ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

OAB.jpg

ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน หรือโอเอบี (overactive bladder หรือ OAB) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ การปวดปัสสาวะอย่างฉับพลัน ไม่สามารถรอหรือกลั้นได้ โดยอาจจะมีภาวะปัสสาวะเล็ดหลังอาการดังกล่าว รวมด้วยหรือไม่ก็ได้ ทำให้ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบหลาย ๆ ครั้ง ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน บางครั้งมีปัสสาวะเล็ดราดออกมาก่อนที่จะไปถึงห้องน้ำ เป็นปัญหาที่พบบ่อย ที่สร้างความกังวลและความยุ่งยากในการชีวิตประจำวันแก่ผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง

 

OAB เป็นภาวะที่พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่มีแนวโน้มจะพบมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบอย่างมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยการปรับพฤติกรรมร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ อย่างเหมาะสม

 

อาการ

อาการที่พบบ่อย
ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder, OAB) เป็นกลุ่มอาการเรื้อรังที่ประกอบด้วย

  • ปวดปัสสาวะเฉียบพลัน โดยรู้สึกปวดอยากถ่ายปัสสาวะขึ้นมาอย่างฉับพลัน รอต่อไม่ได้ ต้องรีบไปห้องน้ำทันที อาการนี้เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว อาจมีน้ำปัสสาวะเพียงเล็กน้อยในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีปัสสาวะออกมาไม่มาก
  • ปัสสาวะบ่อย มักมีการถ่ายปัสสาวะมากกว่า 7 ครั้งในตอนกลางวัน และมากกว่า 1 ครั้ง ในตอนกลางคืน
  • บางครั้งมีปัสสาวะเล็ดราดออกมา จากการปวดปัสสาวะเฉียบพลัน และเข้าห้องน้ำไม่ทันเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

เมื่อไรจึงควรไปพบแพทย์
ถึงแม้ว่าภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน การดำเนินชีวิตประจำวัน การเดินทาง อื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น ควรมาพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและวางแผนการรักษา เพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุด

 

สาเหตุ

ในระบบขับถ่ายปัสสาวะนั้น เมื่อไตผลิตน้ำปัสสาวะ น้ำปัสสาวะจะไหลผ่านท่อไตมาเก็บไว้ในกระเพาะปัสสาวะ โดยรอยต่อระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับท่อปัสสาวะจะมีชุดกล้ามเนื้อที่ทำงานเป็นหูรูดเปิดปิดการไหลของน้ำปัสสาวะ หูรูดนี้จะถูกควบคุมโดยระบบประสาท โดยเมื่อมีปริมาณน้ำปัสสาวะมาก และอยู่ในสถานที่ที่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้ สมองจะสั่งงานให้หูรูดคลายตัว กระเพาะปัสสาวะบีบตัวให้การขับปัสสาวะเป็นไปอย่างปกติ

ในผู้ที่มีภาวะ OAB จะมีความผิดปกติของสัญญาณดังกล่าว ทำให้มีการการคลายตัวของหูรูดอย่างเฉียบพลัน อาจรวมถึงการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ทั้งที่น้ำในกระเพาะปัสสาวะอาจยังไม่เต็มความจุ สาเหตุของความผิดปกติดังกล่าวยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยที่อาจส่งผล ดังนี้

  • โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคของระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
  • กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและท่อปัสสาวะมีการทำงานที่ผิดปกติ
  • กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะเองมีการทำงานที่ผิดปกติ
  • ความผิดปกติของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับสัญญาณ จากการมีอายุที่เพิ่มขึ้น
  • การรับประทานยาบางชนิดที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
  • การรับประทานเครื่องดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป

 

การวินิจฉัย

แพทย์วินิจฉัยภาวะ OAB ได้โดยการสอบถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติทางสูตินรีเวชในผู้หญิงร่วมกับการตรวจร่างกาย  และตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ ได้แก่

  • ตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีการอักเสบติดเชื้อหรือมีเม็ดเลือดแดงในกระเพาะปัสสาวะหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้แยกโรคหรือความผิดปกติอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกันออกไปได้
  • การทำบันทึกเวลาปัสสาวะ (Voiding diary) เพื่อดูความถี่ปริมาณ และอาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ โดยจดบันทึกว่าในวันหนึ่งๆ คุณดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ในปริมาณเท่าไร ถ่ายปัสสาวะกี่ครั้ง และปริมาณน้ำปัสสาวะที่ถ่ายออกมาแต่ละครั้ง หากมีปัสสาวะเล็ดราดให้บันทึกปริมาณปัสสาวะที่เล็ดออกมา และกิจกรรมขณะนั้นด้วย ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ว่าดื่มเข้าไปเป็นปริมาณเท่าไร และปริมาณน้ำปัสสาวะที่กระเพาะปัสสาวะสามารถกลั้นอยู่ได้
  • การตรวจวัดปัสสาวะตกค้างหลังถ่ายปัสสาวะ เป็นการตรวจโดยใช้อัลตร้าซาวด์ หรือเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อหาปริมาณน้ำปัสสาวะที่ตกค้างเหลืออยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
  • การตรวจยูโรไดนามิกส์ (Urodynamics) ในผู้ป่วยบางราย และในบางสถานพยาบาล แพทย์อาจพิจารณาตรวจยูโรไดนามิกส์ เพื่อตรวจดูว่ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวอย่างเหมาะสมหรือไม่ มีภาวะปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง หรือมีปัสสาวะตกค้างหลังขับถ่ายหรือไม่

 

การรักษา

การรักษากลุ่มอาการกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินมีหลายวิธี ทั้งนี้การรักษามักเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยจะทำให้อาการลดลง ในบางรายถึงขั้นอาการดีขึ้นจนหายไปเลย หลังจากนั้นจึงพิจารณาใช้ยาตามความเหมาะสม

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตัวอย่าง เช่น
    • ลดปริมาณการดื่มน้ำ โดยเฉพาะการดื่มน้ำก่อนเข้านอน และการลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ น้ำชา น้ำอดลม โซดา น้ำผลไม้ และแอลกอฮอล์
    • ฝึกกลั้นปัสสาวะ โดยพยายามยืดระยะระหว่างการเข้าห้องน้ำในแต่ละครั้งให้นานขึ้น เช่น จากทุก 1 ชม. ยืดออกเป็น 2 หรือ 3 ชม. ก่อนเข้าห้องน้ำในครั้งถัดไป
    • ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise) จะทำให้กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน  และกล้ามเนื้อหูรูดส่วนนอกของท่อปัสสาวะมีการหนาตัวและแข็งแรงมากขึ้น โดยการบริหารดังกล่าวจะเพิ่มแรงต้านในท่อปัสสาวะให้สูงขึ้น มี reflex ไปยับยั้งการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ และป้องกันปัสสาวะไม่เล็ดราดได้อีกด้วย
  • การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายชนิด หลักๆเป็นยาช่วยคลายหรือลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ 2 กลุ่ม คือ ยากลุ่ม Anticholinergic Drug อาจมีผลข้างเคียง คือ ปากแห้ง ตาแห้ง ปัสสาวะค้าง ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ท้องผูก การรับรู้เปลี่ยนแปลงไป และยากลุ่ม Beta 3-adrenoceptor agonist  อาจมีผลข้างเคียง คือ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการดีขึ้น จนบางครั้งสามารถหยุดยาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหลายรายยังจำเป็นต้องรับประทานยาต่อไปในระยะยาวเพื่อควบคุมอาการต่างๆ

  • การรักษาด้วยวิธีอื่น กรณีการรักษาโดยวิธีข้างต้นไม่หาย แพทย์อาจพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลได้
    • การฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum toxin) เข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ โดยการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะ เพื่อให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะคลายตัวและอาการปวดปัสสาวะฉับพลันลดลง โดยยาจะให้ผลการรักษาประมาณ 5-9 เดือน จากนั้นอาจต้องฉีดซ้ำหากจำเป็น วิธีนี้สามารถพิจารณาในผู้ป่วยที่ทานยาไม่ได้ผล หรือต้องการลดผลข้างเคียงจากการใช้ยารับประทาน อย่างไรก็ตามยาตัวนี้อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดอาการปัสสาวะไม่ออกได้
    • การใช้อุปกรณ์ปรับสมดุลระบบประสาทควบคุมกระเพาะปัสสาวะ (Neuromodulator) โดยการฝังเข็ม การใช้แผ่นแปะเพื่อส่งกระแสไฟฟ้า หรือการผ่าตัดฝังอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ในร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้เส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งทั้งหมดจะทำได้โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผล
    • การผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ เพื่อเพิ่มความจุในการเก็บน้ำปัสสาวะ แต่มีผลข้างเคียงหลายด้าน จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาถึงความจำเป็นเพิ่มเติม

 

ข้อแนะนำและการป้องกัน

  • ควรควบคุมปริมาณการดื่มน้ำและเครื่องดื่มต่าง ๆ ไม่ให้มากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อย เช่น กาแฟ น้ำอัดลม โซดา น้ำผลไม้ เครื่องดืมแอลกอฮอล์ เป็นต้น โดยเฉพาะในช่วงก่อนนอน เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดปัสสาวะบ่อย จนรบกวนคุณภาพการนอนหลับได้
  • รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อป้องกันท้องผูกซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงดันที่กระเพาะปัสสาวะมากขึ้น และทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น หากลดอาการท้องผูกได้ ปัญหาของการปัสสาวะจะลดน้อยลง
  • ฝึกกลั้นปัสสาวะหรือฝึกกำหนดเวลาในการขับถ่ายปัสสาวะ
  • บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นประจำ หรืออย่างน้อย ๆ ต่อเนื่องกันมากกว่า 8 สัปดาห์ เพื่อให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้น

 

แหล่งข้อมูล : www.mayoclinic.org  www.si.mahidol.ac.th  www.bumrungrad.com International Urogynecological Association (IUGA). Overactive bladder: A Guide for Women. 2011.
ภาพประกอบ : www.freepik.com

 

 


-Infectious-disease.jpg

โรคติดเชื้อ (Infectious disease) กิดจากเชื้อจุลชีพขนาดเล็กที่ผ่านการป้องกันโดยธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งส่งผลทำให้เกิดผลหลายอย่างส่งผลให้เกิดอาการได้ตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงเสียชีวิตได้ จนถึงปัจจุบันนี้แม้มีโรคติดเชื้อหลายโรคที่สามารถให้การรักษา หรือ การป้องกันได้ แต่มนุษย์ยังสามารถเกิดโรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่ หรือ เป็นเชื้ออุบัติใหม่ที่ยังสามารถพบได้ในปัจจุบัน

 

เชื้อก่อโรค (Pathogen) สามารถเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้ง แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อราหรือปรสิต เชื้อทั้งนี้ยังมีจุลชีพจำนวนมากอาศัยอยู่ในร่างกายของเรา โดยไม่ก่อให้เกิดโรคและเป็นประโยชน์ เรียก จุลชีพไม่ก่อโรค (Non pathogen) แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือในบางสภาวะ จุลชีพดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดโรคได้ เราเรียกการติดเชื้อในลักษณะนี้ว่าการติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic infection)

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าเชื้อก่อโรคนั้นสามารถพบได้ทั่วไป แต่เนื่องจากการทำงานที่มีประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันของมนุษย์ทำให้ เชื้อก่อโรคไม่สามารถทำอันตรายเราได้ โดยเชื้อเหล่านี้มีหลากหลาย สามารถแบ่งออกได้เป็น

  1. แบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่สามารถเห็นรูปร่าง และลักษณะได้โดยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งเป็นเชื้อที่มีขนาดเล็กมาก ดังที่กล่าวมาแล้วว่าไม่ใช่แบคทีเรียทุกชนิดที่มีปัญหาและก่อโรคในร่างกาย แต่บางชนิดทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้อีกด้วย เช่น Lactobacillus acidophilus เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ ทำหน้าที่ย่อยอาหาร และดูดซึมสารอาหารบางอย่างได้ดียิ่งขึ้น เชื้อก่อโรคจากแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ, การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือ การติดเชื้อวัณโรค เป็นต้น
  2. ไวรัส เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กกว่าเซลโดยทั่วไป และต้องการเซลของสิ่งมีชีวิตในการแบ่งตัว ซึ่งที่รู้จักกันมีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ ไวรัสเอชไอวี, เริม, หัด, สุกใส, ไข้หวัดใหญ่เป็นต้น
  3. เชื้อรา ซึ่งมีสองประเภทใหญ่ ๆ หากแบ่งตามรูปร่างคือ ยีสต์ และ ราสายการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อรามักต้องการการเสื่อมหรือเสียหายของระบบป้องกันตัวทำให้เข้าสร้างความเสียหายกับร่างกายได้
  4. โปรโตซัว เป็นสัตว์เซลเดียวที่มีลักษณะการดำรงค์ชีวิตคล้ายสัตว์ การติดเชื้อโปรโตซัวมักเป็นการติดเชื้อผ่านอาหารที่ไม่สะอาด หรือ เป็นอาหารที่อยู่ในวงจรชีวิตของโปรโตซัวเหล่านั้น
  5. หนอนตัวกลม โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะกลายเป็นตัวเต็มไว และอาจเกิดโรคกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำไส้, ปอด, ตับ ผิวหนัง

โรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic disease) หมายถึง โรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นในมนุษย์ซึงได้รับมาจากสัตว์ ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าอาจจะทำให้สัตว์ที่มีเชื้อโรคนั้นแสดงหรือไม่แสดงอาการก็ได้ โดยมีทั้ง โรคอุบัติใหม่ (emerging disease) และโรคอุบัติซ้ำ (re-emergiing) ซึ่งจากข้อมูลปัจจุบันพบว่าโรคติดเชื้อส่วนใหญ่ที่พบในมนุษย์มีความสามารถในการถ่ายทอดระหว่างคนและสัตว์

โรคติดเชื้อสามารถส่งผ่านจากผู้ป่วยไปสู่คนปกติได้ในหลายช่องทาง เช่น การหายใจ การสัมผัส การกินอาหารปนเปื้อน ถูกสัตว์ที่เป็นพาหะกัด เป็นต้น จึงเรียกได้อีกชื่อว่า “โรคติดต่อ” (Transmissible disease หรือ Communicable disease)

 

อาการ

อาการที่พบบ่อย

โรคติดเชื้อแต่ละชนิดมีอาการและอาการแสดงเฉพาะเจาะจง โดยอาการที่พบบ่อย เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ  ไอ นอกนั้นจะเป็นอาการเฉพาะขึ้นกับว่าเป็นการติดเชื้อกับอวัยวะในระบบใด เช่น อาการไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก เป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ อาการท้องเสีย ปวดท้อง อาจมีอุจจาระเป็นเลือด เมื่อเป็นการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร อาการปัสสาวะแสบ ขัด บ่อย และอาจมีปัสสาวะเป็นเลือด เมื่อเป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ อาการตกขาวผิดปกติ หรือมีแผล หนอง ที่อวัยวะเพศ อาจเป็นการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

เมื่อไรจึงควรไปพบแพทย์ 

การติดเชื้อที่ไม่รุนแรงอาจช่วยด้วยการพักผ่อนและการรักษาตามอาการอยู่กับบ้านได้ ในกรณีติดเชื้อรุนแรงหรือมีอาการดังนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที เช่น มีปัญหาในการหายใจ มีอาการไอนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ มีอาการปวดศีรษะรุนแรงมีไข้ พบผื่นหรือบวม มีไข้ที่หาสาเหตุไม่ได้เป็นเวลานาน มีปัญหาในการมองเห็นฉับพลัน

 

สาเหตุ

ประเภทของการติดเชื้อ

การติดเชื้อโดยภาพรวมสามารถแบ่งออกเป็นได้สองประเภท

  1. การติดเชื้อหลายระบบ หรือ การติดเชื้อที่ไม่มีตำแหน่งชัดเจน เช่น มาลาเรีย (malaria), การติดเชื้อเอชไอวี (HIV), การติดเชื้อไข้เหลือง (yellow fever) เป็นต้น
  2. การติดเชื้อที่มีตำแหน่งชัดเจน สามารถทำให้เกิดโรคในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง เช่น ไข้หวัด (ติดเชื้อเฉพาะทางเดินหายใจส่วนบน), การติดเชื้อในทางเดินอาหาร, การติดเชื้อในปอด และ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อในตำแหน่งเหล่านี้สามารถกระจายเชื้อทางกระเสเลือดไปตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย และ ทำให้เกิดอาการหลากหลายได้ ซึ่งสามารถทำให้เกิดโรคหรืออาการที่รุนแรงได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสองอย่าง
    • การติดเชื้อเฉพาะที่ที่รุนแรงซึ่งเกิดจากตัวเชื้อ เช่น วัณโรค ซึ่งมีความสามารถในการทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาทั่วโลกในปัจจุบันโดยเฉพาะประเทศไทย
    • การติดเชื้อเฉพาะที่ที่รุนแรงซึ่งเกิดจากตำแหน่งของการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อ ในหัวใจ หรือ ในสมอง

การติดต่อของจุลชีพก่อโรคหรือเชื้อโรค

เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดโรคติดเชื้อหรือโรคติดต่อได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมหลายช่องทาง ได้แก่

  1. การสัมผัสเชื้อโรคทางตรง
    เป็นการติดต่อโดยส่วนใหญ่ของโรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นการสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสัตว์ที่ติดโรค ซึ่งช่องทางของการติดเชื้อสามาถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่องทางใหญ่ ๆ ดังนี้

    • การติดต่อจากคนสู่คน เป็นวิธีการติดเชื้อที่พบได้บ่อย โดยเป็นการแพร่เชื้อ แบคทีเรีย, ไวรัส โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสัมผัสทางผิวหนังกับผู้ติดเชื้อสามารถทำให้เกิดโรคติดเชื้อที่เกี่ยวกับไวรัส เช่น โรคอีสุกอีใส โรคกลาก, การหายใจเอาเชื้อโรคในอากาศจากการไอ จาม ทำให้เกิดโรคติดเชื้อที่เกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่, การสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น สัมผัสเสมหะสามารถทำให้เกิดวัณโรค, การสัมผัสสารคัดหลั่งจากช่องคลอดหรือน้ำอสุจิสามารถทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อสามารถทำให้เกิดโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เป็นต้น
    • การติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น การกัดหรือข่วนโดยสัตว์ที่มีการติดเชื้อ ซึ่งอาจแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ได้ซึ่งการติดเชื้อบางอย่างอาจทำให้สามารถเสียชีวิตได้ นอกจากนี้สิ่งปฏิกูลของสัตว์ยังสามารถแพร่เชื้อได้อีกด้วย ตัวอย่างการแพร่เชื้อจากสัตว์ เช่น การได้รับเชื้อ ท็อกโซพลาสโมสิสจากการเก็บกวาดอุจจาระของแมว
    • การติดต่อผ่านแมลง เช่น ยุง, หมัด, เห็บ ซึ่งนำเชื้อจากสัตว์หรือมนุษย์ที่ติดเชื้อ ไปสู่มนุษย์รายอื่น ซึ่งเราเรียกแมลงเหล่านี้ว่าพาหะ เช่น ยุงลายที่นำเโรคไข้มาลาเรีย เป็นต้น
    • การติดต่อผ่านอาหารที่ปนเปื้อน ในอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนอาจทำให้มีเชื้อบางชนิดมีปริมาณมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นช่องทางของการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ทำไม่สุก
    • การติดต่อจากมารดาสู่ทารก ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถถ่ายทอดเชื้อก่อโรคบางชนิดได้ โดยผ่านทางรกโดยตรง หรือ ผ่านทางการคลอดทางช่องคลอด
  2. การสัมผัสเชื้อโรคทางอ้อม
    เนื่องจากเชื้อโรคบางชนิด สามารถอยู่ภายนอกร่างกายสิ่งมีชีวิตได้ในระยะเวลาหนึ่ง โดยอยู่ตามสภาพแวดล้อม เช่น ราวบันได ลูกบิด เสื้อผ้า ตุ๊กตา ผ้าห่ม รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ของผู้ติดเชื้อ ทำให้เมื่อคนไปสัมผัส เช่น มือไปโดนแล้วมาสัมผัสจมูก ปากหรือดวงตา จะสามารถรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้อีกทาง ดังนั้นการล้างมือ ก่อนสัมผัสใบหน้าของตนเองจึงเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่ดีอีกวิธ๊หนึ่ง

ปัจจัยเสี่ยง และผลของการติดเชื้อ

ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการเสมอ คือ 1. ตัวเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงของตัวเชื้อเอง หรือ จำนวนของเชื้อ 2. การตอบสนองของภูมิคุ้มกันของร่างกาย 3. ประสิทธิภาพในการรักษา

ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความไม่สะอาดของสภาพแวดล้อม โดยผู้ที่อาศัยในแหล่งชุมชนที่มีอาหาร น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภคที่ไม่สะอาด มีการใช้ข้าวของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่นจะมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ รวมถึง

ผู้มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ซึ่งเป็นได้จากสามปัจจัย

  1. ปัจจัยจากตัวผู้ป่วยเอง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยมะเร็งชนิดที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  2. ปัจจัยจากการรักษาโรคบางชนิด เช่น ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยากดภูมิในผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
  3. ปัจจัยจากการติดเชื้อที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง เช่น การิตดเชื้อเอชไอวี

 

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยเบื้องต้นสามารถทำได้โดย การซักประวัติอาการ ประวัติทางการแพทย์ การตรวจดูรอยโรค โดยอาจมีการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้

  1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เนื่องจากโรคติดเชื้อหลายชนิดทำให้เกิดอาการและอาการแสดงหลากหลาย และมีความคล้ายคลึงกันในบางโรค ดังนั้นการนำตัวอย่างจากร่างกายผู้ป่วยไปตรวจ เช่น สารคัดหลั่งอาจทำให้พบตำแหน่งของการติดเชื้อ หรือชนิดของการติดเชื้อได้
    • การตรวจเลือด โดยแพทย์/พยาบาล/นักเทคนิคการแพทย์ จะทำการใช้เข็มแทงใต้ท้องแขนหรือตำแหน่งอื่น เพื่อดูดเลือดออก ซึ่งการสืบค้นทางเลือดนับเป็นวิธีการตรวจหาการติดเชื้อโดยส่วนใหญ่ที่สำคัญได้แก่ การนำเลือดไปเพาะเชื้อแบคทีเรีย หรือตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยวิธีพีซีอาร์ เป็นต้น
    • การตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจโดยให้ปัสสาวะใส่ที่เก็บ เป็นวิธีการที่ไม่ทำให้ผู้ป่วยต้องเจ็บ หรือปวด แต่ว่าวิธีการเก็บต้องถูกต้องเนื่องจากอาจทำให้ปนเปื้อนจนแปลผลคลาดเคลื่อนได้ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะทำการเก็บจะมีการอธิบายวิธีการเก็บก่อนเพื่อให้การแปลผลได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
    • การตรวจโดยการป้ายคอ โดยใช้ไม้ปราศจากเชื้อ กวาดที่บริเวณคอเพื่อทำการส่งตรวจ เช่น การส่งตรวจหาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นต้น
    • การตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจอุจจาระของผู้ป่วยโดยจุดประสงค์หลักมักเป็นการตรวจเพื่อหา เชื้อปรสิต หรือ ไข่ที่ออกมาในทางเดินอุจจาระ
    • การตรวจน้ำไขสันหลัง เป็นการตรวจน้ำไขสันหลังของผู้ป่วย วิธีการตรวจโดยการใช้เข็มแทงทะลุผ่านช่องระหว่างกระดูกสันหลัง หลังจากที่ฉีดยาชาแล้วเพื่อเข้าไปในช่องไขสันหลังแล้วนำน้ำไขสันหลังออกมาตรวจซึ่งการตรวจวิธีนี้สามารถตรวจได้หลากหลายไม่เพียงเฉพาะโรคติดเชื้อเท่านั้น ซึ่งในระหว่างการตรวจอาจต้องมีการขอความร่วมมือจากผู้ป่วย เช่น การให้งอเข่าเข้าชิดอกเพื่อทำให้สามารถตรวจได้ง่ายขึ้น และผู้ป่วยเจ็บลดลง
  2. การตรวจภาพรังสี มีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น การถ่ายเอกซเรย์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) หรือ เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาตำแหน่งของอวัยวะที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  3. การตัดชิ้นเนื้อ ในกรณีที่ตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ทราบผล หรือ ในบางโรคที่มีความจำเป็นต้องได้ผลชิ้นเนื้อเท่านั้นในการวินิจฉัย เช่น การติดเชื้อรา โดยส่วนใหญ่เป็นการตัดชิ้นเนื้อที่ใช้ปริมาณไม่มาก

 

การรักษา

โรคติดเชื้อชนิดไม่รุนแรง สามารถรักษาตามอาการได้ แต่ในกรณีที่เป็นโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงซึ่งอาจทำให้เสียชีวิต หรือผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ทันที สาเหตุและอุปสรรคของการรักษาโรคติดเชื้อในปัจจุบันได้แก่

  1. เชื้อจุลชีพหลายชนิดที่มีความสามารถก่อโรครุนแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อรา และ เชื้อปาราสิต มีการค้นพบใหม่ทุก ๆ ปี เช่น โรคเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นต้น
  2. เชื้อจุลชีพหลายชนิดที่เคยค้นพบมาก่อน ปัจจุบันเชื้อเหล่านี้มีความสามารถที่จะดื้อหรือมีความสามารถต้านการรักษาที่มี ไม่ว่าจะเป็นยาต้านจุลชีพ เช่น เชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาหลายขนานเป็นต้น
  3. จำนวนประชากรที่มากขึ้นและอยู่กันหนาแน่น และการเดินทางสามารถทำได้ง่ายขึ้น ทำให้การระบาดของโรคติดเชื้อสามารถแพร่กระจายได้มากขึ้น

โดยภายหลังจากทราบถึงชนิดของเชื้อ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแล้ว แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาโดยให้ยาเพื่อกำจัดหรือต้านเชื้อโรคในร่างกายเป็นหลัก เช่น

  1. ยาปฏิชีวนะในกรณีที่ร่างกายติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้งนี้แบคทีเรียและยาปฏิชีวนะมีหลากหลายชนิด โดยจะมีผลในการรักษาต่อเมื่อเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่สอดคล้องกับเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะจึงจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร การซื้อยาทานเอง อาจได้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ตรงกับเชื้อที่อยู่ในร่างกาย หรืออาจทานไม่ครบปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม ทำให้เกิดเชื้อดื้อยารักษายากขึ้นและอาการไม่ดีขึ้นได้ และที่สำคัญยาปฏิชีวนะนั้นสงวนไว้ใช้กับการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ดังนั้นการติดเชื้อไวรัสจะไม่มีผลแต่อย่างใด
  2. ยาต้านไวรัสในกรณีที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสชนิดที่มียาต้าน ทั้งนี้การรักษาโดยทั่วไป จะเป็นการรักษาตามอาการ เนื่องจากร่างกายจะสร้างภูมิต้านโรคขึ้นมากำจัดไวรัสได้เอง โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาต้านไวรัสในกรณีโรครุนแรง หรือเมื่อเป็นการติดเชื้อของผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ 
  3. ยาต้านเชื้อราในกรณีที่ร่างกายติดเชื้อรา มีทั้งชนิดที่เป็นยาภายนอก (Topical antifungal drug) เพื่อรักษาโรคเชื้อราที่ผิวหนังหรือเล็บ ชนิดกินเพื่อรักษาการติดเชื้อราบางชนิดที่มีผลต่อปอดหรือเยื่อเมือก หรือชนิดฉีดเพื่อรักษาการติดเชื้อราอวัยวะภายใน โดยเฉพาะกับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  4. ยาต้านปรสิต ปรสิตบางชนิด เช่น โปรโตซัวที่ทำให้เกิดโรคมาลาเรีย จะมียาต้านเชื้อมาลาเรียอยู่หลายชนิด ทั้งนี้ แพทย์จะต้องพิจารณาถึงเรื่องการดื้อยา ในการพิจารณาใช้ยาให้เหมาะสมด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเชื้อจุลชีพบางชนิด หรือหลาย ๆ ชนิดมีความสามารถในการต้านฤทธิ์ของยาต้านจุลชีพ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ยาต้านจุลชีพที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นแพทย์ หรือผู้ป่วยควรใช้ยาต้านจุลชีพอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นสาเหตุที่กระตุ้นทำให้เกิดเชื้อดื้อยาที่สำคัญ


เชื้อดื้อยา
โดยส่วนใหญ่เมื่อกล่าวถึงเชื้อดื้อยา มักหมายความถึงเชื้อแบคทีเรียที่มีความสามารถในการตื้อยาต้านจุลชีพได้หลายขนาน ซึ่งเชื้อดื้อยาเหล่านี้สามารถก่อโรคได้ไม่แตกต่างกับเชื้อทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปอดอักเสบ, การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, การติดเชื้อในชั้นผิวหนัง

แบคทีเรียมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อเอาต้ัวรอดจากยาที่มนุษย์สร้างเพื่อฆ่าเชื้อ ซึ่งมีผลทำให้การรักษานั้น ๆ ที่เคยเป็นการรักษามาตรฐาน อาจทำให้การรักษานั้นได้ผลลดลง หรืออาจไม่ได้ผลเลยในบางราย สิ่งที่ควรทราบ คือ วิธีการที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียกระจายเร็วขึ้น เช่น

  1. ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยข้อนี้เป็นข้อที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่เหมาะสม ไม่จำเป็นจะทำให้เชื้อมีการดื้อยาได้อย่างรวดเร็วมาก ดังนั้นควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น ใช้ยาอย่างเคร่งครัด ไม่นำยาปฏิชีวนะของผู้อื่นที่มีอาการคล้ายกับเรามารับประทานเป็นต้น
  2. การป้องการติดเชื้อไม่เหมาะสม เช่น ไม่ล้างมือเมื่อสััมผัสกับผู้ป่วย หรือ ผู้ที่สงสัยว่ามีอาการป่วย
  3. อาศัยหรือทำงานในสถานที่ที่ผู้คนแออัดเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ
  4. การประกอบอาหาร หรือรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

 

ข้อแนะนำและการป้องกัน

  1. การฉีดวัคซีน
    ปัจจุบันวัคซีนเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อที่มีประสิทธิภาพ และอาจจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมากที่สุดในปัจจุบัน (IDSA, 2019) โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ และมีความรุนแรงสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนหลายชนิดในปัจจุบัน โดยวัคซีนอาจแบ่งออกเป็น

    • วัคซีนที่แนะนำให้ฉีดในผู้ป่วยทั่วไป เช่น วัคซีน คอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก, วัคซีนป้องกันสุกใส, วัคซีนป้องกัน หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน, วัคซีนป้องกันเชื้อ HPV, วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่, วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อนิวโมคอคคัส
    • วัคซีนที่แนะนำในผู้ป่วยพิเศษบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยตั้งครรภ์, ผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล, ผู้ป่วยโณคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง โรคไตเรื้อรัง โรคตับแข็ง, ผู้ป่วยที่ตัดม้าม, ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่มีจำนวน CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/uL, ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือ ปลูกถ่ายไขกระดูก
    • วัคซีนที่แนะนำในผู้ป่วยที่มีการเดินทาง เช่น วัคซีนไข้เหลือง วัคซีนอหิวาตกโรค วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอหรือบี วัคซีนไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น
  2. เสริมสร้างสุขาภิบาลในระดับชุมชน
    • สนับสนุนให้มีแหล่งน้ำสะอาด, มีการจัดการสิ่งปฏิกูลที่เหมาะสม เช่น แหล่งน้ำเสีย หรือ การกำจัดขยะให้เหมาะสม
    • เน้นและสนับสนุนการล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนและหลังการเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร หลังการใช้ห้องน้ำ อย่าแตะต้องตาจมูกหรือปากด้วยมือ เนื่องจากเป็นช่องทางหลักที่เชื้อโรคต่างๆเข้าสู่ร่างกาย
    • ดูแลขั้นตอนในการเตรียมอาหารให้สะอาดและปลอดภัย เช่น อุปกรณ์ครัว ภาชนะบรรจะการเก็บอาหารทั้งก่อนและหลังทำเสร็จ รวมถึงการปรุงอาหารควรเป็นอาหารสุกอยู่เสมอขึ้นอยู่กับอาหารแต่ละชนิด
  3. การสืบค้นโรค
    โรคติดเชื้อบางชนิดจำเป็นต้องได้รับการสืบค้นในชุมชน เพื่อหาข้อมูลของการติดต่อโรคในชุมชน รวมไปถึงเฝ้าระวังการระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้ออุบัติใหม่ หรือ โรคระบาดจากเชื้อเดิม เช่น การสืบค้นวัณโรคในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณที่แออัด เช่น ห้องขัง หรือ บริเวณที่มีผู้ติดเชื้อวัณโรคเป็นต้น
  4. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
    • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องอุปโภคบริโภคร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน หวี มีดโกน แก้วน้ำ รวมถึงจานชามในกรณีที่ไม่มั่นใจในความสะอาด
    • หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่แออัด เช่นเดียวกับบุตรหลานกรณีที่ป่วยควรอยู่กับบ้าน ไม่ควรไปโรงเรียน
    • หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย เช่น ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  5. การล้างมือ
    การล้างมือนับเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ รวมไปถึงยังป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ดีอีกด้วย ทุกครั้งที่เราสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว จะทำให้สะสมเชื้อที่อยู่ที่ต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ ดังนั้นหากเรานำมือที่มีเชื้อไปสัมผัสตามตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกายส่งผลให้สามารถแพร่เชื้อที่อยู่บนมือเข้าสู่ร่างกายของเราได้ ความจริงแล้วเราไม่อาจทำให้มือของเราปราศจากเชื้ออยู่เสมอตลอดเวลา แต่ว่าการล้างมือบ่อย ๆ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ปริมาณเชื้อที่อยู่บนมือนั้นลดลง เราควรล้างมือเมื่อ

    • ล้างมือเสมอก่อนทำสิ่งเหล่านี้
      • ก่อนรับประทานอาหาร หรือ ก่อนเตรียมอาหาร
      • ก่อนทำแผล หรือ ก่อนที่ให้การดูแลผู้ป่วย
      • ก่อนหรือหลังถอดคอนแทคเลนส์
    • ล้างมือเสมอหลังจากทำกิจกรรมเหล่านี้
      • หลังเตรียม หรือ ประกอบอาหาร
      • หลังใช้ห้องน้ำ หรือ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก/ผู้ใหญ่
      • หลังสัมผัสสัตว์ หรือ สิ่งปฏิกูลของสัตว์
      • หลังจามหรือไอหรือใช้มือปิดปาก
      • หลังทำแผล หรือ ดูแลผู้ป่วย
      • หลังทำการกำจัดขยะ
    • ล้างมือเสมอเมื่อเห็นสิ่งปนเปื้อนบนมือ

 

เอกสารอ้างอิง
  1. Infectious Diseases Society of America (2019), Fact about ID (online). Available: https://www.idsociety.org/public-health/facts-about-id/
  2. สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย, คำแนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่ และ ผู้สูงอายุ (Recommended Adult and Elderly Immunization Schedule) พ.ศ. 2561
  3. Whorld Health Organization (2019), Infectious diseases. Available: https://www.who.int/topics/infectious_diseases/en/
  4. Mayo Clinic (2019), Infectious diseases, Available: https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/infectious-diseases/symptoms-causes/syc-20351173
  5. James M. Steckelberg (2019), What are superbugs, and how can I protect myself from infection?, Available: https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/infectious-diseases/expert-answers/superbugs/faq-20129283
  6. Mayo Clinic Staff (2019), Germs: Understand and protect against baceria, viruses and infection, Available: https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/infectious-diseases/in-depth/germs/art-20045289

ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com

 


10-เรื่องไม่ลับ-เกี่ยวกับช่องคลอดของสาวๆ-h2c.jpg

หลาย ๆ คนอาจไม่สะดวกนักในการพูดถึงช่องคลอด (Vagina) และพยายามเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทน ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคน ไม่ว่าจะเพศชาย หรือเพศหญิง ต้องอยู่กับอวัยวะของร่างกายในส่วนนี้ไปอีกนาน เรามาดูกันว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่

 

1. “ช่องคลอด” อาจไม่ใช่อวัยวะส่วนที่คุณคิด

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยคิดว่าช่องคลอด (Vagina) เป็นการเรียกอวัยวะเพศของผู้หญิงทั้งหมด ไม่ว่าจะภายใน หรือภายนอก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วคำว่าช่องคลอดใช้เรียกส่วนของกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อจากปากมดลูก (Cervix) ออกมาจนถึงบริเวณแคม (Labia) และปุ่มคลิตอริสเท่านั้น

 

2. ผ้าอนามัยแบบสอดไม่สามารถหลุดหายเข้าไปในช่องคลอดได้

ผ้าอนามัยแบบสอด (Tampon) ไม่สามารถจะหลุดหายเข้าไปภายในช่องคลอดของคุณได้ แต่อาจติดอยู่ได้บ้าง ซึ่งถ้าความพยายามในการหยิบออกเองไม่สำเร็จ ควรไปพบแพทย์เพื่อนำออก การปล่อยผ้าอนามัยแบบสอดไว้ภายในร่างกายนาน ๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

 

3. คุณสามารถออกกำลังกายบริเวณช่องคลอดได้

การออกกำลังกายในส่วนของอุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่าการออกกำลังกายแบบ Kegel หรือการฝึกขมิบช่องคลอด นอกจากจะช่วยให้ช่องคลอดกระชับขึ้น ยังช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ด อาการหลวมหย่อนคล้อย และยังสามารถช่วยเรื่องการเพิ่มความพึงพอใจทางเพศ และทำให้ให้ถึงจุดสุดยอด (Climax) ง่ายขึ้น

 

4. ช่องคลอดของคุณเป็นเหมือนไวน์

สาเหตุเพราะค่า pH ปกติของช่องคลอดจะอยู่ต่ำกว่า 4.5 ซึ่งคล้ายกับค่า pH ของไวน์ และยังมี Lactobacilli ซึ่งเป็นแบคทีเรีย “ดี” ที่อาศัยอยู่ภายในช่องคลอด ช่วยในการรักษาค่า pH ในระดับดังกล่าว ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียอื่น ๆ กรณีที่ Lactobacilli ลดต่ำลง จะทำให้ค่า pH ในช่องคลอดเพิ่มขึ้นได้สูงถึง 4.5 ซึ่งเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้อย่างง่ายดาย

 

5. หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดมากหรือบ่อยเกินไป

เหตุผลที่เราควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่หอม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเข้มข้นสูง ในการทำความสะอาดช่องคลอด เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สามารถขัดขวางสมดุลตามธรรมชาติของแบคทีเรียในช่องคลอด ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย จากเหตุผลในข้อ 4 คุณแทบไม่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดลึกเข้าไปในช่องคลอดเลย เพราะมีกลไกของสารคัดหลั่ง ที่ช่วยรักษาความสะอาดและกำจัดสิ่งสกปรกออกมา ในทางปฏิบัติการใช้น้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว

 

6. สิ่งที่คุณกินมีผลต่อกลิ่นในช่องคลอด

ถ้าคุณกังวลว่าการไม่ใช้สบู่ที่มีกลิ่นหอม อาจทำให้ช่องคลอดของคุณมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ก็เปลี่ยนมาดูแลในด้านอาหารที่รับประทานได้ เพราะอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น หัวหอม กระเทียม พริก สามารถทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นที่ไม่ค่อยสดชื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ยกเว้นการที่ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หรือความผิดปกติภายใน กรณีนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อปรึกษาทันที

 

7. คลิตอริสมีเส้นประสาทอยู่จำนวนหลายพันเส้น

ถึงคลิตอริสจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของช่องคลอด แต่ถือเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงมีความสุขทางเพศ เพราะแค่เพียงส่วนปลายก็มีเส้นประสาทมากกว่า 8,000 เส้นอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเส้นประสาทในอวัยวะเพศชายกว่าสองเท่า ทำให้คลิตอริสถือได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุดแห่งหนึ่งของผู้หญิง และยังมีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าคลิตอริสสามารถเพิ่มขนาดได้ถึง 300 เปอร์เซ็นต์ เมื่อได้รับการกระตุ้นทางเพศอีกด้วย 

 

8. ช่องคลอดของคุณ “ตด” ไม่ได้

การปล่อยอากาศออกทางช่องคลอด ที่เรียกว่า “เสียงลม หรือ Queefing” นั้น  แม้ว่าจะคล้ายการผายลม (Fart) แต่ความต่าง คือ การผายลมเป็นการปล่อยก๊าซ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์จากภายในร่างกาย ขณะที่เสียงลมจากช่องคลอดเป็นแค่อากาศที่พุ่งออกจากช่วงคลอดเท่านั้น

 

9. ความเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยงระหว่างช่องคลอดกับปลาฉลาม

สารหล่อลื่นที่เกิดจากช่องคลอด มีสารประกอบที่เรียกว่าสควอลีน (Squalene) ซึ่งเป็นสารประกอบเดียวกับที่พบในตับปลาฉลาม และยังเป็นสารที่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจำนวนมาก เช่น โลชั่นที่เพิ่มความชุ่มชื้น ครีมกันแดด และผลิตภัณฑ์บำรุงผม อีกด้วย

 

10. ที่จริงแล้ว มันไม่ได้มีแค่จุด G-spot เพียงอย่างเดียว

หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยิน G-spot ซึ่งเมื่อกระตุ้นอาจทำให้เกิดความตื่นตัวทางเพศ และช่วยให้บรรลุจุดสุดยอด แต่ปัจจุบันมีการกล่าวถึงจุด A-spot (Annix Erogenous Zone) ซึ่งเป็นจุดที่พบได้ในช่องคลอด บริเวณระหว่างปากมดลูก และกระเพาะปัสสาวะ

A-spot เป็นการค้นพบที่ค่อนข้างใหม่ โดยนักวิจัยชาวมาเลเซีย Dr. Chua Chee Ann ที่ออกมาเผยผลการศึกษาว่า การกระตุ้นที่ A-spot ด้วยเวลาราว ๆ 10 – 15 นาที ในกลุ่มผู้หญิงที่มีอาการเจ็บปวด และช่องคลอดแห้ง ขาดน้ำหล่อลื่นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ สามารถช่วยในการถึงจุดสูงสุด และมีการหล่อลื่นในช่องคลอดได้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นแล้วนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เลยนะคะ

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.medicalnewstoday.com
ภาพประกอบ: www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก