ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) เป็นภาวะทางอารมณ์ที่มีความกลัวและกังวลเกินกว่าปกติ ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เหตุการณ์ในอนาคต ตลอดจนการจินตนาการถึงสิ่งที่มองไม่เห็นและความตาย แม้บางครั้งอาจรู้ตัว แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และภาวะดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตเป็นปกติได้

 

ปัจจุบันได้มีการแบ่งโรควิตกกังวลออกเป็น 7 ประเภท คือ ประเภทวิตกกังวลทั่วไป ประเภทแพนิคหวาดระแวง ประเภทกลัวอย่างจำเพาะเจาะจง ประเภทกลัวการเข้าสังคม ประเภทย้ำคิดย้ำทำ ประเภทผิดปกติทางจิตใจจากวินาศภัยและประเภทกังวลต่อการแยกจาก  ในบทความนี้จะเน้นถึงประเภทวิตกกังวลทั่วไป ซึ่งพบมากที่สุด

 

อาการ

ผู้ป่วยโรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder, GAD) จะมีอาการทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย โดยทางจิตใจจะมีอาการ ตื่นตระหนก กระสับกระส่าย กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ขาดความมั่นใจไม่อยากเจอผู้คนและอื่น ๆ สำหรับทางร่างกายจะมีอาการ ปากแห้ง ใจสั่น ตัวสั่น เจ็บหน้าอก  หายใจตื้น คลื่นไส้ วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม ท้องไส้ปั่นป่วน รู้สึกเหมือนจะสูญเสียความควบคุม เป็นต้น อาการดังกล่าวอาจเกิดต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน จนผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติได้

 

เมื่อไหร่จึงควรไปพบแพทย์

เมื่อมีอาการวิตกกังวล และไม่สามารถควบคุมหรือจัดการให้ดีขึ้นได้ โดยมีอาการต่อเนื่องกันนานกว่า 6 เดือน หรือผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ

 

ภาวะแทรกซ้อน

โรควิตกกังวลทั่วไป หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง จะทำให้อาการรุนแรงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคทางใจและทางกาย ตามมาอีกหลายโรค เช่น โรคซึมเศร้า โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ โรคทางกาย เช่น โรคหัวใจ ไข้หวัด โรคติดเชื้อจากภูมิต้านทานลดลง

 

สาเหตุ

  • ความผิดปกติในการทำงานของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ โดยโรควิตกกังวลบางชนิด มีความผิดปกติในการทำงานของสมอง ส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอารมณ์และความรู้สึก
  • พันธุกรรม มีการศึกษาพบว่าหากพ่อแม่เป็นโรควิตกกังวล จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่บุตรจะเป็นโรควิตกกังวลด้วย ทั้งแบบที่แสดงออกชัดเจน และแบบเก็บซ่อนอารมณ์
  • สภาพแวดล้อมในอดีตและปัจจุบัน เช่น การเคยถูกทำโทษหรือตำหนิอย่างรุนแรงในวัยเด็ก การถูกกดขี่ล้อเลียนด้วยเรื่องต่างๆจนกลัวการเข้าสังคม การประสบความล้มเหลวในชีวิตบางด้าน เช่น ชีวิตสมรส หน้าที่การงาน การทำงานที่มีความกดดันสูง ซับซ้อนทางเทคนิค ประสบปัญหาในการปรับตัว เจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นหลายๆปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการวิตกกังวล

 

การวินิจฉัย

ในการวินิจฉัย แพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ยาที่รับประทาน และสอบถามอาการวิตกกังวล พร้อมกับการตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ตรวจสมรรถภาพปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ตรวจปัสสาวะ ตรวจระดับฮอร์โมน เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อแยกโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกันออก เช่น โรคของต่อมไทรอยด์ โรคหืด ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น

หากไม่พบสาเหตุความผิดปกติจากโรคอื่น จะทำการส่งต่อให้จิตแพทย์พิจารณาใช้เครื่องมือทางจิตเวชในการประเมินภาวะโรคทางอารมณ์ เพื่อคัดแยกชนิดของโรควิตกกังวลและวางแผนการรักษาได้อย่างตรงสาเหตุที่สุด

 

การรักษา

แพทย์จะผสมผสานวิธีการรักษาหลายวิธีเข้าด้วยกัน เพื่อให้คนไข้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ดังนี้

  • การบำบัดด้วยการใช้ยา แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาหลายกลุ่ม ได้แก่ ยารักษาภาวะซึมเศร้า (Antidepressants) เช่น ยากลุ่ม SSRIs  ยาคลายภาวะวิตกกังวล (Anxiolytic drugs) เช่น ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) ยาลดอาการตื่นตัวของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ยาเบต้าบล็อกเกอร์ และยารักษาโรคลมชักและกลุ่มยาระงับอาการทางจิตอื่น ๆ เป็นต้น
  • การทำจิตบำบัด (Psychotherapy) เป็นการพูดคุยเชิงปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อสร้างภูมิต้านทานทางจิตใจ ทำให้สามารถรับมือกับปัญหาหรือสิ่งกระตุ้นของโรควิตกกังวลได้ดีขึ้น โดยมีหลักการ คือ การให้ผู้ป่วยเผชิญสิ่งกระตุ้นความกังวลระดับเล็กน้อยไปจนถึงระดับสูง แบบทีละขั้นตอน แล้วฝึกให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้ ไม่วิตกกังวลจนเกินไป
  • การเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive-Behavioral Therapy) เป็นการปรับทัศนคติและเปลี่ยนวิธีการคิดที่มักมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ จนทำให้ภาวะโรควิตกกังวลที่รุนแรงขึ้น เป็นการมองสิ่งต่างๆแบบผ่อนคลาย มองเห็น “ทางออก” ของสถานการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น
  • การทำสมาธิบำบัด (Mindfulness-based stress reduction) เป็นการใช้วิธีตามรู้ลมหายใจตามธรรมชาติ เพื่อลดความวิตกกังวลหรือกลัวล่วงหน้า รวมทั้งลดการตอบสนองต่อระบบประสาทอัตโนมัติที่มากผิดปกติได้

 

ข้อแนะนำและการป้องกัน โรควิตกกังวล

  1. พบแพทย์ตามนัด เพื่อการประเมินอาการ ปรับขนาดยา ปรับวิธีการบำบัดตามความเหมาะสม
  2. หลีกเลี่ยงหรืองดการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อาจกระตุ้นให้อาการของโรควิตกกังวลแย่ลงได้
  3. ควรฝึกทำจิตใจให้ผ่อนคลายและรู้จักปล่อยวางด้วยการฝึกทำสมาธิ ซึ่งจะช่วยจิตใจสงบ

หากรู้ตัวว่าตนเองเริ่มมีความวิตกกังวลอยู่บ่อยครั้งโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ควรไปพบจิตแพทย์หรือผู้ให้คำปรึกษาเพื่อขอความช่วยเหลือ ทำความเข้าใจ และหาวิธีแก้ไขต่อไป

 

แหล่งข้อมูล : www.pobpad.com  www.webmd.com 

ภาพประกอบ : www.freepik.com

 


-ความกลัวและความกดดัน.jpg

ความกดดัน ความบีบคั้นที่เกิดขึ้นยาวนานนั้นทำให้เราเสียสุขภาพจิต ไปพบกับวิธีรับมือกับความกลัวและความกดดัน เพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกันค่ะ

รับมือกับ…ความกลัวและความกดดัน

คนที่บอกว่าตัวเองไม่เคยกลัวอะไรเลยนั้น เชื่อได้เลยว่าเขาพูดโกหกแน่ ความกลัวไม่ใช่ความรู้สึกที่เลวร้าย กลับทำให้เราระมัดระวัง ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกนี้เป็นเช่นเดียวกับความรู้สึกเจ็บปวด เป็นความทุกข์ที่ไม่มีใครต้องการ แต่ความทุกข์นี้เองที่ ทำให้เราต้องหันมาใส่ใจต่อปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ หลายคนรอดชีวิตมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะความกลัว

 

ปัญหาของสำราญ

สำราญทำงานอย่างหนักเพื่อ หวังความก้าวหน้าในการงาน ในวันที่ผู้จัดการบอกว่าเขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้างาน เขากลับรู้สึกไม่สบายใจ เกิดกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้

สำราญกลัวอะไร เขาบอกว่าจะต้องมีการประชุมหัวหน้างานต่าง ๆ ในแต่ละเดือน ซึ่งเขารู้สึกอึดอัดเมื่อต้องพบคนเหล่านี้ นอกจากนี้เขายังต้องรับผิดชอบมากขึ้น คุมคนงานที่มีปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น อาจต้องทำงานนอกเวลามากกว่าเดิม เพื่อนร่วมงานเก่าก็ดูเฉยเมย เปลี่ยนแปลงไป ความกดดันต่าง ๆ ดูเหมือนจะพุ่งสู่ตัวเขา

สิ่งที่สำราญประสบนี้ เป็นเรื่องที่พบได้ไม่น้อยในชีวิตการทำงานปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันสูง ไม่เฉพาะแต่การถูกลดขั้น หรือให้ออกเท่านั้น การได้รับการส่งเสริมยังอาจก่อให้เราเกิดความเครียดได้ ความกดดันเกิดได้ทั้งกับการประสบความสำเร็จและความล้มเหลว

ปัญหาของสำราญคล้ายกันกับ สิ่งที่ได้กล่าวมาแล้ว เขาคิดว่าตัวเองไม่ควรจะมีความรู้สึกนี้พยายามขจัดมันออกไปโดยวิธีการต่าง ๆ คนเรามักจะต้องการคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ามาบอกว่าไม่เป็นไรหรอกที่มีความ รู้สึกเช่นนี้ ขอให้ตั้งใจทำงานต่อไปเถอะ ซึ่งถ้าเราปฏิบัติตนแบบอยู่อย่างสร้างสรรค์ จะตระหนักได้ด้วยตนเองว่าการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม ล้วนก่อแรงกดดันแก่เราเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่าบางครั้งทำให้เราเกิดความไม่สบายใจบ้าง แต่ก็เป็นการเตือนให้เราระมัดระวัง ปฏิบัติตนอย่างรอบคอบไม่ประมาท เมื่อเราเกิดความหวั่นกลัว ไม่สบายใจทั้งร่างกายและจิตใจจะอยู่ในสภาพพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อเตรียมรับต่อสถานการณ์ นั่นคือเราได้รับการเตือนว่าจะต้องทำอะไรบางอย่าง

ความกดดัน ความบีบคั้นที่เกิดขึ้นยาวนานส่งให้เกิดผลเสียตามมา เช่น เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ความดันโลหิตสูง นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ และภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นต้น ซึ่งสาเหตุนั้นมิใช่ความกดดันจากสภาพแวดล้อม หรือความรู้สึกที่มีจากตนเอง หากแต่อยู่ที่การไม่สามารถแก้ไขจัดการต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ถ้าเราไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ก็เปรียบเสมือนนั่งมองดูน้ำที่กำลังไหลท่วมบ่า ท่วมบ้านตนเอง นอกจากจะโชคดีที่น้ำหยุดท่วม ซึ่งโอกาสเช่นนี้คงพบได้น้อยครั้ง

สำราญมิได้หวังรอคอยโชคชะตา เขาถามหัวหน้างานคนอื่น ๆ ว่ารู้สึกอย่างไร เมื่อต้องรับงานครั้งแรก หรือเข้าที่ประชุม ซึ่งเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อทราบว่าคนอื่น ๆ ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการบริหารงาน พยายามทำความรู้จักผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน คิดหาแผนงานหรือโครงการใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงการทำงานเสนอต่อผู้จัดการ แน่นอนว่าคงไม่ราบรื่นเสมอ ไปสำหรับการเริ่มต้นในสิ่งใหม่ ๆ แต่ในขณะที่สำราญยุ่งเกี่ยวกับการพูดคุยแนะนำตนเอง ศึกษาในเรื่องต่าง ๆ เขาลืมที่จะใส่ใจต่อความรู้สึกว่าเขายังไม่ พร้อมพอ เมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาอีก เขาก็จะมาหาดูว่าอะไรที่ยังไม่ได้ทำหรือทำไม่เต็มที่อีก ท่ามกลางความพยายามอยู่เรื่อย ๆ ความมั่นใจในตนเองมีเพิ่มมากขึ้น ความกังวลใจในตนเองก็ลดลงตามลำดับ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ศ.นพ. มาโนช หล่อตระกูล(2010).รับมือกับ…ความกลัวและความกดดัน. 2 เมษายน 2558.
แหล่งที่มา : http://thaipsychiatry.wordpress.com/
ภาพประกอบจาก : www.xn--12c9b2bwcg6evc.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก