ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-สามารถลดคอเลสเตอรอลและลดเบาหวาน.jpg

เจียวกู่หลาน เป็นสมุนไพรที่ได้รับการขนานนามว่า สมุนไพรแห่งชีวิตอมตะ ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้มีการศึกษามาอย่างมากมายถึงคุณประโยชน์นานัปการเทียบเคียงกับโสมได้เลยค่ะ ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายสามารถรับประทานได้ทุกวัน โดยปัจจุบัน “เจียวกู่หลาน” ถูกนำมาสกัดเป็นอาหารเสริมที่ช่วยในการควบคุมคอเลสเตอรอล และรักษาโรคเบาหวาน จึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวหรือผู้สูงวัยทั้งหลาย

 

ข้อมูลเบื้องต้นของ เจียวกู่หลาน

เจียวกู่หลานเจียวกู่หลาน หรือ Gynostemma Peenta- Phyllum Makino เป็นพืชตระกูลเดียวกับ Cucurbitaceae โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีฟเอเชีย สำหรับประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ ปัญจขันธ์ มีลักษณะเป็นเถา ลำต้นกลม มีสีเขียว โดยส่วนใหญ่จะเพาะปลูกอยู่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเจียวกู่หลานเป็นสมุนไพรที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบของชาชงสมุนไพรและอาหารสุขภาพสำหรับบำรุงร่างกาย

 

สรรพคุณของ เจียวกู่หลาน

สมุนไพรแห่งชีวิตอมตะนี้ หากทุกคนได้ทราบถึงสรรพคุณของเจ้าสิ่งนี้แล้ว คงต้องรีบหามารับประทานเป็นแน่ ซึ่งสรรพคุณหลักของเจียวกู่หลานที่มีผลวิจัยมากมายรองรับคือความสามารถในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายแบบฉับพลัน รวมไปถึงสามารถปรับสมดุลของความดันเลือด โดยหากรับประทานอย่างเป็นประจำยังจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย รวมถึงช่วยปรับสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และยังช่วยคลายความเครียดและทำให้นอนหลับได้สบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ

  1. ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล
    คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งในร่างกาย สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดได้แก่ คอเลสเตอรรอลชนิดที่ดี (High-Density Lipoprotein: HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดเจียวกู่หลานที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) โดยคอเลสเตอรอลสูง (High Cholesterol) เป็นภาวะที่ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจทำอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทั้งยังทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วย โดยภาวะนี้มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิ ไม่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ นอกจากนั้นอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพของตน อาทิ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ รวมถึงโรคต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง (Underactive Thyroid) ซึ่งการรักษาสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่ สำหรับการใช้ยาในการรักษาทั้งนี้ต้องดูผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของแต่ละบุคคลอีกด้วย
    .
    นอกจากนั้นเรายังสามารถใช้เจียวกู่หลานในการป้องกันและลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เนื่องจากมีการวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า เจียวกู่หลานสามารถเข้าไปควบคุมและลดปริมาณไขมันในเลือดได้ ทั้งคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติได้อีกด้วยค่ะ
    .
  2. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดเบาหวาน
    โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนชนิดนี้ จนทำให้มีน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก โดยสังเกตได้จาก อาการกระหายน้ำ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย สายตาพร่ามัว รวมถึงแผลหายช้า โดยการรักษาทำได้โดยฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปในร่างกาย ควบคู่กับเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกาย หากไม่ทำเช่นนี้ความร้ายแรงของโรคอาจรุนแรงไปถึงการตัดอวัยวะบางส่วนทิ้งเพื่อป้องกันการลุกลามของบาดแผลที่ไม่อาจรักษา
    .
    นอกจากวิธีดังกล่าวเรายังสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับมาปกติด้วยสมุนไพรแห่งชีวิตอมตะอย่างเจียวกู่หลาน ซึ่งนอกจากสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย โดยผ่านกลไกการยับยั้งเอนไซน์ที่เกี่ยวกับกระบวนการเมทาบอลิซึมของกลูโคส ทั้งยังกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน รวมถึงป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานด้วยการต้านอนุมูลอิสระ โดยที่ไม่พบอาการข้างเคียงอีกด้วยค่ะ
    .
  3. ช่วยคลายเครียดและทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
    เจียวกู่หลานในสถานการณ์ที่ค่อนข้างโหดร้ายต่อจิตใจ ทั้งสภาวะเศรษฐกิจและสังคม นำมาซึ่งความเครียดสะสม นอนไม่หลับ จึงทำให้จิตใจไม่ผ่องใสเท่าที่ควร ซึ่งการศึกษาเกี่ยวสมุนไพรเจียวกู่หลานพบว่า เจียวกู่หลานมีสารสกัดที่ได้จากสมุนไพร หรือ Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสมดุลภายในร่างกาย สามารถลดความเครียด และทำให้ร่างกายกลับมากระฉับกระเฉงอีกครั้ง

 

ป้องกันคอเลสเตอรอลและเบาหวาน Hi-Balanz Jiaogulan Extract ช่วยได้

ในปัจจุบันเจ้าสมุนไพรเจียวกู่หลานถูกบรรจุในผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งเราค้นพบว่า Hi-Balanz Jiaogulan Extract ตอบโจทย์ทั้งการลดระดับคอเลสเตอรอล ลดภาวะน้ำตาลในเลือด ควบคุมความกันโลหิต เพิ่มภูมิต้านทาน ต้านการอักเสบ ปรับสมดุลในร่างกาย ผ่อนคลายความเครียดช่วยให้นอนสบายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย

เจียวกู่หลาน

นอกจากนั้น Hi-Balanz Jiaogulan Extract  ยังอัดแน่นไปด้วยสารกัดจากเจียวกู่หลาน (Gynostemma Extract) ถึง 100 มิลลิกรัม โดยมีสารประกอบที่สำคัญ อาทิ Gypenoside ถึง 82 ชนิด มีส่วนในการบำรุงร่างกาย ช่วยสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มภูมิต้านทาน และต้านอนุมูลอิสระ เสริมทัพด้วย Flavonoid ที่สามาถลดระดับของคอเลสเตอรอล ป้องกันไม่ให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยไม่ให้เซลล์ภายในร่างกายถูกทำลาย ส่วน Vitamin B1 และ 2 ช่วยในการบำรุงประสาท คลายความเครียด ลดอาการปวดไมเกรน มีส่วนช่วยในการมองเห็น และสุดท้ายคือแร่ธาตุ ที่ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับการบริโภค เราสามารถบริโภคได้เป็นประจำทุกวันโดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงในร่างกายของเราอีกด้วยค่ะ

Hi-Balanz Jiaogulan

Hi-Balanz Jiaogulan Extract 30 Capsules

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.hibalanz.com

 


-และอาหารเสริมที่ไม่คุ้มค่าเงิน.jpg

วิตามิน และอาหารเสริมที่ไม่คุ้มค่าเงิน มีทั้งประโยชน์และโทษ มาดูรีวิวข้อมูลใหม่ล่าสุดกันว่าตัวไหนนะ ที่ไม่ควรเสียเงินซื้อให้สิ้นเปลือง

 

  1. กลูต้าไธโอน จวบจนปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาขนาดใหญ่ที่พิสูจน์ได้ว่า กลูต้าไธโอนแบบรับประทาน จะสามารถถูกดูดซึมได้ ความน่าจะเป็นจึงเท่ากับว่า คุณเสียตังค์ฟรีเพื่อหลอกตัวเองว่ากินแล้วขาว
  2. แอลฟ่าโทโคฟีรอล หรือ วิตามินอี การศึกษาพบว่า การรับประทานวิตามินอีในฟอร์ม แอลฟ่าโทโคฟีรอล เพียงฟอร์มเดียวนั้น ทำให้ร่างกายขาดวิตามินอีฟอร์มอื่น และอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี
  3. โอเมก้า 6 อัตราส่วนกรดไขมัน 6:3 ในร่างกายเรานั้น ควรมีค่าไม่ต่างกันมาก แต่ในน้ำมันพืชทุกชนิดที่เรารับประทาน มีแต่กรดไขมันโอเมก้า 6 เราจึงไม่จำเป็นต้องซื้อโอเมก้า 6 มารับประทานเพิ่ม ให้เกิดความไม่สมดุลมากขึ้นไปอีก
  4. น้ำมันตับปลาฉลาม สรรพคุณของน้ำมันตับปลาฉลามยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัด แต่ที่ชัดเจนคือ การรับประทานน้ำมันตับปลาฉลาม ส่งผลเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ จึงเป็นเหตุผลง่ายๆที่คุณควรคิดให้ดีก่อนเสียเงินซื้อมารับประทาน
  5. วิตามินเอ หลายการศึกษาในระยะหลังพบว่า การรับประทานวิตามินเอสังเคราะห์ ให้ผลเชิงลบมากกว่าบวก โดยเฉพาะในผู้สูบบุหรี่ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดได้ และวิตามินเอยังสะสมในร่างกาย ก่อให้เกิดอาการพิษสะสมได้หากรับประทานมากไป
  6. ธาตุเหล็ก ควรรับประทานเฉพาะผู้ที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ผู้บริจาคเลือด แต่ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ใด ๆ ไม่ควรซื้อมารับประทานเอง เพราะธาตุเหล็กที่มากเกิน ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ในร่างกายได้
  7. วิตามินทุกตัวไม่ใช่ขนม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทาน ว่าจำเป็นหรือไม่ ควรรับประทานอย่างไร มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง จึงจะปลอดภัยสูงสุด

 

ผู้เขียน: พญ. ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล. รพ.สมิตติเวช สุขุมวิท. “วิตามิน และอาหารเสริมที่ไม่คุ้มค่าเงิน” (ระบบออนไลน์)
แหล่งที่มา: www.samitivejhospitals.com
ภาพประกอบจาก: www.photos-public-domain.com

 

 


.jpg

โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia) คือ โรคที่มีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าค่าที่ถูกกำหนดขึ้น ซึ่งค่านี้ได้มาจากการเก็บข้อมูลทางสถิติของระดับไขมันในเลือดของคนสุขภาพดีทั่วไป โดยพบว่าเมื่อมีค่าเกินระดับหนึ่งแล้ว คน ๆ นั้นก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองและหลอดเลือดตามอวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกาย ทั้งนี้ระดับไขมันในเลือดที่เหมาะสมของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้จาก อายุ เพศ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ภาวะสุขภาพและปัจจัยด้านอื่น ๆ โรคนี้มีแนวโน้มพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบในผู้ที่มีอายุมากสูงกว่าผู้ที่มีอายุน้อย

 

ไขมันในร่างกาย

ปกติร่างกายคนเราจะมีไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ โดย

  • คอเลสเตอรอล (Cholesterol) แบ่งเป็น
    • ไคโลไมครอน (Chylomicron) ทำหน้าที่ขนส่งไตรกลีเซอไรด์ที่ได้จากอาหาร นำไปสะสมไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน ถูกสร้างจากเยื่อบุลำไส้เล็ก ประกอบด้วยไตรกลีเซอไรด์ ร้อยละ 84
    • วี แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล (Very Low Density Lipoprotein, VLDL-c) เป็นคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำมาก ทำหน้าที่ขนส่งไตรกลีเซอไรด์ที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับไปยังผนังหลอดเลือด เนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อ ร่างกายสร้างขึ้นจากตับและลำไส้เล็กเป็นส่วนน้อย ประกอบด้วยไตรกลีเซอไรด์ ร้อยละ 51
    • แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล (Low-Density Lipoprotein: LDL-c) เป็นคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ ทำหน้าที่ขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หากมีมากกว่าที่เซลล์ต้องการก็จะไปสะสมที่บริเวณผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบและแข็ง เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ จัดเป็นคอเลสเตอรอลหรือไขมันที่ไม่ดี มีมากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
    • เอช ดี แอล คอเลสเตอรอล (High-Density Lipoprotein: HDL-c) เป็นคอเลสเตอรอลชนิดชนิดความหนาแน่นสูง ทำหน้าที่ในการนำคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเซลล์กลับไปยังตับ เพื่อทำลายหรือขับออกในรูปของเสียจากร่างกาย จัดเป็นคอเลสเตอรอลหรือไขมันที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบได้
  • ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) เป็นไขมันประเภทหนึ่ง ช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง และให้พลังงานเมื่อร่างกายต้องการ แต่มีการสะสมที่ผนังหลอดเลือดได้เช่นกันเมื่อมีปริมาณสูงมาก ๆ แต่จะมีอิทธิพลต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าไขมันชนิดคอเลสเตอรอล

จะเห็นว่า “ไขมัน” เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะร่วมกับสารอาหารในหมู่อื่น ๆ เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารครบถ้วน อย่างไรก็ตามการบริโภคไขมันในปริมาณที่สูงเกินไป อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้

 

อาการ

อาการที่พบบ่อย
โดยปกติแล้วโรคไขมันในเลือดสูงจะไม่มีอาการแสดงให้เห็น โดยมักแสดงอาการในกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการรุนแรง หรือสาเหตุมาจากพันธุกรรม โดยอาจพบพบก้อน ตุ่มนูนหรือปื้นตรงกลางสีเหลือง ตรงขอบ ๆ อาจเป็นตุ่มพุพองสีแดง ที่เกิดจากการสะสมของคอเลสเตอรอลขนาดเล็ก ๆ บริเวณผิวหนัง ข้อศอก ข้อเข่า แขนขา แผ่นหลัง เส้นเอ็น ก้นหรือเปลือกตา ซึ่งอาจมีอาการคันได้  หรืออาจพบเอ็นร้อยหวายหนาตัวผิดปกติ หรือเส้นวงสีขาวเกิดขึ้นระหว่างตาขาวกับตาดำ

เมื่อไหร่จึงควรไปพบแพทย์เพื่อทำ
ไม่ควรรอไปพบแพทย์เมื่อมีอาการ เพราะระดับไขมันในเลือดอาจสูงมานานจนเริ่มส่งผลเสียต่อร่างกายแล้ว จึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย ตรวจหาระดับไขมันในเลือดเป็นประจำ สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้

  • มีอายุมากกว่า 40 ปี
  • มีน้ำหนักเกิน หรืออยู่ในภาวะอ้วน
  • มีประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคเกี่ยวระบบหลอดเลือดหัวใจก่อนวัยอันควร
  • มีสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูงจากพันธุกรรม
  • ผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง สมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack: TIA) หรือโรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral Artery Disease: PAD)
  • มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคไต โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง (Underactive Thyroid) หรือตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)

 

ภาวะแทรกซ้อน

ในกรณีที่ระดับคอเลสเตอรอลสูงมาก ผู้ป่วยไม่รู้เพราะไม่ได้ไปตรวจหรือไปตรวจแต่กลับมาควบคุมได้ไม่ดีพอ นานไปคอเลสเตอรอลจะค่อย ๆ ไปเกาะที่ผนังหลอดเลือดแดงได้ทั่งร่างกาย จนทำให้หลอดเลือดแข็งตัว และตีบลงจนอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ไขมันอุดตันหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย ไขมันอุดตันหลอดเลือดเลี้ยงสมอง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ (อัมพฤกษ์) ไขมันอุดตันหลอดเลือดเลี้ยงไต เป็นเหตุทำให้เกิดไตวายเรื้อรังได้ หรือทำให้หัวใจต้องทำงานหนักทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หากปล่อยไว้นานจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาอีกได้

 

สาเหตุ

เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ได้แก่

  • ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์
  • ป่วยด้วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตับ โรคต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง (Underactive Thyroid), Cushing syndrome
  • มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ผิด เช่น ทานอาหารที่มีไขมันสูง ออกกำลังกายน้อย ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่จัด
  • รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาสเตียรอยด์
  • การมีกระบวนการเมตาบอลิซึมของไขมันที่ผิดปกติเอง

 

การวินิจฉัย

การเจาะเลือดตรวจระดับไขมันในเลือด แพทย์จะเจาะและวัดค่าไขมัน 4 ค่า ซึ่งมีเกณฑ์วัดระดับคอเลสเตอรอลระบุไว้ดังนี้

  • ระดับคอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol)
    • ปกติ: น้อยกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร mg/dl
    • สูงเล็กน้อย: 200 – 239 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูง: มากกว่า 240 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ระดับแอล ดี แอล (LDL-c) หรือคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี
    • ปกติ: น้อยกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • ใกล้เคียงปกติ: 100 – 129 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูงเล็กน้อย: 130 – 159 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูง: 160 – 189 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูงมาก: มากกว่า 190 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ระดับเอช ดี แอล (HDL-c)
    • ต่ำ: น้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูง: มากกว่า 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
    • ปกติ: ต่ำกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูงเล็กน้อย: 150 – 199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูง: 200 – 499 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
    • สูงมาก: มากกว่า 500 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

ในการสรุปผลการตรวจ จะดูที่ระดับ LDL-c ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีเป็นหลัก หากมีระดับที่สูงแปลว่าผู้ตรวจมีคอเลสเตอรอลสูง ขณะที่ระดับคอเลสเตอรอลรวม หากมีอยู่ในระดับสูงก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดภาวะคอเลสเตอรอลสูงหรือไม่ แต่อาจระบุได้ว่ามีความผิดปกติ ต้องดูที่ระดับ LDL-c ร่วมด้วย ส่วนระดับ HDL-c ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี หากมีสูงก็จะช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีให้ลดลงได้

หลังจากได้ค่าไขมันชนิดต่าง ๆ แล้วพบว่ามีความผิดปกติ อันดับแรกจะต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากมีโรคอื่นๆที่ทำให้ระดับไขมันผิดปกติอยู่หรือไม่ หากไม่พบสาเหตุของโรคอื่นๆที่ทำให้ระดับไขมันผิดปกติดังกล่าวแล้ว จะต้องแบ่งกลุ่มผู้ป่วยตามชนิดของไขมันที่วัดได้ผิดปกติ และพยายามหาสาเหตุ โดยอาศัยการตรวจร่างกาย เช่น การดูก้อนไขมัน การซักประวัติของโรคไขมันสูงในครอบครัว การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุของแต่ละโรคที่ทำให้มีระดับไขมันในเลือดสูงนั้น ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ/โรคหัวใจขาดเลือดไม่เหมือนกัน รวมทั้งการเลือกรูปแบบการรักษาและชนิดของยาที่จะตอบสนองก็ต่างกัน

 

การรักษา

การรักษาโรคไขมันในเลือดสูงขึ้นอยู่กับจำนวนความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด

  • ถ้าไม่มีความเสี่ยงเลยหรือมีความเสี่ยงเพียง 1 ข้อ : ค่า LDL > 160 mg/dl ให้ใช้การรักษาโดยไม่ใช้ยาลดไขมันในเลือด 3 เดือน แล้วตรวจซ้ำ ถ้ายัง > 160 ให้ใช้ยารักษาควบคู่ไปด้วย แต่ถ้าค่า LDL > 190 ก็ให้เริ่มใช้ยาไปเลยควบคู่กับการรักษาโดยไม่ใช้ยา
  • ถ้ามีความเสี่ยงตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป : ค่า LDL > 130 ให้ใช้การรักษาโดยไม่ใช้ยาลดไขมันในเลือด 3 เดือน แล้วตรวจซ้ำ ถ้ายัง > 130 ให้ใช้การรักษาโดยใช้ยาควบคู่กับการรักษาโดยไม่ใช้ยา
    .
    ในกรณีที่เป็นโรคเบาหวานหรือเคยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ/โรคหัวใจขาดเลือดมาแล้ว ค่า LDL > 100 ให้ใช้การรักษาโดยไม่ใช้ยา ถ้า LDL > 130 ให้ใช้ยาควบคู่กับการรักษาโดยไม่ใช้ยา


การรักษาโดยไม่ใช้ยา

  • การควบคุมอาหาร ผู้ป่วยที่มีระดับกลุ่มไขมัน LDL สูงจะต้องลดอาหารที่มีคอเลสเตอรอลให้น้อยกว่า 300 mg ต่อวัน โดยอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ต่างๆ เนื้อสัตว์ติดมัน กุ้ง หอย ปลาหมึก ไข่ปลา เป็นต้น และต้องลดอาหารประเภทไขมันให้น้อยกว่า 30% ของปริมาณแคลอรีที่ร่างกายได้รับต่อวัน (โดยเฉลี่ยคือ 1,500 – 2,000 กิโลแคลอรี/วัน) โดยต้องเป็นอาหารที่กรดไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10% ซึ่งอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงพบมากในอาหารผัด ทอด ที่ใช้น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม เนย หรืออาหารที่ใช้กะทิ เป็นต้น ส่วนผู้ป่วยที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงต้องลดอาหารประเภทแป้งขัดสีเช่น ขนมปังชนิดต่างๆ รวม ถึงปาท่องโก๋ โดนัท เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี มักกะโรนี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
  • การออกกำลังกาย จะช่วยลดระดับไขมันชนิดต่างๆได้และช่วยเพิ่มระดับไขมัน HDL แต่ที่สำ คัญคือการออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ/โรคหัวใจขาดเลือดได้ แม้มีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นร่วมอยู่ด้วยก็ตาม
  • การลดน้ำหนัก ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวเกินต้องลดน้ำหนัก ซึ่งจะช่วยให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงและช่วยเพิ่มระดับกลุ่มไขมัน HDL ได้

การรักษาโดยใช้ยา
จุดประสงค์หลักของการใช้ยาลดไขมัน คือ เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดตีบตันในคนที่ยังไม่เป็น

และ หากเกิดแล้วก็เป็นการป้องกันการกลับเป็นซ้ำอีกโดยแนวทางการรักษาได้มีการเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มุ่งลดระดับ LDL-c ให้อยู่ในค่าที่ต้องการ มาเป็นการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนมากกว่า โดยมียาที่แพทย์สามารถเลือกใช้

  • ยากลุ่ม HMG-CoA reductase inhibitor (HMG-CoAR) รู้จักกันในชื่อที่ลงท้ายว่า Statin เช่น atorvastatin, rosuvastatin, simvastatin, pravastatin, pitavastatin ยาในกลุ่มนี้ลด LDL-c ได้ร้อยละ 18 – 55% เพิ่ม HDL-c ได้ร้อยละ 5-15% และลด TG ได้ร้อยละ 7 – 30% พบว่าการให้ยานี้เพื่อลดไขมันจะทำให้อัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง
  • ยากลุ่ม Fibric acid derivatives (Fibrates) ยากลุ่มนี้ใช้ลดไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับ HDL-c ในเลือด สามารถลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ในผู้ป่วยที่มีไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 200 mg/dl ยามีผลข้างเคียงและข้อห้ามในการใช้
  • ยากลุ่ม Nicotinic acid และ analogue จัดเป็นวิตามินบี ยากลุ่มนี้ลด LDL-c ได้ 5 – 25 % เพิ่ม HDL-c 15 – 35% ลด Triglyceride ได้ร้อยละ 20 – 50 ยามีผลข้างเคียงและข้อห้ามในการใช้
  • ยากลุ่ม Bile acid sequestrants (Cholestyramine) ยากลุ่มนี้ลด LDLได้ร้อยละ15 – 30%และเพิ่มระดับ HDLได้ร้อยละ 3 – 5 % ยามีผลข้างเคียงและข้อห้ามในการใช้
  • น้ำมันปลา (Fish oil) สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้

ยาลดไขมันทุกชนิดมีข้อบ่งชี้ในการใช้ ขนาดในการใช้ ข้อห้ามและผลข้างเคียง จึงควรปรึกษาแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์แนะนำเท่านั้น

 

ข้อแนะนำและการป้องกัน

  • กินให้ถูกโภชนาการ กองโภชนาการ กรมอนามัย ได้ออกข้อปฏิบัติในการกินเพื่อสุขภาพดีหรือธงโภชนาการ โดยแต่ละมื้อควรมีอาหารหลักครบ 5 หมู่ ในแต่ละหมู่ควรมีเมนูที่หมุนเวียน ไม่จำเจ โดยกินให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้องมี กลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวขัดสีน้อยสลับกับแป้งมากที่สุด ต่อด้วยกลุ่มวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหาร เช่น ผักและผลไม้ ต่อด้วยกลุ่มโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว ไข่ นม และทานน้ำมัน น้ำตาล เกลือ เท่าที่จำเป็น
    .
    หากน้ำหนักตัวเกินและต้องการลดน้ำหนักอาจแบ่งอาหารในจาน ออกเป็น 4 ส่วน เน้นวิตามิน เกลือแร่จากผักและผลไม้ 2 ส่วนหรือ 50% โปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่ว ไข่ นม เป็น 1 ส่วน และลดข้าวหรือแป้งเหลือ 1 ส่วนในแต่ละมื้อ
    .
  • ออกกำลังกายให้หนักพอเหมาะ สม่ำเสมอทุกอาทิตย์ ควรออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน การเต้นแอโรบิค ให้หัวใจเต้นอยู่ในโซน 2-3 ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที  3 ครั้งต่อสัปดาห์ขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินของร่างกาย
    .
    นอกจากนี้ ควรจัดเวลาออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของร่างกายควบคู่ไปด้วย
    .
  • ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมกับเพศและวัย ดูแลน้ำหนักตัวให้เหมาะสมกับส่วนสูง เบื้องต้นคำณวนจากค่า BMI โดยค่า BMI มากกว่า 25 ถือเป็นการเริ่มต้นโรคอ้วน และเสี่ยงต่อการเป็นไขมันในเลือดสูงและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • งดหรือลดเหล้า บุหรี่และแอลกอฮอล์ ผู้ที่ดื่มหรือสูบจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคในระบบอวัยวะต่างๆ รวมถึงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคหลอดเลือดสมองตีบ-แตก-ตัน โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคปอดและระบบทางเดินหายใจ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพเป็นการตรวจหาความผิดปกติ ที่อาจเป็นสัญญาณของโรคที่ซ่อนอยู่ หรือภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอนาคต รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรค การตรวจสุขภาพเป็นประจำโดยเฉพาะ การตรวจหาระดับไขมันในเลือดและพบในระยะเริ่มต้นจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการปรับพฤติกรรมและการรักษา
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ซื้อยาทานเองและพบ
  • แพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน

 

แหล่งข้อมูล : www.srinagarind.md.kku.ac.th  www.siamhealth.net  med.mahidol.ac.th

ภาพประกอบ : www.freepik.com

 

 


.jpg

เพิ่มฮอร์โมนเพศชายให้เป็นหนุ่มสุขภาพดี หนุ่มคนไหนอยากมีสุขภาพแข็งแรง เป็นหนุ่มนาน ๆ มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ต้องตาติดใจสาว ๆ เพียงทำตาม 10 วิธีนี้ที่จะทำให้ฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเทอโรน) ของคุณเพิ่มขึ้นค่ะ

1. ออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก

ซึ่งจะช่วยให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายออกมานานถึง 48 ชั่วโมง นั่นหมายถึงว่าคุณจะมีฮอร์โมนเพศชายมาช่วยดูแลร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญไขมันดีขึ้น สร้างกล้ามเนื้อดีขึ้นไปถึง 48 ชั่วโมง ต่อการยกน้ำหนัก 1 ครั้งเลย สำหรับการยกที่ดีคือการยกที่ใช้กล้ามเนื้อมากกว่ามัดเดียว อย่างเช่น ท่าที่ต้องใช้ทั้งหลัง แขน อก ไหล่ แต่ก็ควรระวังคือ ควรเริ่มการยกจากน้ำหนักน้อย ๆ แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ยกครั้งแรกก็ใช้น้ำหนักมากเลย เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้

 

2. ดูกีฬา

อาจจะงงว่าทำไมดูกีฬาแล้วฮอร์โมนเพศชายถึงสูงขึ้นได้ นั่นก็เพราะว่าการดูกีฬาโดยเฉพาะได้เชียร์ทีมที่คุณชอบจะทำให้ร่างกายเราตื่นเต้น มีความสุข และทำให้ฮอร์โมนเพศชายพุ่งสูงขึ้นประมาณ 15 – 20% ยิ่งถ้าทีมที่คุณเชียร์ชนะ และทำให้คุณเกิดอาการดีใจและมีความสุขมาจากจิตใต้สำนึก ฮอร์โมนเพศชายจะเพิ่มสูงขึ้นเกิน 20% แต่ถ้าทีมแพ้จะเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 10% แต่แม้ว่าทีมที่คุณเชียร์จะแพ้หรือชนะ ยังไงก็ยังช่วยเพิ่มฮอร์โมนให้คุณอยู่ดีนี่นา

 

3. กินไขมันดี

ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน ที่พบมากในน้ำมันมะกอกน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน และไขมันโอเมก้า 3 6 9 ที่พบในปลา ถั่ว อโวคาโด้ ไขมันพวกนี้สามารถกินเยอะได้ไม่อ้วน และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนเพศชาย ถ้ามีเยอะร่างกายก็ยิ่งพัฒนา และซ่อมแซมตัวเองได้ดี

 

4. กินไข่

คนชอบคิดว่ากินไข่แล้วไม่ดี มีคอเลสเตอรอลเยอะ ซึ่งไม่จริง เพราะคอเลสเตอรอลจากไข่เป็นคอเลสเตอรอลดี (HDL) ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพื่อใช้สร้างและซ่อมแซมร่างกาย แล้วในไข่ยังมีธาตุสังกะสี วิตามินบี ที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชายด้วย

5. ออกกำลังกายแค่พอเหมาะและผ่อนคลายบ้าง

บางคนชอบคิดว่าเราต้องออกกำลังกายเยอะ ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวอ้วน เดี๋ยวสุขภาพไม่ดี เดี๋ยวไม่มีกล้าม นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด ในทางกลับกันถ้าเราไม่พัก เอาแต่ออกกำลังกายหนักๆ ทุกวันร่างกายเราก็จะเครียด มีพลังงานไม่เพียงพอต่อการสร้างกล้ามเนื้อ และยังทำให้ฮอร์โมนไม่มีเวลาเพียงพอในการสร้างตัว ซ้ำร้ายยังทำให้ร่างกายเครียดเข้าไปอีก เพราะต้องรีบซ่อมแซม ดังนั้น อย่าออกกำลังกายมากเกินไป ควรออกประมาณ 3 – 5 ครั้ง/สัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว

 

6. นอนให้พอ

เคยมีพิสูจน์มาแล้วว่าคนที่นอนไม่พอฮอร์โมนจะตกไป 30% แล้วก็จะทำให้เก็บสะสมไขมันมากขึ้น ดังนั้น ควรนอนให้พอ ผู้ใหญ่อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ที่สำคัญควรนอนให้เป็นเวลา อย่างเคยนอน 3 ทุ่ม แล้วตื่น 6 โมงเช้า ก็ควรทำให้เป็นประจำ ซึ่งการนอนในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว

 

7. กินกะหล่ำ

ผลการวิจัยจาก Rockefeller University ในนิวยอร์กบอกไว้ว่าในกะหล่ำจะมีสารอินโด 3 คาร์มินอล (indole 3-carbinol) หรือ IC3 ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ขึ้นมาได้เยอะแล้วผลการวิจัยยังบอกอีกว่าคนที่เพิ่งได้รับสาร IC3 จะทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงลดลงไปถึง 50% ซึ่งสำหรับสาว ๆ แล้วอาจจะไม่ดี แต่สำหรับผู้ชายถือว่าดีมากเชียวละ

8. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

หรือดื่มให้น้อยที่สุด เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติโซนหลั่งออกมามากเป็นพิเศษ ซึ่งปกติแล้วฮอร์โมนคอร์ติโซนนี้จะหลั่งออกมาตอนที่เราเครียด แล้วส่งผลทำให้เกิดการเก็บไขมันมากขึ้น แถมยังลดกล้ามเนื้อ ดังนั้น ถ้าอยากมีกล้ามโต ๆ ไว้อวดใคร ๆ ก็ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ได้แล้ว

9. กินวิตามินอีเยอะ ๆ

วิตามินอีเป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่คอยปกป้องเซลล์ไม่ให้เกิดความเสียหาย และถ้ากินวิตามินอีในปริมาณ 1,300 IU/วันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมากการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น

10. โดนแดดบ้าง

อย่ามัวกลัวตัวดำแล้วหลบแดดอยู่แต่ในบ้าน ออกไปข้างนอกให้ร่างกายสัมผัสแดดบ้าง อย่างน้อยสักวันละ 15 – 20 นาที นอกจากจะได้รับวิตามินดีแล้ว ยังจะทำให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นมา 120 – 200% แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นแดดตอนเที่ยงนะ แดดช่วงเช้าหรือเย็นจะดีที่สุด อาจจะเลือกวิธีโดนแดดด้วยการวิ่งตอนเช้าก็จะทำให้สุขภาพดีควบคู่ด้วย

เห็นไหมล่ะ 10 วิธีการเป็นหนุ่มสุขภาพดีพลังแมนเกินร้อยไม่ยากอย่างดีคิด ทำแล้วรับรองว่าคุณจะกลายเป็นหนุ่มตลอดกาลที่สุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยากเลย

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : toptenthailand.(2007).10 อันดับ วิธี บิ้วด์ฮอร์โมนเพศชายให้เป็นหนุ่มสุขภาพดี แก่ช้า ไม่ลงพุง.19 มิถุนายน 2558.
แหล่งที่มา : http://www.toptenthailand.com/detail.php?id=20131127153606999
ภาพประกอบจาก : http://www.riskcomddc.com


-ไขมันและคอเลสเตอรอล.jpg

ไขมันในเลือดที่สำคัญมีหลายชนิด แต่โดยทั่วไปในการตรวจวินิจฉัยภาวะไขมันในเลือดสูง แพทย์จะตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid profile) ใน 4 ค่าหลัก ๆ ดังนี้

 

คอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol, TC)

เป็นผลรวมของค่า แอลดีแอล คอเลสเตอรอล เอชดีแอล คอเลสเตอรอล และบางส่วนของค่าไตรกลีเซอไรด์ (แทน วีแอลดีแอล คอเลสเตอรอล (VLDL-C) ซึ่งคำนวณได้ยาก) โดยค่าปกติ: น้อยกว่า 200  mg/dl, สูงเล็กน้อย: 200-239 mg/dl, สูง: มากกว่า 240 mg/dl

 

แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (LDL-cholesterol)

เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นต่ำ ไขมันชนิดนี้ถ้ามีในเลือดสูงจะไปเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากขึ้น โดยค่าปกติ: น้อยกว่า 100 mg/dl, ใกล้เคียงปกติ: 100-129 mg/dl, สูงเล็กน้อย: 130-159 mg/dl, สูง: 160-189 mg/dl, สูงมาก: มากกว่า 190 mg/dl

 

เอชดีแอล คอเลสเตอรอล (HDL-cholesterol)

เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง มีหน้าที่นำคอเลสเตอรอลจากกระแสเลือดไปทำลายที่ตับ ส่งผลดีต่อหลอดเลือดแดง เพราะจะป้องกันไม่ให้ไขมันตัวอื่น ๆ ไปพอกสะสมทำให้หลอดเลือดแดงแข็ง โดยค่าต่ำ: น้อยกว่า 40 mg/dl, สูง: มากกว่า 60 mg/dl

 

ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)

เป็นไขมันที่มีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง และให้พลังงานเมื่อร่างกายต้องการ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบเพิ่มมากขึ้น ระดับปกติ: ต่ำกว่า 150 mg/dl, สูงเล็กน้อย: 150-199 mg/dl, สูง: 200-499 mg/dl, สูงมาก: มากกว่า 500 mg/dl

 

ภาวะไขมันในเลือดสูง พบได้บ่อยทั้งชายและหญิง พบมากในคนที่มีประวัติทางกรรมพันธุ์ คนอ้วน หรือคนที่ชอบกินอาหารพวกไขมันมาก ๆ หรือทำงานเบา ๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย

 

ภาพประกอบจาก : www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก