.มม.
  2. ใช้วิธีป้องกันข้อเสียของยาต้านไวรัส โดยการซ่อมสร้างร่างกายที่เรียกกันว่าแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) เช่น การใช้ยาสมุนไพรแบบสกัด ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ว่ามีฤทธิ์ในการปกป้อง ซ่อมสร้างร่างกาย เช่น ปกป้องตับ โดยการใช้เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ฯลฯ ใช้มะระขี้นกซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ใช้น้ำมันปลาในกลุ่มโอเมก้า 3 ป้องกันไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น สามารถช่วยปกป้องผลข้างเคียงที่เกิดจากยาต้านไวรัสได้

 

สมุนไพรที่ใช้ในการเพิ่มภูมิต้านทานในผู้ติดเชื้อเอดส์

  1. ลูกใต้ใบ พบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบสามารถยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ของ HIV-1 ได้
  2. ฟ้าทะลายโจร พบว่า สาร dehydroandrographlide succinic acid monoester ซึ่งสังเคราะห์ได้จากสาร andrographolide จากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV-1 และมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อด้วย
  3. ขมิ้นชัน พบว่า มีสารสีเหลือง curcumin ในขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ protease ของ HIV-1 และ HIV-2 และยังสามารถยับยั้งเอนไซม์ integrase ของเชื้อ HIV-1 จึงได้มีการนำ curcumin ไปทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยเอดส์อยู่ในขณะนี้
  4. เห็ดหลินจือ พบว่า มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ HIV-1 ได้ผลดี โดยป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายในช่วงแบ่งตัวของไวรัส
    และไม่เป็นพิษต่อเซลล์ และยังพบอีกว่ามีสาระสำคัญที่ช่วยในการเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย และอาการภูมิแพ้ ตุ่มคันตามผิวหนัง
  5. มะระขี้นก พบว่า มีเมล็ดแก่ของมะระขี้นก มีโปรตีน TBG-P 29 ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV โดยการยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase  ผลอ่อนใช้เป็นยาเจริญอาหาร รักษาอาการเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ได้ดี

 

ภาพประกอบจาก: www.th.wikipedia.org


.jpg

บุหรี่ มีสารพิษต่าง ๆ หลายชนิด แต่สารสำคัญที่ทำให้เกิดการเสพติด คือ นิโคติน เป็นสารที่มีลักษณะคล้ายน้ำมัน ไม่มีสี ร้อยละ 95 ของนิโคตินที่เข้าสู่ร่างกายจะไปจับอยู่ที่ปอด บางส่วนจับอยู่ที่เยื่อหุ้มริมฝีปาก และบางส่วนถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด มีผลโดยตรงต่อต่อมหมวกไต ก่อให้เกิดการหลั่งสาร อิพิเนฟริน (Epinephrine) ทำให้ความดันเลือดสูง หัวใจเต้นเร็ว หลอดเลือดรัดตัว เพิ่มไขมันในเส้นเลือด เป็นต้น

 

เมื่อหยุดสูบบุหรี่จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดนิโคตินในร่างกาย หรือที่เรียกว่าภาวะขาดนิโคติน จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว บางคนอาจเกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 วันแรกเท่านั้น และเมื่อผ่านพ้นระยะนี้แล้ว หากมีความอยากสูบบุหรี่อีกต่อไป นั่นเป็นเพียงความต้องการทางอารมณ์ หรือความเคยชินเท่านั้น ภาวะขาดนิโคตินมีอาการดังนี้ โหยหา อยากสูบบุหรี่ หงุดหงิด กระวนกระวาย ใจสั่น ไม่มีสมาธิในการทำงาน ง่วงนอน เซื่องซึม สมองตื้อ ซึมเศร้า ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ กระเพาะอาหารและลำไส้แปรปรวน

 

ยาที่ช่วยเลิกสูบบุหรี่มีหลายอย่างด้วยกัน คือ

  1. น้ำยาอดบุหรี่ (Mouth wash) มีส่วนผสมของ Sodium Nitrate โดยจะทำปฏิกิริยากับต่อมรับรสในปากทำให้สูบบุหรี่ไม่อร่อย เสียรสชาติ จึงทำให้เกิดการเบื่อบุหรี่ วิธีใช้ ใช้อมประมาณ 1 – 2 นาที แล้วบ้วนทิ้ง อย่ากลืน เพราะจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน
  2. โคลนิดีน (Clonidine) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่ ที่สำคัญ คือ มีผลทำให้ความดันโลหิตต่ำ ปัจจุบันไม่นิยมนำมาใช้กับผู้ต้องการเลิกบุหรี่
  3. สมุนไพร สมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้เกิดการเบื่อบุหรี่ เช่น หญ้าดอกขาว ซึ่งเป็นไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า มีขึ้นกระจายทั่วไปตามที่รกร้างข้างทาง ทุกภาคของประเทศไทย ใช้ทั้งต้นต้มรับประทานแก้ปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ใบสดตำให้ละเอียดปิดสมานแผล ทำให้เย็น หรือผสมกับน้ำนม คนกรองเอาแต่น้ำ หยอดตา แก้ตาแดง ตาฝ้า ตาเปียก ตาแฉะ แต่ในปัจจุบันนำมาใช้กับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ เพราะผลข้างเคียงของสมุนไพรหญ้าดอกขาว จะทำให้ช่องปากจืดรับรสได้น้อยลง และเบื่อบุหรี่ วิธีใช้สมุนไพรหญ้าดอกขาว ใช้ทุกส่วนของลำต้นโดยผ่านกระบวนการผลิต สามารถนำมาชงแทรกชาดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เป็นเวลา 10 – 15 วัน จะช่วยลดอาการหงุดหงิดจากการเปรี้ยวปากอยากสูบบุหรี่ได้

 

ภาพประกอบจาก: en.wikipedia.org


-มีสมุนไพรอะไรรักษาได้.jpg

สังคัง คือ โรคกลาก (ขี้กลาก) เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยมากในคนทุกวัย เกิดจากเชื้อราพวกเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophyte) เชื้อราพวกนี้สามารถทำให้เกิดโรคตามผิวหนังได้แทบทุกส่วนของร่างกาย ถ้าพบที่ใบหน้า คอ ลำตัว แขน ขา เรียกว่า กลากตามลำตัว (Tinea corporis) ถ้าพบที่ศีรษะเรียกว่า กลากที่ศีรษะ (Tinea capitis) ถ้าพบที่ง่ามนิ้วเท้า เรียกว่า ฮ่องกงฟุต หรือน้ำกัดเท้า (Athletw’s foot or Tinea pedis) พบที่เล็บ เรียกว่า โรคเชื้อราที่เล็บ หรือโรคกลากที่เล็บ และถ้าพบที่ขาหนีบจะเรียกว่า สังคัง (Tinea cruris)

 

อาการเริ่มแรกจะเป็นตุ่มแดง ๆ ที่ต้นขา หรือขาหนีบแล้วลุกลามเป็นวงไปที่ต้นขาด้านใน และอวัยวะเพศภายนอก (อัณฑะ หรือปากช่องคลอด) หรืออาจลามไปที่ก้น เป็นผื่นมีลักษณะสีแดง มีสะเก็ดและขอบชัดเจน มีอาการคันและมักเป็นทั้งสองข้าง มักเป็นในช่วงหน้าร้อนเพราะมีเหงื่อ อับชื้น การใส่กางเกงรัดแน่นเกินไป หรือคนที่อ้วนมาก ๆ มีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 เท่า

 

สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกลากเกลื้อน 

  1. กระเทียม ฝานกระเทียมแล้วนำมาถูบ่อย ๆ หรือตำคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่เป็น โดยใช้ไม้เล็ก ๆ หรือไม้ไผ่ที่สะอาด ขูดบริเวณที่เป็นพอให้ผิวแดง ๆ ก่อนแล้วจึงเอาน้ำกระเทียมขยี้ทา
  2. ข่า เอาหัวขาดแก่ ๆ ล้างให้สะอาด ฝานเป็นแว่นบาง ๆ หรือทุบให้แตกนำไปแช่เหล้าขาวทิ้งไว้ 1 คืน ทำความสะอาดบริเวณที่เป็น และใช้ไม้บาง ๆ เขี่ยให้ผิวแดง ๆ และใช้น้ำยาที่ได้มาทาบริเวณที่เป็น
  3. ชุมเห็ดเทศ ใช้ใบสดขยี้ หรือตำให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อย หรือใช้ใบชุมเห็ดเทศกับหัวกระเทียมเท่า ๆ กัน ผสมปูนแดงที่กินกับหมากนิดหน่อย ตำผสมกันทาบริเวณที่เป็นกลาก
  4. ทองพันชั่ง ใช้ใบ หรือราก (จำนวนที่ใช้อาจเพิ่ม หรือลดลงได้ตามอาการ) ตำให้ละเอียด แช่เหล้า หรือแอลกอฮอล์พอท่วมยาและทิ้งไว้ 7 วัน นำมาทาบริเวณที่เป็น
  5. พลู นำใบพลูสดประมาณพอเหมาะมาล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมแอลกอฮอล์ หรือเหล้าขาว แล้วใช้น้ำคั้นทา

 

การป้องกันโรคเชื้อรา

อาจป้องกันได้โดยอย่าคลุกคลี หรือใช้ของร่วมกับคนที่เป็นโรคนี้ และควรรักษาร่างกายให้สะอาดทั่วถึงอย่างสม่ำเสมอ และระวังอย่าให้มีเหงื่ออับชื้น

 

ภาพประกอบจาก: www.th.wikipedia.org


green-tea-good-health.jpg

ท่ามกลางวัฒนธรรมการดื่มชาอันเก่าแก่ หนึ่งในชาที่ถูกยกย่องในเรื่องของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็คือ “ ชาเขียว ” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน  นอกจากนั้น ยังมีแนวโน้มความนิยมที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเรามักจะเห็นชาชนิดนี้เป็นส่วนประกอบในอาหารประเภทต่าง ๆ รวมไปจนถึงงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาเขียวมากมาย

 

ชา = ศาสตร์การเยียวยาโบราณ

“ชา” ถูกใช้ทางการแพทย์เป็นครั้งแรกในกลุ่มชาวมณฑลด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว หรือราว 1,100 – 200 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งตรงกับช่วงราชวงศ์ถัง พวกเขาเชื่อว่าการดื่มชาสามารถช่วยรักษาความสมดุลในร่างกาย ความนิยมนี้ก่อให้เกิดธุรกิจการค้าใบชาขนาดใหญ่ในประเทศจีนยุคนั้น กระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และ “ชาเขียว” ก็เป็นหนึ่งในประเภทของชาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

“ชาเขียว” คือ ใบชาที่ไม่ผ่านขั้นตอนการหมัก เป็นใบสดที่เข้าสู่กระบวนการอบแห้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สามารถเก็บได้จากต้นชาที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Camellia sinensis  ทำให้รสสัมผัสที่ได้จากเครื่องดื่มชาประเภทนี้ มีความหอม สดชื่น และยังมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าใบชาประเภทอื่น ๆ อาทิ วิตามินบี วิตามิอี วิตามินซี, Polyphenol, EGCG, Catechin รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระต่างชนิดอีกมากมาย

หากพิจารณาเฉพาะสรรพคุณในการเยียวยาโดยแพทย์แผนโบราณ จะพบว่าชาเขียวนั้นไม่ว่าจะเป็นแบบใบชา หรือแบบผงมัทฉะ ล้วนส่งผลดีต่อการบรรเทาอาการปวดศีรษะ และผู้ที่ป่วยเป็นโรคสมอง นอกจากนั้น ยังแก้ร้อนใน ปรับสมดุลในร่างกาย ขับเหงื่อ และช่วยกระตุ้นความเจริญอาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่ชักนำให้ชาเขียวกลายเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ จากการวิจัยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิระดับโลกหลายท่าน

 

ชาเขียว และประโยชน์ทางการแพทย์ยุคปัจจุบัน

  1. ชาเขียวลดคอเลสเตอรอล
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์เมื่อปี 2011 พบว่า การดื่มชาเขียวทั้งในรูปแบบเครื่องดื่ม หรือการรับประทานในรูปแบบแคปซูลสกัด ล้วนส่งผลต่อการลดระดับ LDL หรือคอเลสเตอรอลประเภทไม่ดีในร่างกาย จึงเหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก หรือต้องการรักษาความสมดุลร่างกายโดยรวม
  2. ชาเขียวลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์ใน “Journal of the American Medical Association” เมื่อปี 2006 พบว่า การดื่มชาเขียวลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยคาเตชิน (Catechin) เป็นสารที่มีผลต่อการป้องกันความผิดปกติในระบบหัวใจและหลอดเลือด
  3. ชาเขียวลดความเสี่ยงเส้นโลหิตแตกเฉียบพลัน
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์ใน “Journal of the American Heart Association” พบว่า การดื่มชาเขียวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตกเฉียบพลัน โดยเจ้าของงานวิจัยนี้ คือ รศ. ดร. โยชิฮิโกะ โคคุโบะ ได้กล่าวแนะนำว่า อย่างน้อยควรดื่มชาเขียวทุกวัน ในเวลาของมื้ออาหารใดก็ได้
  4. ชาเขียวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    มีงานวิจัยทางคลินิก พบว่า ชาเขียวส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วยเช่นกัน เนื่องจากในกลุ่มผู้ทดลองทั้งมนุษย์ และสัตว์ ล้วนมีอัตราการทำงานของเซลล์ที่ดีขึ้น ทั้งการสร้าง เติบโต ซ่อมแซม ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่แข็งแรงนั่นเอง
  5. ชาเขียวช่วยบำรุงสมอง
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร “Psychopharmacology” แสดงให้เห็นว่า ชาเขียวสามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการคิดของสมอง โดยเฉพาะหน่วยความจำในการสั่งงาน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ชี้ให้เห็นว่า ชาเขียวอาจมีแนวโน้มในการรักษาความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคสมองเสื่อมได้ด้วย
  6. ชาเขียวลดความเสี่ยงอัลไซเมอร์
    จากผลการวิจัยตีพิมพ์เมื่อปี 2011 พบว่า สาร  CAGTE หรือสารสกัดจากชาเขียวที่เก็บมาจากลำไส้ใหญ่ เพื่อทำการทดสอบว่าหลังจากชาเขียวถูกย่อย และดูดซึมนั้น จะส่งผลต่อโปรตีนในร่างกายของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์อย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า สาร Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) ที่มีมากในชาเขียวอาจช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน
  7. ชาเขียวลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
    อ้างอิงจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่มีเป็นปริมาณมากในชาเขียวสามารถลดการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้ และจากการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มประเทศที่มีการบริโภคชาเขียวเป็นปริมาณมาก พบว่า มีอัตราการป่วยเป็นโรคมะเร็งของประชากรต่ำกว่า อีกทั้งผลการศึกษาในขั้นตอนถัดมายังพบว่า ชาเขียวนั้นส่งผลในเชิงบวกต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ ลำไส้ใหญ่ ลำคอ ต่อมลูกหมาก ผิวหนัง และกระเพาะอาหาร และยังส่งผลในแง่การป้องกัน ลดความเสี่ยงในกลุ่มผู้ทดลองอีกด้วย

 

จากหลักฐานงานวิจัยทั้งหมด บ่งชี้ได้ถึงคุณประโยชน์ซึ่งสามารถพิสูจจน์ได้จริงของชาเขียว จึงไม่เป็นที่แปลกใจเมื่อวงการสุขภาพมากมายต่างยกย่องให้เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอันดับหนึ่ง ที่สามารถดื่มได้ทันที ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในทุก ๆ วัน ลองเพิ่มชาเชียวลงไปในมื้ออาหาร ตามเวลาที่สะดวก จะก่อนหรือหลังรับประทานอาหารก็ได้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถดูดซึมประโยชน์ดี ๆ จากชาเขียวเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.shen-nong.com, www.medicalnewstoday.com
ภาพประกอบจาก: www.pixabay.com

 


e-exercise.jpg

ปกติแล้วในการ ออกกำลังกาย ร่างกายจะมีการใช้พลังงานจาก 3 ส่วน ได้แก่ พลังงานจากระบบฟอสฟาเจน (Phosphagen System)  พลังงานจากระบบแอนแอโรบิก (Anaerobic System) และส่วนที่สำคัญคือ พลังงานจากระบบแอโรบิก (Aerobic System) มาดูความหมายของแต่ละระบบในเบื้องต้น

 

ระบบฟอสฟาเจน (Phosphagen System)

จะเป็นระบบที่ดึงเอาพลังงานที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ (APT หรือ Adenosine Triphosphate) มาใช้ได้ทันที พลังงานในระบบนี้จะมาได้เร็วและหมดเร็วเช่นกัน โดยกล้ามเนื้อจะมีพลังงานฟอสฟาเจนไว้ใช้ในช่วงเวลา 1 – 15 วินาทีแรกของการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ เท่านั้น

 

ระบบแอนแอโรบิก (Anaerobic System)

จะเป็นระบบที่ดึงเอาพลังงานจากการสลายไกลโคเจน ที่เป็นแหล่งสะสมพลังงานในร่างกาย โดนระบบนี้จะไม่ใช้ออกซิเจนในการเผาไหม้เพื่อให้ได้พลังงาน จึงทำให้สารตั้งต้นของการสร้างพลังงาน Acetyl Coenzyme A ที่ไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ จะเปลี่ยนเป็นกรดแลคติค (Lactic Acid) สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดความเมื่อยล้า หากไม่หยุดหรือผ่อนอาจเกิดตะคริวได้ พลังงานในระบบนี้จะใช้ในช่วง 20 วินาที ถึง 2 นาทีแรกเท่านั้น

 

ระบบแอโรบิค (Aerobic System) 

เป็นระบบที่ใช้ออกซิเจนในการเผาไหม้เพื่อให้ได้พลังงานออกมา โดยเป็นการเผาผลาญไขมันที่สะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งพลังงานในระบบนี้มีอยู่มากมายและสามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสามารถออกกำลังกายได้เป็นเวลานานโดยมีพลังงานเพียงพอ ไม่รู้สึกหมดแรงหรือเหนื่อย พลังงานในระบบนี้จะเริ่มใช้ตั้งแต่นาทีที่ 2 เป็นต้นไป จนเป็นการใช้อย่างเต็มที่ หลังจากออกกำลังกายไปได้ 20 นาที

 

ทั้งนี้เมื่อมาดูที่ระดับความหนักของการออกกำลังกาย จะพบว่าร่างกายมีการใช้แหล่งพลังงานในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ตามความหนักหรือตามโซนอัตราการเต้นชองหัวใจ (Heart rate zone) โดยที่โซน 1 – 3 ร่างกายจะใช้พลังงานหลักจากไขมัน โดยการเผาผลาญแบบใช้ออกซิเจน โซน 3 – 4 ร่างกายจะใช้พลังงานหลักจากไกลโคเจน โดยการเผาผลาญแบบไม่ใช้ออกซิเจน ทำให้เกิดกรดแลคติคและความเมื่อยล้า จากการออกกำลังกายสูงในโซนนี้ และโซน 4 – 5 ร่างกายใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือด ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้เวลานาน และควรอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้หากวางแผนการกินและการออกกำลังกายไม่ดี ร่างกายอาจไปดึงเอาพลังงานที่เป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อได้ ติดตามเรื่อง ทำไมออกกำลังกายแล้ว กล้ามเนื้อหาย

 

 

จากข้อมูลเรื่อง หัวใจของการออกกำลังกาย และข้อมูลในเรื่องแหล่งพลังงานต่างๆที่ถูกนำมาใช้ในแต่ละโซนการเต้นของหัวใจ หรือความหนักของการออกกำลังกาย ผู้ที่ออกกำลังกายสามารถนำมาวางแผนการฝึกฝนได้ จากเรื่อง ออกกำลังกายแบบไหน เพิ่มความอึด ทน แกร่ง

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 

 

 

 

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก