ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-สามารถลดคอเลสเตอรอลและลดเบาหวาน.jpg

เจียวกู่หลาน เป็นสมุนไพรที่ได้รับการขนานนามว่า สมุนไพรแห่งชีวิตอมตะ ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้มีการศึกษามาอย่างมากมายถึงคุณประโยชน์นานัปการเทียบเคียงกับโสมได้เลยค่ะ ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายสามารถรับประทานได้ทุกวัน โดยปัจจุบัน “เจียวกู่หลาน” ถูกนำมาสกัดเป็นอาหารเสริมที่ช่วยในการควบคุมคอเลสเตอรอล และรักษาโรคเบาหวาน จึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวหรือผู้สูงวัยทั้งหลาย

 

ข้อมูลเบื้องต้นของ เจียวกู่หลาน

เจียวกู่หลานเจียวกู่หลาน หรือ Gynostemma Peenta- Phyllum Makino เป็นพืชตระกูลเดียวกับ Cucurbitaceae โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีฟเอเชีย สำหรับประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ ปัญจขันธ์ มีลักษณะเป็นเถา ลำต้นกลม มีสีเขียว โดยส่วนใหญ่จะเพาะปลูกอยู่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเจียวกู่หลานเป็นสมุนไพรที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบของชาชงสมุนไพรและอาหารสุขภาพสำหรับบำรุงร่างกาย

 

สรรพคุณของ เจียวกู่หลาน

สมุนไพรแห่งชีวิตอมตะนี้ หากทุกคนได้ทราบถึงสรรพคุณของเจ้าสิ่งนี้แล้ว คงต้องรีบหามารับประทานเป็นแน่ ซึ่งสรรพคุณหลักของเจียวกู่หลานที่มีผลวิจัยมากมายรองรับคือความสามารถในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายแบบฉับพลัน รวมไปถึงสามารถปรับสมดุลของความดันเลือด โดยหากรับประทานอย่างเป็นประจำยังจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย รวมถึงช่วยปรับสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และยังช่วยคลายความเครียดและทำให้นอนหลับได้สบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ

  1. ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล
    คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งในร่างกาย สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดได้แก่ คอเลสเตอรรอลชนิดที่ดี (High-Density Lipoprotein: HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดเจียวกู่หลานที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) โดยคอเลสเตอรอลสูง (High Cholesterol) เป็นภาวะที่ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจทำอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทั้งยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วย โดยภาวะนี้มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิ ไม่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ นอกจากนั้นอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพของตน อาทิ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ รวมถึงโรคต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง (Underactive Thyroid) ซึ่งการรักษาสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่ สำหรับการใช้ยาในการรักษาทั้งนี้ต้องดูผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของแต่ละบุคคลอีกด้วย
    .
    นอกจากนั้นเรายังสามารถใช้เจียวกู่หลานในการป้องกันและลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เนื่องจากมีการวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า เจียวกู่หลานสามารถเข้าไปควบคุมและลดปริมาณไขมันในเลือดได้ ทั้งคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้อีกด้วยค่ะ
    .
  2. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดเบาหวาน
    โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนชนิดนี้ จนทำให้มีน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก โดยสังเกตได้จาก อาการกระหายน้ำ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย สายตาพร่ามัว รวมถึงแผลหายช้า โดยการรักษาทำได้โดยฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปในร่างกาย ควบคู่กับเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกาย หากไม่ทำเช่นนี้ความร้ายแรงของโรคอาจรุนแรงไปถึงการตัดอวัยวะบางส่วนทิ้งเพื่อป้องกันการลุกลามของบาดแผลที่ไม่อาจรักษา
    .
    นอกจากวิธีดังกล่าวเรายังสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับมาปกติด้วยสมุนไพรแห่งชีวิตอมตะอย่างเจียวกู่หลาน ซึ่งนอกจากสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย โดยผ่านกลไกการยับยั้งเอนไซน์ที่เกี่ยวกับกระบวนการเมทาบอลิซึมของกลูโคส ทั้งยังกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน รวมถึงป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานด้วยการต้านอนุมูลอิสระ โดยที่ไม่พบอาการข้างเคียงอีกด้วยค่ะ
    .
  3. ช่วยคลายเครียดและทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
    เจียวกู่หลานในสถานการณ์ที่ค่อนข้างโหดร้ายต่อจิตใจ ทั้งสภาวะเศรษฐกิจและสังคม นำมาซึ่งความเครียดสะสม นอนไม่หลับ จึงทำให้จิตใจไม่ผ่องใสเท่าที่ควร ซึ่งการศึกษาเกี่ยวสมุนไพรเจียวกู่หลานพบว่า เจียวกู่หลานมีสารสกัดที่ได้จากสมุนไพร หรือ Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสมดุลภายในร่างกาย สามารถลดความเครียด และทำให้ร่างกายกลับมากระฉับกระเฉงอีกครั้ง

 

ป้องกันคอเลสเตอรอลและเบาหวาน Hi-Balanz Jiaogulan Extract ช่วยได้

ในปัจจุบันเจ้าสมุนไพรเจียวกู่หลานถูกบรรจุในผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งเราค้นพบว่า Hi-Balanz Jiaogulan Extract ตอบโจทย์ทั้งการลดระดับคอเลสเตอรอล ลดภาวะน้ำตาลในเลือด ควบคุมความกันโลหิต เพิ่มภูมิต้านทาน ต้านการอักเสบ ปรับสมดุลในร่างกาย ผ่อนคลายความเครียดช่วยให้นอนสบายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย

เจียวกู่หลาน

นอกจากนั้น Hi-Balanz Jiaogulan Extract  ยังอัดแน่นไปด้วยสารกัดจากเจียวกู่หลาน (Gynostemma Extract) ถึง 100 มิลลิกรัม โดยมีสารประกอบที่สำคัญ อาทิ Gypenoside ถึง 82 ชนิด มีส่วนในการบำรุงร่างกาย ช่วยสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มภูมิต้านทาน และต้านอนุมูลอิสระ เสริมทัพด้วย Flavonoid ที่สามาถลดระดับของคอเลสเตอรอล ป้องกันไม่ให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยไม่ให้เซลล์ภายในร่างกายถูกทำลาย ส่วน Vitamin B1 และ 2 ช่วยในการบำรุงประสาท คลายความเครียด ลดอาการปวดไมเกรน มีส่วนช่วยในการมองเห็น และสุดท้ายคือแร่ธาตุ ที่ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับการบริโภค เราสามารถบริโภคได้เป็นประจำทุกวันโดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงในร่างกายของเราอีกด้วยค่ะ

Hi-Balanz Jiaogulan

Hi-Balanz Jiaogulan Extract 30 Capsules

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.hibalanz.com

 


-Zone-diet-ต้องรู้อะไรบ้าง.jpg

Zone diet คิดขึ้นโดยดอกเตอร์ แบรี่ เชียรส์ (Dr. Barry Sears) ซึ่งเป็นนักชีวเคมี เน้นเรื่องการรักษาสมดุลของสารอาหาร ที่ช่วยทำให้การทำงานของฮอร์โมนจากระบบต่อมไร้ท่อในร่างกายเกิดความสมดุล และช่วยต้านการอักเสบในร่างกาย โดยมีหลักคิดว่าให้รับประทาน ในแต่ละมื้อให้ได้สัดส่วนพลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต: โปรตีน: ไขมัน ในสัดส่วน 4:3:3

 

  • คาร์โบไฮเดรต 40% เน้นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง มีค่าไกลซีมิคต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ผักทุกชนิด ผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน หมุนเวียนกันไป หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว พวกแป้งขัดขาว ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว น้ำตาลทราย น้ำเชื่อม ขนมปังขาว มันฝรั่ง หรือ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผ่านการแปรรูป ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มอย่างฉับพลัน
  • โปรตีน 30% ไม่จำกัดว่าได้จากอาหารประเภทใด เช่น ไข่ นม ปลา เนื้อไม่ติดมัน ไม่ติดหนัง ขนาดไม่เกินฝ่ามือในแต่ละมื้อ
  • ไขมัน 30% เน้นไขมันที่ดี เช่น ไขมันจากน้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย หรืออโวคาโด ถั่วต่าง ๆ ปลาทะเลน้ำลึกโดยลด/เลี่ยงไขมันอิ่มตัว (Saturated Fat) เพราะจะไปจับกับผนังหลอดเลือดแดง ก่อให้เกิดโรค เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงโรคอ้วน

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า สูตรการคุมอาหารแบบ Zone diet เน้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือ Glycemic control ให้คงที่ โดยการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ เสริมด้วยโปรตีนปริมาณที่เหมาะสมและไขมันชนิดดี เพื่อให้เกิดสมดุลของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วงเวลาดังกล่าว ร่างกายจะสามารถควบคุมกระบวนการอักเสบของร่างกาย รวมถึงฮอร์โมนต่าง ๆ ทำงานได้อย่างดี ในขณะที่การอยู่นอกโซน หรือ Out of Zone เป็นต้นเหตุที่จะนำไปสู่ ภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคเรื้อรังต่าง ๆ รวมไปถึงความแก่ชราก่อนวัยอันควรได้

 

หลักในการกินอาหารสูตร Zone diet คือ

  • ทานมื้อเช้าภายใน 1 ชั่วโมงหลังตื่นนอน
  • แนะนำให้ทานวันละ 5 มื้อต่อวัน โดยแบ่งเป็นมื้อหลัก 3 มื้อ มื้อว่าง 2 มื้อ
  • สิ่งสำคัญที่สุดของสูตรนี้คือ ระยะเวลาของความถี่ในการทานแต่ละมื้อ ไม่ควรเว้นระยะแต่ละมื้อนานเกิน 4 – 6 ชั่วโมง
  • ควรทานอาหารหลักหลังจากทานของว่างไปประมาณ 2 – 2.5 ชั่วโมง ไม่ว่าจะหิวหรือไม่ก็ตาม
  • ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

 

ข้อคิดเกี่ยวกับ Zone Diet

  • เน้นเรื่องการกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง
  • เน้นเรื่องการลดการอักเสบของเซลล์ในร่างกายเป็นสำคัญ
  • การรักษาระดับของฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนต่าง ๆ ทำงานได้เต็มที่และสมดุล โดยร่างกายสามารถดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานได้ดี
  • อย่างไรก็ดี สูตรไดเอทแบบ Zone diet ถูกวิจารณ์ว่า การลดคาร์โบไฮเดรตจากอาหารบางประเภท จะทำให้ร่างกายขาดกากใยอาหารที่สำคัญต่อร่างกายไปด้วย
  • มีบางการศึกษาวิจัยที่เน้นการกินคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนต่ำกว่าการกินแบบ Zone diet ก็ช่วยลดการเกิดโรคเรื้อรังและโรคอ้วนได้เช่นกัน

 

กินสูตรไดเอทแบบ Zone diet เป็นอีกหนึ่งวิธีการทานอาหารเพื่อการลดและรักษาน้ำหนักให้คงที่ได้อย่างดี นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์ในแง่ของการทำงานที่สมดุลของระบบฮอร์โมนในร่างกาย และการต้านการอักเสบในร่างกายอีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.medicalnewstoday.com
ภาพประกอบ : www.freepik.com


-ออกกำลังกายดีกว่า.jpg

เมื่อพูดถึงการมีสุขภาพดีแล้ว มักจะมีการพูดถึงการกินอาหารให้ถูกโภชนาการ การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอและแน่นอนต้องมีการออกกำลังกายที่ถูกต้องและหนักเพียงพอ ในเบื้องต้นมาดูกันว่าการออกกำลังกาย ถ้าหากทำได้อย่างถูกต้อง หนักเพียงพอ เรียกง่าย ๆ ว่าสอดคล้องกับเพศและวัยได้อย่างเหมาะสมนั้น มีข้อดีอะไรบ้าง

 

ออกกำลังกาย ช่วยลดน้ำหนัก

การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในช่องทางที่ร่างกายจะเผาผลาญพลังงาน ให้เหลือเป็นส่วนเกินเก็บสะสมในรูปของไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายน้อยที่สุด ยิ่งถ้าคุณวางแผนในการออกกำลังกายให้เหมาะสม ร่วมกันกับการกินอาหารหรือไดเอทตามหลักโภชนาการที่ถูกต้องด้วยแล้ว นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยคุณลดน้ำหนักตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ บวกเพิ่มด้วยการมีสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน

 

ออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ

การออกกำลังกายให้เหมาะสม ช่วยกระตุ้นไขมันชนิดดีที่เรียกว่า Lipoprotein (HDL) ให้สูงขึ้น โดย HDL มีหน้าที่จับคอเลสเตอรอลไปทำลายที่ตับ ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดลดลง นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ยังทำให้การหดตัวของเส้นเลือดหัวใจน้อยลง เพิ่มแขนงหลอดเลือดฝอยในหัวใจ สามารถคุมความดันไขมันและน้ำหนักตัวได้ดี

 

ออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้สูงขึ้น

การออกกำลังกายที่เหมาะสม นอกจากจะส่งผลต่อการมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจ โดยเพิ่มความมั่นใจให้สูงขึ้น ลองนึกภาพถ้าใครสามารถเปลี่ยนแปลง เช่น สามารถตื่นเช้าขึ้น สามารถคุมอาหารได้ดีขึ้น มีซิคแพค มีกล้ามอก เล่นกีฬาเก่งขึ้น ใส่เสื้อผ้ากระชับขึ้น รู้สึกตัวเองมีพลังงานมากขึ้น ความมั่นใจจะมีมากขึ้นขนาดไหน

 รู้แบบนี้แล้ว ออกกำลังกายดีกว่า

ออกกำลังกาย ช่วยเสริมให้คุมน้ำตาลในเลือดได้ดี

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลิน ได้รับการวิจัยจนเป็นที่ยอมรับแล้วว่า สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของอินซูลินที่มีอยู่ในร่างกายได้ ทำให้สามารถนำน้ำตาลในเลือดเข้าไปใช้งานในเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

 

ออกกำลังกาย ช่วยให้ร่างกายป่วยยาก

มีข้อมูลที่ยืนยันว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ส่งผลให้ป่วยยาก เช่น ลดความเสี่ยงจากการเป็นหวัด ลดความเสี่ยงภาวะจุดรับภาพที่ตาเสื่อม (Macular Degeneration) ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งทรวงอก ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองตื้อ (Brain fog) รวมถึงการลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคที่เกี่ยวกับการเผาผลาญอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคซึมเศร้า โรคมะเร็ง และโรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น

 

ออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มพลังงาน ลดอาการอ่อนเพลีย และทำให้อารมณ์ดี

จากผลการศึกษาพบว่า การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเพิ่มพลังงาน ลดอาการอ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังช่วยให้มีการหลั่งสารเคมีในสมอง เช่น สาร Norepinephrine และ Dopamine ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตลอดจนสาร Serotonin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี มีความสุข ผ่อนคลายมากขึ้น

 

ออกกำลังกาย ช่วยให้หลับดีขึ้น

จากผลการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายและหลับสนิทขึ้น เช่น ผู้หญิงสูงอายุที่ออกกำลังเป็นประจำจะตื่นกลางดึกน้อยกว่าผู้หญิงวัยเดียวกันที่ไม่ออกกำลังกายถึง 50% และมีการนอนหลับเฉลี่ยต่อคืนยาวนานกว่า 45 นาทีด้วย อย่างไรก็ตามกรณีออกกำลังกายช่วงเย็น อย่าให้ใกล้กับเวลาเข้านอนมากเกินไป เพราะการตื่นตัวของร่างกายจากการออกกำลังกาย อาจทำให้คุณนอนไม่หลับได้

 

ออกกำลังกาย ช่วยกระตุ้นอารมณ์เพศกลับมาอีกครั้ง

จากข้อมูลที่ว่าการออกกำลังกายทำให้สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง มีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้สิ่งหนึ่งที่อาจเคยขาดหายไปจากการที่คุณน้ำหนักเกิน พุงใหญ่ อ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง จะกลับมาอีกครั้ง นั่นคือเรื่องของความต้องการในเรื่องเพศ ออกกำลังอย่างเหมาะสมตั้งแต่วันนี้ เพื่อการมีสุขภาพทางเพศที่ดีในระยะเวลาอันสั้น

 

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การออกกำลังกายเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ทั้งนี้หากต้องการได้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงประเด็นทางด้านสุขภาพจากเรื่องออกกำลังกายแบบนี้ ปลอดภัยแน่

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 

 

 


-ร่างกายใช้พลังงานอย่างไร-01.jpg

ปกติแล้วในการ ออกกำลังกาย ร่างกายจะมีการใช้พลังงานจาก 3 ส่วน ได้แก่ พลังงานจากระบบฟอสฟาเจน (Phosphagen System)  พลังงานจากระบบแอนแอโรบิก (Anaerobic System) และส่วนที่สำคัญคือ พลังงานจากระบบแอโรบิก (Aerobic System) มาดูความหมายของแต่ละระบบในเบื้องต้น

 

ระบบฟอสฟาเจน (Phosphagen System)

จะเป็นระบบที่ดึงเอาพลังงานที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ (APT หรือ Adenosine Triphosphate) มาใช้ได้ทันที พลังงานในระบบนี้จะมาได้เร็วและหมดเร็วเช่นกัน โดยกล้ามเนื้อจะมีพลังงานฟอสฟาเจนไว้ใช้ในช่วงเวลา 1 – 15 วินาทีแรกของการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ เท่านั้น

 

ระบบแอนแอโรบิก (Anaerobic System)

จะเป็นระบบที่ดึงเอาพลังงานจากการสลายไกลโคเจน ที่เป็นแหล่งสะสมพลังงานในร่างกาย โดนระบบนี้จะไม่ใช้ออกซิเจนในการเผาไหม้เพื่อให้ได้พลังงาน จึงทำให้สารตั้งต้นของการสร้างพลังงาน Acetyl Coenzyme A ที่ไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ จะเปลี่ยนเป็นกรดแลคติค (Lactic Acid) สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดความเมื่อยล้า หากไม่หยุดหรือผ่อนอาจเกิดตะคริวได้ พลังงานในระบบนี้จะใช้ในช่วง 20 วินาที ถึง 2 นาทีแรกเท่านั้น

 

ระบบแอโรบิค (Aerobic System) 

เป็นระบบที่ใช้ออกซิเจนในการเผาไหม้เพื่อให้ได้พลังงานออกมา โดยเป็นการเผาผลาญไขมันที่สะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งพลังงานในระบบนี้มีอยู่มากมายและสามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสามารถออกกำลังกายได้เป็นเวลานานโดยมีพลังงานเพียงพอ ไม่รู้สึกหมดแรงหรือเหนื่อย พลังงานในระบบนี้จะเริ่มใช้ตั้งแต่นาทีที่ 2 เป็นต้นไป จนเป็นการใช้อย่างเต็มที่ หลังจากออกกำลังกายไปได้ 20 นาที

 

ทั้งนี้เมื่อมาดูที่ระดับความหนักของการออกกำลังกาย จะพบว่าร่างกายมีการใช้แหล่งพลังงานในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ตามความหนักหรือตามโซนอัตราการเต้นชองหัวใจ (Heart rate zone) โดยที่โซน 1 – 3 ร่างกายจะใช้พลังงานหลักจากไขมัน โดยการเผาผลาญแบบใช้ออกซิเจน โซน 3 – 4 ร่างกายจะใช้พลังงานหลักจากไกลโคเจน โดยการเผาผลาญแบบไม่ใช้ออกซิเจน ทำให้เกิดกรดแลคติคและความเมื่อยล้า จากการออกกำลังกายสูงในโซนนี้ และโซน 4 – 5 ร่างกายใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือด ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้เวลานาน และควรอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้หากวางแผนการกินและการออกกำลังกายไม่ดี ร่างกายอาจไปดึงเอาพลังงานที่เป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อได้ ติดตามเรื่อง ทำไมออกกำลังกายแล้ว กล้ามเนื้อหาย

 

 

จากข้อมูลเรื่อง หัวใจของการออกกำลังกาย และข้อมูลในเรื่องแหล่งพลังงานต่างๆที่ถูกนำมาใช้ในแต่ละโซนการเต้นของหัวใจ หรือความหนักของการออกกำลังกาย ผู้ที่ออกกำลังกายสามารถนำมาวางแผนการฝึกฝนได้ จากเรื่อง ออกกำลังกายแบบไหน เพิ่มความอึด ทน แกร่ง

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 

 

 

 

 


-น้ำตาลในเลือด.jpg

เรื่องของ น้ำตาลในเลือด หลังจากลำไส้เล็กย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ได้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือที่เรียกว่า น้ำตาลโมโนแซคคาไรด์ และทำการส่งไปที่ตับเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลโมโนแซคคาไรด์ประเภทอื่นให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคส (Glucose) หลังจากนั้นกลูโคสจะถูกลำเลียงผ่านกระแสเลือด ไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย

 

โดยธรรมชาติร่างกายมนุษย์จะมีกลไกควบคุมและรักษาระดับของน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุลของร่างกาย (Homeostasis) เรื่องของ น้ำตาลในเลือด ทั้งนี้มาจากค่าน้ำตาลในเลือดจะมีความผันผวนตลอดทั้งวัน โดยจะมีระดับต่ำในช่วงเช้า ก่อนการรับประทานอาหารมื้อแรก และจะเพิ่มขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร ปกติการวัดระดับน้ำตาลในเลือด จะให้ผู้วัดอดอาหารและน้ำอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

ก่อนทำการวัด โดยระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting blood sugar, FBS) ในผู้ที่ไม่เป็นเบาหวานจะอยู่ระหว่าง 70-100 มก./ดล. (mg/dL) กรณีที่ค่าที่ได้มากกว่า 100 มก./ดล. จัดอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) โดยค่าที่วัดได้ระหว่าง 100 – 125 มก./ดล. จัดอยู่ในผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน กรณีค่าที่วัดได้มากกว่า 125 มก./ดล. จัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะเบาหวาน  และกรณีระดับน้ำตาลที่วัดได้ต่ำกว่า 100 มก./ดล. จัดอยู่ในภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ทั้งนี้ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงสามารถเกิดได้กับทุกคน เช่น หลังกินอาหารที่มีน้ำตาลหรือแป้งในปริมาณมาก มีภาวะเครียด ไม่ออกกำลังกาย การกินยาบางชนิด โดยระดับน้ำตาลในเลือดอาจสูงอยู่สัก 2 – 3 ชม.

หลังจากนั้นจะกลับเข้าสู่ระดับปกติ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง ทั้งนี้ผู้ที่วัดได้ค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหารสูงแล้ว ควรได้รับการตรวจยืนยันซ้ำด้วยการทดสอบความทนต่อน้ำตาล (Oral glucose tolerance test : OGTT)

โดยให้ผู้ที่วัดดื่มน้ำตาลกลูโคส และทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มน้ำตาลไปแล้ว 2 ชั่วโมง ซึ่งค่าปกติจะต่ำกว่า 140 มก./ดล. ถ้าค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 140 – 199 มก./ดล. จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน และถ้ามีค่าที่ได้ตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไป จัดอยู่ในกลุ่มที่มีภาวะเบาหวาน

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : th.wikipedia.org   www.yaandyou.net
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก