ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

14สาเหตุและวิธีจัดการความอ่อนเพลียเหนื่อยล้า.jpg

อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า รู้สึกง่วงหงาว หาวนอนอยู่ตลอดเวลา จนทำให้คุณกลายเป็นคนมีภาพลักษณ์ที่โทรม ขาดพละกำลังที่จะทำงาน ออกกำลังกาย หรือแม้แต่การทำกิจกรรมที่เคยทำได้ดีมาก่อน ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คุณมีแนวโน้มว่าจะมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง รีบตรวจสอบแล้วหาทางแก้ที่เหมาะสมกัน   

 

1. นอนหลับไม่พอ

คุณมีแนวโน้มชัดเจนว่า นอนหลับไม่พอ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสมาธิและสุขภาพ เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการนอนหลับเป็นอันดับต้น ๆ อย่าเคยชินกับการนอนดึก โดยควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ถ้าคุณประสบปัญหานอนไม่หลับ ควรพบแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไขเสีย

 

2. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

คุณอาจไม่รู้ตัวว่าร่างกายของคุณเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) ซึ่งทุกครั้งที่เกิดภาวะนี้ จะเป็นการขัดขวางวงจรการนอนหลับ ทำให้แต่ละช่วงการนอนไม่ปกติ กรณีที่สงสัยควรติดต่อขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ วิธีแก้ในขั้นต้นคือ คุณต้องควบคุมน้ำหนักตัว งดสูบบุหรี่ และอาจจำเป็นต้องมีเครื่องมือ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) เพื่อช่วยให้การหายใจไม่ติดขัดระหว่างนอนหลับ

 

3. กินอาหารไม่พอ

การกินอาหารให้เพียงพอ หรือกินให้สมดุล มีเคล็ดลับง่าย ๆ คือ กินอาหารเช้าทุกวัน และทุกมื้อควรมีอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต อยู่ด้วย อาทิ กินไข่คู่กับขนมปังโฮลเกรน และในระหว่างมื้อถ้าหิว ให้หาอะไรกินเล็กน้อย เพื่อคงพลังงานในร่างกายให้สมดุล

 

4. ภาวะโลหิตจาง

สำหรับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน อาจเกิดอาการอ่อนเพลีย เพราะร่างกายขาดธาตุเหล็ก ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ดังนั้นช่วงที่เป็นประจำเดือนควรทานอาหารประเภท เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ตับ หอย อาหารจำพวกถั่ว และซีเรียลที่อุดมด้วยแร่ธาตุ หรือเลือกกินอาหารเสริมที่มีธาตุเหล็ก

 

5. ภาวะซึมเศร้า

ภาวะซึมเศร้า หลายๆคนมองว่าเป็นเรื่องของจิตใจ อย่างไรก็ตามภาวะดังกล่าวสามารถส่งผลต่อร่างกาย โดยเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า รวมถึงการปวดหัว เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ และอาการอื่น ๆ โดยหากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันหลายสัปดาห์ ควรขอรับคำแนะนำวิธีการรักษาจากแพทย์ทันที

 

6. ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ

ต่อมไทรอยด์ หลั่งไทรอยด์ฮอร์โมน มีหน้าที่ควบคุมเมตาบอลิซึมของร่างกาย ในการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน แต่เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การเผาผลาญจะช้าลง ทำให้ร่างกายคุณมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า

 

7. ร่างกายรับคาเฟอีนมากเกินไป

หากร่างกายรับคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไป จะทำให้ชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตสูงขึ้น บางรายจะตามมาด้วยอาการอ่อนเพลีย ทางออกที่ดีคือ ค่อย ๆ ลดปริมาณกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน แต่ไม่ควรหักดิบ เพราะนั่นจะทำให้อ่อนเพลียมากขึ้นกว่าเดิม

 

8. โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection – UTI) อาจเคยชินกับอาการปวดปัสสาวะกะทันหัน หรืออาการที่เกี่ยวกับการติดเชื้อ แต่ถ้าเกิดรายกายคุณมีอาการอ่อนเพลียนำ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด โดยแพทย์จะให้ตรวจปัสสาวะและให้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่คุณเป็นโรคในกลุ่มนี้

 

9. โรคเบาหวาน

คนที่เป็นโรคเบาหวาน จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ เพราะน้ำตาลไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์แล้วผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึมเพื่อให้ได้พลังงาน ร่างกายจึงอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าเพราะขาดพลังงาน ดังนั้น ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย และหากเป็นโรคเบาหวานจริง คุณต้องยอมเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมสุขภาพ โดยต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย รักษาด้วยอินซูลินและยาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ดีขึ้น

 

10. ร่างกายขาดน้ำ

การอ่อนเพลียของคุณ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังขาดน้ำ ไม่ว่าขณะนั้นคุณจะออกกำลังกาย หรือนั่งทำงาน ถ้าคุณมีอาการหิวน้ำบ่อย ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า ร่างกายกำลังขาดน้ำ ทางแก้ง่าย ๆ คือ ระหว่างวันควรดื่มน้ำบ่อย ๆ และควรดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง ระหว่างออกกำลังกายให้หมั่นจิบน้ำ และหลังเสร็จสิ้นการออกกำลังกายแล้ว ให้ดื่มน้ำอีก 2 แก้ว

 

11. โรคหัวใจ

หากคุณทำกิจกรรมที่เคยทำอยู่ตามปกติ เช่น ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ตัดหญ้า เล็มต้นไม้ แล้วภายหลังรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ คุณควรพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คเรื่องของโรคหัวใจหรือสาเหตุอื่นๆ  ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้คุณเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมสุขภาพ รวมถึงการใช้ยาที่จำเป็นเพื่อควบคุมภาวะโรคหัวใจ และช่วยฟื้นฟูกำลังให้กับคุณ

 

12. ทำงานผิดเวลา

การทำงานกะกลางคืน หรือทำงานเวลาไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อวงจรนาฬิกาชีวภาพ แม้จะชดเชยด้วยการนอนหลับกลางวัน แต่การนอนช่วงเวลาดังกล่าวคุณอาจหลับไม่สนิท ทางเลือกของคุณเบื้องต้นคือ จัดห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนให้มากที่สุด เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนเต็มที่ หากยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์

 

13. แพ้อาหาร

แพทย์หลายๆท่านเชื่อว่า การแพ้อาหารทำให้ง่วงนอน ดังนั้นลองสังเกตดูว่าอาการอ่อนเพลียของคุณ สอดคล้องกับอาหารที่รับประทานไหม ถ้าใช่ให้เลี่ยงอาหารชนิดนั้น หรือพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบภาวะแพ้อาหาร ซึ่งจะช่วยบ่งชี้ได้ว่า ร่างกายคุณแพ้อาหารชนิดใด

 

14. กลุ่มอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

หากคุณอ่อนเพลียต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยเฉพาะถ้ามีอาการปวด จะปวดรุนแรงมากกว่าปกติจนไม่สามารถทำงานหรือทำกิจกรรมได้ เป็นไปได้ว่าคุณอาจเป็นโรคไฟโบลไมอัลเจีย (Fibromyalgia) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ เอ็นและเนื้อเยื่ออ่อน แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาด แต่บำบัดได้ด้วยการออกกำลังกาย  เปลี่ยนไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมสุขภาพ นอนหลับให้เพียงพอ

 

ทั้งหมดอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร่างกายของคุณเกิดอาการ “อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า” ได้ คุณควรหาสาเหตุและวิธีแก้ก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากมีอาการอ่อนเพลียเพียงเล็กน้อย และไม่เกี่ยวข้องกับโรคใด ๆ การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการพักผ่อนให้เพียงพอ อาจช่วยคุณได้  

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.webmd.com
ภาพประกอบ : www.pixabay.com


Change-life-drinking-water.jpg

เปลี่ยนชีวิตให้สดใสด้วยการ “ดื่มน้ำ” เคยไหมที่บางครั้งอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหัวตื้อคิดอะไรไม่ออก สายตาพร่ามัว ผิวพรรณหยาบกระด้าง ริมฝีปากแห้งแตกระแหง ดวงตาไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง และรู้สึกง่วงอยู่ตลอดเวลา เมื่ออาการเหล่านี้เกิดกับคุณโดยเฉพาะคุณผู้หญิง อย่าได้มองข้ามอาการเหล่านี้เด็ดขาด เพราะนั่นอาจเป็นสิ่งบ่งบอกว่าร่างกายคุณกำลังขาดน้ำ ซึ่งในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้คุณติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้ มารู้กันว่าการ “ดื่มน้ำ” สำคัญอย่างไร 

 

ตามปกติแล้วปริมาณน้ำที่คุณผู้หญิงควรดื่มในแต่ละวัน อยู่ที่ 8 – 10 แก้ว สำหรับบางคนที่ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะบ่อย ๆ สามารถดื่มมากกว่านั้นได้ นอกจากนั้น ผู้ที่ติดเชื้อควรเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความอับชื้น โดยเฉพาะหลังจากออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) และปัสสาวะทุกครั้งหลังจากมีเพศสัมพันธ์ด้วย

 

รู้ได้อย่างไรว่า “ดื่มน้ำ” อย่างพอเหมาะ  

ประโยชน์ของการดื่มน้ำให้เพียงพอสำหรับร่างกายมีมากมาย สิ่งที่คุณจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนด้วยตัวเอง ก็คือ เมื่อดื่มน้ำสะอาดเพียงพอสำหรับร่างกาย สมองจะสามารถคิด ประมวลผลได้เร็วขึ้น จดจำและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น มีสมาธิในการทำงานเพิ่มขึ้น  ผิวพรรณจะเปล่งปลั่งสุขภาพดี เรียบเนียน ไร้ริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูอ่อนกว่าวัย ปวดศีรษะน้อยลง เรียกได้ว่า เปลี่ยนชีวิตให้สดใสด้วยการดื่มน้ำเลยจริงๆ

ส่วนผลลัพธ์ที่อาจมองเห็นไม่ชัดด้วยตาเปล่า เช่น การทำงานของตับและไตจะดีขึ้น ร่างกายจะขับถ่ายของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย เลือดข้น โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

นอกจากนั้น น้ำยังทำให้ข้อต่อแข็งแรง มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การดื่มน้ำมาก ๆ ยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย เพราะน้ำจะช่วยขับของเสียออกจากอวัยวะต่าง ๆ ทำให้ร่างกายสะอาดขึ้น คุณจะมีความอยากกินอาหารขยะน้อยลง และกลิ่นปากจะลดลงด้วย

 

ถ้าดื่มน้ำมากเกิน

ในทางตรงข้าม การดื่มน้ำมากเกินไปก็มีโทษเช่นกัน ลองสังเกตร่างกายของคุณว่า ดื่มแค่ไหนจึงรู้สึกพอ เพราะร่างกายจะมีกลไกที่บอกว่าได้รับน้ำเพียงพอแล้วสำหรับระยะเวลานั้น อย่าฝืนดื่มน้ำมากเกินไป โดยในช่วงอากาศร้อนจัดและรู้สึกกระหาย ควรจิบน้ำที่อยู่ในอุณหภูมิห้องทีละน้อย หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ หรือเย็นจัดร้อนจัด สังเกตปัสสาวะของตนเองอยู่เสมอ ปัสสาวะที่มีสีเหลืองเข้มอาจบ่งบอกว่าคุณกำลังขาดน้ำก็ได้ ในขณะที่ปัสสาวะสีเหลืองอ่อน คือ สิ่งบ่งบอกว่าคุณดื่มน้ำอย่างเพียงพอแล้ว

อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดกับคนจำนวนมาก คือ อาการท้องผูก และการดื่มน้ำสามารถช่วยบรรเทาท้องผูกได้เช่นกัน สาเหตุที่ทำให้คนดื่มน้ำน้อยมักท้องผูก เพราะเมื่อขาดน้ำลำไส้จะไปดึงน้ำออกจากอุจจาระเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ทำให้อุจจาระแข็งตัวและขับถ่ายลำบาก วิธีแก้ไขง่าย ๆ เบื้องต้น คือ ลองดื่มน้ำอุ่น ๆ ก่อนนอน 1 แก้ว เพราะน้ำจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร และทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น

นอกจากนั้น ผู้ที่ท้องผูกควรรับประทานอาหารจำพวกกากใย ผัก ผลไม้ให้มาก ๆ เป็นนิสัย ขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน อย่านอนดึก หรืออดนอน  และเมื่อร่างกายขับถ่ายของเสียได้ดีขึ้นแล้ว ระบบในร่างกายก็มีแนวโน้มที่จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์และเกิดอาการเมาค้างในตอนเช้า น้ำดื่มสะอาดก็สามารถช่วยคุณให้พ้นจากอาการปวดหัวได้เช่นกัน เพราะน้ำมีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ หากคืนไหนรู้สึกว่าดื่มหนัก ๆ ก่อนเข้านอนลองดื่มน้ำดู เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาน้ำจะช่วยขับแอลกอฮอล์ที่ตกค้างในร่างกายของคุณออกไป ช่วยให้คุณฟื้นคืนสภาพได้เร็วขึ้น

นอกจากการดื่มน้ำสะอาดแล้ว ผลไม้ต่าง ๆ ที่มีน้ำอยู่มาก เช่น แตงโม สับปะรด สตรอเบอรี่ แคนตาลูป ส้ม หรือแอปเปิล ก็ยังช่วยดับกระหายและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกายคุณได้ด้วย เพียงแค่เลือกรับประทานบ่อย ๆ เป็นนิสัย คุณก็จะมีสุขภาพดีขึ้นและอ่อนวัยขึ้นได้อย่างง่ายดาย

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ   
แหล่งข้อมูล: www.mindbodygreen.com
ภาพประกอบ:  www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก