ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

เทคนิคการเลือก รองเท้าวิ่ง ที่ถูกใจซักคู่ ถือเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจพอสมควร ถ้าหากคุณไม่มีความรู้ อาจได้พียงรองเท้าวิ่งที่สวมใส่สบายเมื่อตอนที่อยู่ในร้านเท่านั้น แต่พอวิ่งบนเส้นทางจริงก็อาจเป็นสาเหตุทำให้ปวดไปทั้งขาได้ ดังนั้นเราจึงมีเทคนิคในการเลือกที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อให้คุณได้รองเท้าวิ่งที่ถูกใจที่สุด คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง

 

รองเท้าวิ่ง โดยเฉพาะ

การนำรองเท้าผ้าใบแฟชั่นมาใส่วิ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดเพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยาว แม้ว่าในชีวิตประจำวันบางคนอาจแย้งว่าคุณสามารถวิ่งได้คล่องแคล่วถึงจะสวมใส่รองเท้าแตะเสียด้วยซ้ำ…คุณอาจสามารถใช้รองเท้าเหล่านั้นได้เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่เหมาะแน่หากคุณกำลังคิดจะยึดการวิ่งเป็นกีฬาประจำตัวในการออกกำลังกาย นั่นเพราะการวิ่งเป็นประจำจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและรับภาระของช่วงล่างซ้ำ ๆ การมีอุปกรณ์ที่ถูกต้องและซัพพอร์ทการเคลื่อนไหวของคุณได้ดีจะทำให้คุณได้รับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นน้อยลง รองเท้าวิ่งจะมีการถนอมข้อเท้าที่ดีกว่า

 

ประเภทของการวิ่ง

วิ่งมาราธอน วิ่งระยะใกล้ วิ่งระยะไกลหรือวิ่งในยิม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อลักษณะของรองเท้าวิ่ง หลักง่าย ๆ คือยิ่งคุณวิ่งเป็นระยะทางไกลมากเท่าไหร่ ควรเลือกรองเท้าที่มีการบุนวมหนาขึ้นเพื่อซัพพอร์ทกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเท้าไม่ให้รับภาระมากเกินไป สำหรับในส่วนของการวิ่งวิบากแบบมาราธอนสิ่งสำคัญคือเรื่องของดอกยางที่สามารถเกาะพื้นได้ดี พื้นรองที่ซัพพอร์ทฝ่าเท้า จะช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นบนเส้นทางได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทางขุระ ทางลื่น สำหรับการวิ่งในยิมซึ่งไม่มีอุปสรรคอะไรมากนัก รองเท้าวิ่งมักจะเน้นความสมดุลและความสามารถในการเกาะยึดพื้นผิว เพราะพื้นในโรงยิมส่วนใหญ่มักเป็นยางที่ลื่น ดังนั้นอาจเสียหลักได้ในกรณีที่เปียกเหงื่อหรือน้ำหก

 

ชนิดของรองเท้าวิ่ง

ชนิดของรองเท้าวิ่งจะสัมพันธ์กับประเภทของการวิ่งที่คุณเลือก ดังนี้

  • Neutral shoes : รองเท้าประเภทนี้เหมาะกับการวิ่งในยิมหรือพื้นที่เฉพาะอย่างสนามกีฬาและสวนสาธารณะ มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวสูง แต่การซัพพอร์ทอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการพลิกและเส้นทางคดเคี้ยวน้อยกว่าประเภทอื่น ๆ
  • Stability shoes : รองเท้าประเภทนี้มีความสมดุลค่อนข้างสูง เหมาะกับนักวิ่งที่ชอบไปยังเส้นทางในชีวิตประจำวันเช่นการวิ่งไปทำงานหรือสถานที่ต่าง ๆ หรือการวิ่งขึ้นลงบันไดตามสิ่งก่อสร้าง เพราะตัวรองเท้ามีการซัพพอร์ทเพื่อป้องกันข้อเท้าพลิกและหกล้มค่อนข้างดี
  • Motion control : รองเท้าประเภทนี้จะมีรูปร่างภายนอกที่ดูหนาที่สุดเมื่อเทียบกับรองเท้าวิ่งแบบอื่น ๆ เหมาะสำหรับมือใหม่ไปจนถึงนักวิ่งมืออาชีพ คนที่ยึดการวิ่งเป็นกีฬา วิ่งทุกวัน ไปวิ่งแทบทุกงาน เพราะรองเท้าวิ่งประเภทนี้จะถนอมข้อเท้าและกล้ามเนื้อขาสูงสุด ลดความเสี่ยงบาดเจ็บสำหรับคนที่วิ่งหนักและบ่อย
  • Barefoot shoes : รองเท้าประเภทนี้เน้นโครงสร้างปราดเปรียวและน้ำหนักเบา เน้นใส่แล้วเคลื่อนไหวสบาย ๆ แบบ Crossfit

 

ใส่ได้พอดี

หากรองเท้าไม่พอดี เพียงแค่เดินเรายังรู้สึกว่าลำบาก ยิ่งต้องใส่วิ่งจนครบตามเป้าหมายระยะเวลาด้วยแล้วคงเป็นเรื่องที่ไม่สบายเท้าเป็นอย่างมาก  ดังนั้นวิธีเช็คว่ารองเท้าที่ใส่พอดีหรือไม่มีดังนี้

  • กระชับ : โดยเฉพาะบริเวณข้อเท้าที่เมื่อสวมใส่รองเท้าวิ่งแล้วรู้สึกว่าตัวรองเท้าสามารถโอบกระชับได้อย่างดี เวลาแบะเท้าออกแล้วไม่ลื่นไหลหรือพลิกไปมา
  • มีพื้นที่หน้ารองเท้า : ตรงหัวรองเท้าช่วงปลายนิ้วและนวมบุรองเท้าควรมีที่ว่างประมาณครึ่งเซ็นติเมตร คุณสามารถลองจิกเล็บดูภายในร้องเท้า งอนิ้วได้นิดหน่อย เพื่อป้องกันปัญหารองเท้ากัดเมื่อเท้าขยายและเล็บขบ
  • ซื้อตอนเย็น : ข้อนี้สำคัญ เพราะเท้าที่ผ่านการเดินมาตลอดทั้วันจะขยายมากที่สุด ทำให้เราสามารถกะได้ว่าซื้อรองเท้าไซส์ไหนมาจึงจะไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป

 

ลองเสมอ

กรณีที่ซื้อ รองเท้าวิ่ง ครั้งแรกในชีวิต คุณควรลองสวมที่ร้านก่อนเสมอ บางร้านที่มีขนาดใหญ่อาจจะมีบริเวณออกกำลังกายอย่างลู่วิ่งให้ลูกค้าได้ลองสวมวิ่งด้วย แต่ถ้าไม่…ลองสวมแล้วเดินไปมาในร้าน เพื่อให้มั่นใจว่ารองเท้าวิ่งคู่นั้นกระชับเท้าของคุณอย่างแท้จริง ถ้าไม่เคยมีรองเท้าวิ่งมาก่อน หรือเปลี่ยนแบรนด์ที่ไม่เคยใช้ ไม่ควรเสี่ยงซื้อทางออนไลน์ แต่ถ้าเคยซื้อรองเท้าวิ่งมาแล้ว และต้องการคู่ใหม่แบรนด์เดิม ก็สามารถเลือกตามแบบเดิมที่เคยมีได้เลย

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.rei.com   www.runningshoesguru.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


-4-ชุดว่ายน้ำอวดจุดเด่นพรางจุดด้อย.jpg

ชุดว่ายน้ำ ถือเป็นอีกชุดปราบเซียนที่ส่งผลต่อความมั่นใจในรูปร่างของสาว ๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งหากใครฟิตหุ่นทันช่วงเวลาที่ต้องออกทริปทะเลก็ถือว่าได้กำไรไป แต่ถ้าไม่ทันงานนี้ก็คงมีเครียดกันหน่อย…ไม่ต้องกังวลใจมากเกินไปเพราะเรามีเคล็บลับในการเลือกชุดว่ายน้ำมาฝาก ถึงจะเป็นสาว ๆ หุ่นเฟิร์มที่ยังแอบห่วงเรื่องความสมส่วนของรูปร่างก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ได้เช่นเดียวกัน

 

วิธีเลือก 4 ชุดว่ายน้ำอวดจุดเด่นพรางจุดด้อย


มีพุง

จะไปทะเลทั้งที พุงเจ้ากรรมดันมาโผล่ตอนนี้เสียได้ จะแก้ในระยะเวลาอันสั้นก็คงไม่ทันการณ์แล้ว ดังนั้นก็ต้องอาศัยชุดว่ายน้ำช่วยอำพรางหุ่นกันซักหน่อย สำหรับสาว ๆ รูปร่างอวบท้วม การใส่ชุดว่ายน้ำแบบวันพีซจะช่วยซัพพอร์ตสัดส่วนของคุณได้ดีที่สุด ทำให้มองเห็นเส้นเอวชัดเจน แต่ถ้าใครยังอยากสวมชุดว่ายน้ำแบบทูพีซก็ใช่ว่าจะมีไม่ทางออกเสียทีเดียว ลองเลือกชุดว่ายน้ำสไตล์วินเทจที่เป็นกางเกงว่ายน้ำเอวสูงจะสามารถแก้ปัญหาหน้าท้องที่หย่อนคล้อยได้

 

หน้าอกเล็ก

ถ้าขนาดหน้าอกทำให้สูญเสียความมั่นใจอย่าเพิ่งเศร้า เชื่อว่าสาว ๆ อกเล็กหลายคนคงกังวลไม่น้อยเพราะอดเทียบตัวเองกับนางแบบชุดว่ายน้ำไม่ได้ แต่จะให้ยัดฟองน้ำหรือกระดาษทิชชู่ก็กลัวพลาด เวลาลงเล่นน้ำจะมีขยะลอยตามเป็นพรวนไปอีก ทางออกของคุณแก้ไม่ยากค่ะ เพียงแค่เลือกชุดว่ายน้ำที่แต่งระบายตรงช่วงอก จะเป็นลูกไม้ โบผ้า หรือประดับจิวเวลรี่บลิ๊ง ๆ ก็เก๋เริ่ดกว่าใครแน่นอน ที่สำคัญดีเทลตรงช่วงอกยังช่วยหลอกสายตาให้หน้าอกของคุณดูนูนขึ้นด้วยนะ

 

ต้นแขนใหญ่

พยายามออกกำลังกายกระชับต้นแขนแทบตาย แต่ดันลดไม่ทันวันที่ต้องใส่ ชุดว่ายน้ำ ไปซะอย่างนั้น เรามีวิธีเรียกความมั่นใจของคุณสาว ๆ กลับคืนมาด้วยการเลือกชุดว่ายน้ำแบบ Long sleeve หรือแขนยาวเพื่อเก็บเนื้อส่วนเกินบริเวณต้นแขนให้ดูเฟิร์ม แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สวยเท่าเพื่อน เพราะเดี๋ยวนี้ชุดว่ายน้ำแบบแขนยาวเขามีดีไซน์สวย ๆ เก๋ ๆ ให้เลือกเพียบ สีสันน่ารักสดใสไปจนถึงแซ่บเผ็ดพริกสิบเม็ด อยากได้แนวไหนเลือกให้สนุกเลย

 

รูปร่างตรง

รูปร่างเฟิร์มทั้งทีก็ยังเป็นปัญหา เชื่อว่าสาว ๆ บางคนแอบเครียดที่ตัวเองดันผอมจนดูไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ขนาดหน้าอก เอวและสะโพก ดูรวม ๆ แล้วใกล้ ๆ กัน ขอย้ำว่าไม่ต้องใจเสีย รูปร่างแบบนี้แหละที่เหล่านางแบบบนรันเวย์เขาฮิตหนัก คุณใส่ชุดว่ายน้ำประเภทดีไซน์แปลก ๆ สายไขว้พันกันไปมาชนิดที่คนอื่นอาจใส่แล้วดูเป็นแหนม แต่คุณใส่แล้วดูแพงมาก พวกดีไซน์ชุดแบบเจาะเว้าตามช่วงเอวก็ใส่สวย เอาแบบที่หาง่ายที่สุดก็ต้องนี่เลย…บิกินี่ หุ่นของคุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ

 

เห็นมั้ยคะว่าปัญหารูปร่างและชุดว่ายน้ำนั้นมีทางแก้ เพียงแค่เลือกให้เหมาะเท่านั้น ซึ่งอันดับแรกก็ต้องพิจารณาว่าตัวคุณเองมีจุดเด่นตรงไหน และอยากพรางตรงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ แต่ถ้าใครอยากหุ่นดีอย่างยั่งยืน ก็อยากชวนมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือคุณจะมีทั้งร่างกายที่แข็งแรงซึ่งส่งผลให้จิตใจแข็งแรงไปด้วย มาเริ่มต้นออกกำลังกายกันตั้งแต่วันนี้ แล้วก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าทริปไหนจะไม่พร้อม เพราะถ้าหุ่นกระชับได้สัดส่วนแล้วจะใส่อะไร แฟชั่นแนวไหน ก็สวยทุกองศาแน่นอน

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.cosmopolitan.com   www.popsugar.com   www.shape.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com  www.na-kd.com   www.hm.com   www.lavieenrose.com   www.fashionnova.com

 


15-ข้อดีของการออกกำลังกาย.jpg

เมื่อใดก็ตามที่คุณยุ่งกับงานมาก ๆ เหนื่อยจากกิจกรรมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งรู้สึกลำบากตัวเองเมื่อจะต้องผูกเชือกรองเท้า ให้ลองนึกถึง 15 ข้อดีของการออกกำลังกาย ต่อไปนี้ที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายของคุณสมบูรณ์ขึ้นได้

 

1. บรรเทาอาการเจ็บปวดของร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ

เพื่อให้ข้อต่อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายที่ติดขัดและเคลื่อนไหวลำบากสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกดีขึ้น ฟังดูแล้วอาจจะขัดใจไปบ้าง แต่ว่าการพักผ่อนนั้น บางครั้งก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความเจ็บปวดและอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณหัวเข่า ไหล่ หลัง หรือลำคอ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีที่มีการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนั้นจะมีอาการเจ็บปวดกระดูกและกล้ามเนื้อน้อยกว่าบุคคลในวัยเดียวกันที่ไม่ค่อยออกกำลังกายมากถึง 25% ด้วยกัน

เมื่อมีการออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะมีการหลั่งสารสุข หรือ Endorphins ออกมา ซึ่งถือเป็นยาแก้ปวดตามธรรมชาติให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดี และอาจทำให้คุณมีกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นส่วนต่าง ๆ แข็งแรงมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การที่คุณมีการทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลายังสามารถช่วยบรรเทาสภาวะเรื้อรังของร่างกายบางอย่างได้ด้วย เช่น โรคข้ออักเสบ (Arthritis) เป็นต้น ซึ่งในงานศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบนี้ จะมีอาการปวดข้อลดลง 25% และมีอาการข้อติดลดลง 16% หลังจากหลังจากที่ได้มีการออกกำลังกายประเภทที่มีการกระแทกน้อย เช่น การเดินทรงตัวและการเดินก้าวยาว เป็นเวลาต่อเนื่อง 6 เดือน ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เมื่อมีการออกกำลังกายบ้างแล้วคนส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองไปในทางที่ดีขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

สิ่งที่ต้องทำ : เล่นโยคะหรือมวยไท้เก๊กสัปดาห์ละสองครั้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งความยืดหยุ่นและความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างกายและช่วยลดอาการเจ็บปวดของอวัยวะในร่างกายส่วนต่าง ๆ

 

2. รู้สึกเซ็กซี่ได้เสมอไม่ว่ารูปร่างของตนจะเป็นอย่างไร

ภูมิใจในสัดส่วนรูปร่างของตัวเอง การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมนั้นย่อมจะทำให้รูปร่างของคุณดูดีขึ้นได้ จากผลการศึกษาเกี่ยวกับการออกกำลังกายและรูปลักษณ์ทางร่างกาย พบว่า การออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ โดยไม่คำนึงว่าคุณจะมีน้ำหนักหรือความแข็งแรงของร่ายกายมากเพียงใดนั้น จะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตัวเองได้ซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายของคุณได้มีการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีออกมาก็ได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของคุณได้ด้วยโดยการเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณอวัยวะเพศมากขึ้น จากการศึกษาหนึ่งพบว่า การออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานเพียง 20 นาทีสามารถช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของผู้หญิงได้มากขึ้นถึง 169% เลยทีเดียว และจากการศึกษาผู้ที่ชื่นชอบการว่ายน้ำที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจะสามารถมีความสุขทางเพศได้เท่าเทียมกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าหลายสิบปีอีกด้วย

สิ่งที่ต้องทำ : เต้นแอโรบิก 20 นาทีก่อนบทสวาทกับคู่รัก และอาจเดินหรือเล่นโยคะเป็นประจำทุกวันเพื่อช่วยให้บทรักของคุณดีขึ้น

 

3. ลดค่าใช้จ่ายในการหาหมอฟันให้น้อยลงสุขภาพ

ร่างกายที่ดีสร้างรอยยิ้มที่สวยงามได้ การใช้ไหมขัดฟันและการแปรงฟันมิได้เป็นปัจจัยสำคัญเพียงสองประการที่จะทำให้คุณมีรอยยิ้มที่ดูสมบูรณ์ดีเท่านั้น หากแต่สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยในเรื่องนี้ก็คือ การออกกำลังกายนั่นเอง ในการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ใหญ่ที่มีการทำกิจกรรมระดับปานกลางเป็นเวลา 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 5 ครั้งขึ้นไปนั้นจะมีโอกาสลดลงกว่า 42% ที่จะประสบกับปัญหาโรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ซึ่งเป็นโรคในช่องปากที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น การออกกำลังกายนั้นอาจมีส่วนป้องกันการเกิดโรคปริทันต์อักเสบดังกล่าวในลักษณะเดียวกับที่การออกกำลังกายมีส่วนต่อการป้องกันโรคหัวใจ กล่าวคือ การออกกำลังกายจะช่วยลดการอักเสบและช่วยทำให้เกิดโปรตีน C – reactive Protein ในเลือดมากขึ้น

สิ่งที่ต้องทำ : นอกจากออกกำลังกายหรือหมั่นทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอแล้ว ควรพบหมอฟันทุก 6 เดือน (หรือมากกว่านั้นถ้าหมอฟันบอกว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคในช่องปาก)

 

4. ปลดปล่อยพลังงานสะสมที่กระตุ้นร่างกายของคุณให้พบกับสิ่งใหม่ ๆ เสียบ้าง

ถ้าหากว่าคุณเป็นหนึ่งใน 50% ของผู้ใหญ่ที่พบว่าตนเองมีอาการเหนื่อยทางร่างกายอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์นั้น ให้คุณลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียบ้าง จากผลการศึกษาพบว่า การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเพิ่มพลังงานและช่วยลดอาการอ่อนเพลีย
ได้

นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังช่วยทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองที่ช่วยในการลดอาการอ่อนเพลียได้ด้วย เช่น สาร Norepinephrin และ Dopamine ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตลอดจนสาร Serotonin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยทำให้คนเรามีอารมณ์ดีขึ้น

 

5. ลดไขมันที่เกิดขึ้นจากความเครียดกับน้ำหนักของร่างกาย

การออกกำลังกายเพียง 40 นาที สองครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอที่จะหยุดความอ้วนลงพุงที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ขนาดรอบเอวของผู้ที่ออกกำลังกายน้อยนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะเพิ่มมากขึ้นประมาณ 3 นิ้ว นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังอาจลดระดับฮอร์โมนบางตัวได้ เช่น ฮอร์โมน Cortisol ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการอ้วนลงพุง

6. ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ 33% 

การออกกำลังกายในระดับปานกลางไม่ได้เพียงแค่ทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น หากแต่ยังช่วยในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณได้อีกด้วย ซึ่งก็หมายความว่าร่างกายของคุณจะสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้ป่วยเป็นไข้หวัดและโรคอื่นๆ ได้ จากผลการศึกษาหนึ่งพบว่า หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 50 – 75 ปีที่มีการออกกำลังกายที่ได้บริหารหัวใจและระบบการไหลเวียนเลือด (Cardio) เป็นเวลา 45 นาทีต่อครั้ง 5 วันต่อสัปดาห์ จะป่วยเป็นไข้หวัดในสัดส่วน 1 ใน 3 ของหญิงที่มีการออกกำลังกายแบบเดินยืดเส้นยืดสายสัปดาห์ละครั้ง

สิ่งที่ต้องทำ : เพิ่มการออกกำลังกายที่ได้บริหารหัวใจและระบบการไหลเวียนเลือด (Cardio) ให้เป็นกิจวัตรประจำวันโดยการเปลี่ยนจากการเดินเป็นการวิ่ง

 

7. บำรุงสายตา

การรับประทานแครอทเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสายตา แต่การออกกำลังกายอาจช่วยได้มากกว่า สิ่งที่ดีสำหรับหัวใจของคุณนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับดวงตาของคุณเช่นกัน จากผลการศึกษาในผู้ใหญ่จำนวน 4,000 ราย พบว่า รูปแบบการใช้ชีวิตแบบทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอสามารถกำจัดความเสี่ยงภาวะจุดรับภาพเสื่อม (Macular Degeneration) ที่เกิดขึ้นตามอายุได้สูงสุดถึง 70% ซึ่งโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้นี้จะทำให้การอ่านหนังสือ การขับรถ และการมองดูสิ่งที่มีรายละเอียดขนาดเล็กมากสามารถกระทำได้ยาก และถือเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ตาบอดได้เมื่อมีอายุหลังจาก 60 ปีขึ้นไป

สิ่งที่ต้องทำ : ป้องกันดวงตาของคุณในระหว่างการทำกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหมด (ในกรณีที่คุณเป็นผู้ที่ชอบเดิน ให้เดินวันละประมาณ 1.5 กิโลเมตร) โดยตลอดทั้งปี คุณอาจเลือกสวมใส่แว่นตากันแดดที่สามารถป้องกันแสง UVA/UVB ก็ได้

 

9. การนอนหลับอย่างสนิทจะไม่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อคุณออกกำลังกาย คุณจะต้องไม่มีปัญหากับการนอนหลับในเวลากลางคืนอีกต่อไป จากผลการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่เดินหรือเต้นอย่างน้อยครั้งละหนึ่งชั่วโมง 4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีจำนวนครั้งของการตื่นกลางดึกในสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนครั้งของการตื่นกลางดึกของผู้หญิงที่ไม่ชอบการออกกำลังกาย และในแต่ละคืน จะมีระยะเวลาการนอนหลับที่มากกว่าหญิงที่ไม่ออกกำลังกายเฉลี่ยคืนละ 45 นาทีอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวดีอย่างมากสำหรับผู้หญิงหลายคนที่มักจะมีการตื่นกลางดึกเมื่อมีอายุมากขึ้น กล่าวคือ เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น รูปแบบการนอนหลับของคุณก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในแต่ละคืน คุณอาจจะต้องใช้เวลาในการเริ่มต้นนอนหลับใหม่หลาย ๆ ครั้ง

สิ่งที่ต้องทำ : ตั้งเป้าหมายในการออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมงแม้ว่าจะเป็นช่วงเย็นหรือค่ำของวันแล้วก็ตาม จากหลักฐานพบว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีการทำกิจกรรมในช่วงเย็นตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงระดับปานกลางนั้นจะมีการนอนหลับที่ดีในเวลากลางคืน อย่างไรก็ตาม ให้ตัวคุณเองทดลองดูกับตัวเองว่าการออกกำลังกายระดับใดที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด

 

10. ห่างไกลโรคเบาหวาน

จากผลการศึกษา พบว่า การเดินเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรต่อครั้ง 5 ครั้งต่อสัปดาห์อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ดีมากกว่าการวิ่งเกือบ 2 เท่าตัว ทั้งนี้ จากการที่ไขมันจะเป็นสิ่งที่จะถูกเผาผลาญไปเป็นลำดับแรกจากการออกกำลังกายระดับปานกลาง ดังนั้น การเดินก็อาจจะมีผลดีในการช่วยพัฒนาความสามารถของร่างกายในการสร้างสารอินซูลินออกมาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

สิ่งที่ต้องทำ : จัดทำแผนการเดินออกกำลังกาย

11. กำจัดไขมันส่วนเกินที่พุงลดไขมันส่วนเกินรอบเอว 

เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าบริเวณพุงของตัวเองเริ่มยื่นออกมามากขึ้นนั้น คุณคงต้องทำอะไรกับตัวเองสักอย่างแล้วล่ะ จากผลการศึกษาหนึ่งพบว่า การทำกิจกรรมทางร่างกายเล็กๆ น้อยๆ สามารถช่วยลดแก๊สในร่างกายและช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ เนื่องจากการทำกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้นและการหายใจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ ช่วยป้องกันอาการท้องผูกและการสะสมของแก๊สโดยการเร่งให้มีการย่อยอาหารเร็วขึ้น

สิ่งที่ต้องทำ : เดินหรือถีบจักรยานเบาๆ จนกระทั่งคุณรู้สึกดีขึ้น

 

12. ป้องกันการเกิดภาวะสมองตื้อ (Brain Fog) 

การออกกำลังกายนั้น จะทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในปัจจุบัน จากงานศึกษาวิจัยหนึ่งพบว่า การออกกำลังกายสามารถป้องกันการเกิดภาวะสมองตื้อในผู้สูงวัยได้มากเท่ากับผู้ที่อายุน้อยกว่าหลายปี กลุ่มนักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้แบ่งผู้ใหญ่ช่วงต้นที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งให้เข้าคอร์สออกกำลังกายแอโรบิก และกลุ่มที่สองไม่ต้องเข้าคอร์สออกกำลังกาย หลังจากผ่านไป 4 เดือนพบว่า กลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกายมีเนื้อสองส่วนสีเทา (Gray Matter) ในบางพื้นที่ของสมองลดปริมาณน้อยลง ในขณะที่กลุ่มที่มีการออกกำลังกายไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเนื้อสมองของตัวเองแต่อย่างใด

สิ่งที่ต้องทำ : มีการออกกำลังกายให้เป็นกิจวัตรประจำวัน หรือเข้าสมัครสมาชิกในโรงยิมออกกำลังกาย ซึ่งนอกจากคุณจะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการออกกำลังกายแล้ว การที่ร่างกายของคุณมีความสดชื่นมากขึ้นยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์สมองได้อีกด้วย

 

13. หัวใจปลอดภัยลดอาการบวมอักเสบที่เป็นอันตราย

จากงานศึกษาหนึ่ง พบว่า ผู้หญิงอ้วนและไม่ชอบการออกกำลังกายที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปที่ได้เริ่มต้นออกกำลังกายแล้วนั้นจะมีระดับโปรตีน C – reactive Protein (สารในเลือดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหัวใจ) ในร่างกายลดน้อยลงประมาณ 10% หลังจากที่มีการออกกำลังกายเป็นเวลา 1 ปี

 

14. ยืดอายุของตัวคุณเอง

ในความเป็นจริงนั้น การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจะทำให้รูปแบบการทำงานในร่างกายของคุณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วย ผู้ที่มีการออกกำลังกายอย่างจริงจังจะมีตัวชี้บ่งทางชีวภาพ Telomeres-cellular Biomarkers ที่ยาว (มีขนาดสั้นลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น) กว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั่วไปแต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมากเท่าใด

 

15. เพิ่มภูมิต้านทานในการเกิดโรคมะเร็งทรวงอก

การออกกำลังกายนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทรวงอกได้เท่านั้น หากแต่ยังสามารถช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ชีวิตของคุณได้ด้วยถ้าหากว่าคุณได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างทันท่วงที หญิงที่มีน้ำหนักตัวมากที่เคยออกกำลังกายมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก่อนที่จะได้รับการตรวจวินิจฉัยนั้นจะมีโอกาสที่จะเสียชีวิตน้อยกว่าหญิงที่มีการออกกำลังกายน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์มากถึง 47%

สิ่งที่ต้องทำ : ออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจเป็นการเดินเร็วๆ เมื่อคุณต้องเดินไปหยิบเอกสารในจุดต่าง ๆ เดินขึ้นลงบันไดก่อนรับประทานอาหารกลางวัน หรืออาจทำการวิดพื้นและลุกนั่ง (ซิทอัพ) เล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะที่ดูทีวี การออกกำลังกายเพียงครั้งละ 10 นาที วันละ 2 – 3 ครั้งนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ในแต่ละสัปดาห์คุณได้มีการออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : siamsety.(2009).15 ข้อดีของการออกกำลังกาย.19 กันยายน 2558.
แหล่งที่มา :  www.siamsety.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


-ลดความอ้วน-ในระยะยาว-health.jpg

วิธีลดความอ้วน ในระยะยาว เพื่อน ๆ หลายคนลดน้ำหนัก ตามสูตรลดน้ำหนัก ลดความอ้วน แบบ 7 วันบ้าง 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ทรมานและต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างยิ่ง (แต่เพื่อความผอม สวย ยอมได้)

อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถทานแบบนี้ไปได้ตลอดชีวิตแน่นอน การลดน้ำหนักลงมาหลาย ๆ โล ในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นสูตรสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนแบบเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณกลับมากินอาหารปกติ คุณจะอ้วนเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม การลดน้ำหนักในระยะยาว การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดนั้น ควรเป็นการจำกัดแคลอรี่ของอาหาร การทานอาหารครบทุกมื้อ และการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกิน วันนี้เรามีข้อแนะนำที่จะควบคุมน้ำหนักให้คงที่อยู่เสมอในระยะยาว เคล็ดลับต่าง ๆ เหล่านี้ ทำได้ไม่ยากแต่ต้องฝึกฝนให้ติดจนเป็นนิสัยเท่านั้นเอง

 

กิจกรรมและการออกกำลังกาย 

  1. อย่าชั่งน้ำหนักบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้กดดันตัวเอง ทำให้หงุดหงิดง่ายควรชั่ง สัปดาห์ละครั้งก็พอ
  2. ออกกำลังกายให้มากกว่า 15 นาที เพราะ 20 นาทีแรกนั้น ร่างกายจะอยู่ในระหว่างอุ่นเครื่อง หลัง จากนั้นร่างกายจะเผาผลาญไขมัน
  3. การเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะ ๆ เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น
  4. ถ้าวันไหนจะได้นอนมาก ๆ และไม่ได้ทำงานอะไรเท่าไหร่ คุณต้องลดอาหารลงอีก กินแต่ผักผลไม้ก็พอแล้ว
  5. สำหรับคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย ให้ว่ายน้ำหรือเต้นรำตามจังหวะเพลงสนุก ๆ อย่างต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงทุกวัน
  6. ออกกำลังกายให้หลากหลายชนิด จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอย่างครบถ้วน เป็นการบริหารทุกส่วนของร่างกาย และช่วยปรับสมดุลของร่างกาย
  7. หมั่นไปออกกำลังกายเป็นกลุ่มหรือไปออกกำลังกายยังที่ที่คนมาชุมนุมกัน เช่น ศูนย์ฟิตเนส ลานเต้นแอโรบิค สระว่ายน้ำ เป็นต้น เพื่อช่วยเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คุณเกิดความมุ่งมั่นที่จะลดน้ำหนัก และอีกทั้งยังช่วยให้ไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการออกกำลังกาย

 

อาหารการกิน

  1. ลดปริมาณอาหารเนื้อสัตว์ประเภทหมู เป็ด ไก่และเนื้อวัวลง ควรกินแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น อย่ากินส่วนที่เป็นหนังและมัน
  2. ถ้าหิวบ่อยให้แบ่งมื้ออาหารเป็น 4 – 5 มื้อเล็ก ๆ แทนการทานแบบ 3 มื้อใหญ่ (ที่หลายท่านมักทานจนอิ่มท้องมากเกินไป)
  3. เคี้ยวอาหาร เคี้ยวช้า ๆ ให้ละเอียดที่สุด ก่อนจะกลืนลงไป ควรใช้เวลากินมื้อละ 10 – 15 นาที จะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
  4. ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำแร่ให้มากๆ และจิบน้ำตลอดวันเพื่อให้กินอาหารได้ไม่มาก อีกทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นด้วย
  5. ในตู้เย็นควรจะมีแต่ผักและผลไม้สดเท่านั้น เพื่อเป็นตัวช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ราบรื่น
  6. ของว่างระหว่างมื้อควรทานผลไม้สด ๆ หรือถั่วธัญพืชต่าง ๆ ไม่ควรทานอาหารคาวหรือขนมหวาน
  7. ลดคาร์โบไฮเดรต ลดเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้เป็นหลัก งดทานของทอด ๆ ผัด ๆ หรือการปรุงอาหารที่ต้องใช้น้ำมันมากๆ หรือการปรุงด้วยน้ำตาล เนย และกะทิ เช่น แกงเผ็ด แกงที่ใช้กะทิเป็นเครื่องปรุงก็ควรเลี่ยง
  8. อย่าโทษตัวเองเมื่อเผลอกินอาหารตามใจปาก เช่น เค้ก ไอศกรีม วันต่อไปให้ออกำลังกายหนักขึ้นเพื่อการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่อย่าทำเช่นนี้บ่อยๆ เพราะจะทำให้ที่พยายามลดน้ำหนักมานั้นเสียเปล่า
  9. อย่าอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้คุณกินทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างไร้สติ ควรกินอาหารเล็กน้อยเสมออย่าปล่อยให้หิว ถ้าถึงมื้อแล้วไม่หิวก็ให้ทานผลไม้แทนได้
  10. พยายามเปลี่ยนเมนูอยู่เสมอ การกินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กันเกือบทุกวันจะเป็นผลเสียต่อการเผาผลาญอาหาร เพราะร่างกายจะเผาผลาญแคลอรี่ได้เท่าเดิม จึงแทบจะไม่มีผลต่อการลดน้ำหนักตัว
  11. อย่าเสียดายของเหลือในจาน ถ้ากินไม่หมด ควรเก็บใส่ตู้เย็น หรือทิ้งเสีย อย่ากินจนหมด
  12. แอปเปิ้ล แคนตาลูป และโยเกิร์ต คือเมนูลดน้ำหนักที่ดีกินอย่างใดอย่างหนึ่งแทนมื้อกลางวันหรือเย็นได้ทุกวัน
  13. ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ให้กินแฮมต้ม ปลานึ่ง ทูน่ากระป๋อง ไก้ต้มไม่เอาหนัง กินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเล็กน้อยใน 1 มื้อ ควรกินคู่กับผักต้ม
  14. ถ้าหิวตอนดึกๆ ให้ดื่มชาร้อนๆ เพราะเครื่องดื่มร้อน ๆ จะช่วยให้ความรู้สึกหิวหายไป อาจดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำร้อน ชาสมุนไพร หรือนมร้อน ๆ สักถ้วยก็ได้
  15. ถ้าเบื่อผลไม้ ให้นำมายำ โดยทำน้ำยำดังนี้ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับมะนาว และพริกป่น แล้วคลุกกับผลไม้ให้ทั่ว ใช้แอปเปิ้ล เขียวแดง ชมพู่ มันแกว ส้มโอ ส้มเขียวหวาน หรือองุ่น
  16. ถ้าติดขนมจุบจิบ ให้ใช้แตงกวา มะม่วง หรือแครอท หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หรือน้ำแข็งป่นมาวางใกล้ ๆ มือ ทานแทนขนมขบเคี้ยว
  17. เคี้ยวหมากฝรั่งบ้าง รสชาติสะอาด ๆ ในช่องปากอาจทำให้คุณไม่อยากกินอะไร
  18. กินกระเทียมสดและพริกไทยทุกวัน เพราะจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดน้ำหนักได้
  19. วางแผนการกินล่วงหน้าแต่ละมื้อ การกินโดยไม่คิดก่อนจะทำให้เผลอไปกินอาหารที่ไขมันสูง
  20. เมื่อลดน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม แทนที่จะให้รางวัลตัวเองเป็นขนมหวาน ควรให้รางวัลเป็นอย่างอื่นเช่น เสื้อสวย ๆ สักตัว หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การกิน
  21. เลิกคร่ำครวญถึงรสชาติอาหารจานโปรด คุณต้องตัดใจ จงคร่ำครวญถึงชุดสวย ๆ แทน คุณจะได้มีแรงบันดาลใจเพียงพอที่จะลดน้ำหนัก
  22. ฝึกเป็นนิสัยอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์อาหารทุกอย่าง ว่ามีพลังงานหรือไขมันเท่าใดบ้าง ทำเป็นประจำจะทำให้คุณเป็นคนที่กินเป็นมากขึ้น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย
  23. ทานข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือแทนข้าวขาว เพราะข้าวกล้องอิ่มนานกว่า และมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าข้าวขาว

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : Ladytip.com.(2009).วิธีลดความอ้วน ในระยะยาว.2 สิงหาคม 2558.
แหล่งที่มา : https://sites.google.com/site/jaisorgroup/9
ภาพประกอบจาก : http://heal.in.th


.jpg

คุณอาจมีชีวิตสุดเหวี่ยงในช่วงอายุที่ผ่านมา แต่เมื่อเข้าสู่วัยทองสุขภาพก็เริ่มถดถอย สารเคมีและฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมนิสัยการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยดีก็อาจจะส่งผลไปถึงหัวใจและหลอดเลือดของเราอย่างเห็นได้ชัดขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

 

สิ่งที่ควรทำหรือเลิกทำเมื่อเข้าสู่วัยทอง

ระวังเรื่องน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญก็เริ่มลดน้อยลง ทำให้การกินอาหารนิดเดิม ๆ ปริมาณเดิม ๆ อาจเป็นสาเหตุให้น้ำหนักของคุณเพิ่มมากขึ้นทีละนิด และไขมันในร่างกายก็จะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจเช่นกัน เพราะฉะนั้นควรหมั่นตรวจเช็คน้ำหนักของตนเองอยู่เสมอ โดยชั่งน้ำหนักตอนเช้าก่อนการรับประทานอาหาร ในช่วงเวลาเดิมทุกวัน พร้อมจดบันทึกเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง

กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ ลดแคลอรี่ ลดคาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำตาล รวมทั้งอาหารแปรรูปต่าง ๆ ที่อุดมไปด้วยโซเดียม เน้นการกินผัก ผลไม้ การทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างพอเพียงจะทำให้คุณไม่หิวในระหว่างวัน หรือแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยขึ้นก็ช่วยได้เช่นกัน

ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
ถึงแม้ร่างกายของคุณจะดูปกติ ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย แต่การตรวจร่างกายปีละครั้งก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะความผิดปกติหรือโรคร้ายบางอย่างไม่ได้แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น การตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละครั้งจะทำให้สบายใจ และอาจพบปัญหาสุขภาพแต่เนิ่น ๆ ในระยะที่ยังไม่ลุกลามร้ายแรง ทำให้การรักษาสามารถทำได้ง่าย และมีโอกาศหายมากขึ้น

เลิกบุหรี่
หากช่วงอายุที่ผ่านมาคุณยังหยวน ๆ ให้กับการเลิกบุหรี่ เข้าเลข 4 แล้วก็ควรตัดให้ขาดซักที เพราะการสูบบุหรี่สามารถส่งผลเสียมากมายต่อร่างกายจากสารพิษอันตรายต่าง ๆ เช่น นิโคติน แอมโมเนีย หรือทาร์ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดโรคร้ายได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็งปอด หลอดอาหาร โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดตีบ ที่อาจต่อเนื่องถึงความเสี่ยงที่จะเกิดหัวใจวาย และโรคเรื้อรังมากมาย ส่งผลให้ร่างกายถดถอยได้เร็วยิ่งขึ้น

ออกกำลังกาย
ซึ่งโดยปกติแล้วการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องมีการเตรียมร่างกายอย่างเหมาะสม อุ่นเครื่องอย่างน้อย 5 – 10 นาที ควรออกกำลังอย่างน้อยประมาณ 30 – 45 นาทีในแต่ละวัน ซัก 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ แน่นอนว่าการขยับตัวทำสิ่งต่าง ๆ จะช่วยคงความแอคทีฟ กะปรี้กะเปร่าในชีวิตประจำวัน แต่การออกกำลังกายที่หนักหน่วงเกินไปอาจเป็นปัญหาต่อสุขภาพ เช่น กล้ามเนื้อและข้อต่อ

ทำสมาธิ ผ่อนคลายความเครียด
ความเครียดสามารถส่งผลเสียในระยะยาวได้ ยิ่งช่วงอายุที่มีอารมณ์แปรปรวนพร้อมหน้าที่ความรับผิดชอบ อาจจะหลีกเลี่ยงอาการเครียดได้ยาก แต่ก็ควรมีลิมิต และใช้เวลาอยู่กับตัวเอง หยุดพักบ้าง เยียวยาความเครียดด้วยการทำสมาธิ ผ่อนคลายใจ ร่างกาย จัดการระบบความคิด ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมารับมือกับสิ่งต่าง ๆ อีกครั้ง

นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อคุณอายุมากขึ้น การนอนน้อยจะมีผลกระทบกับร่างกายของคุณมากกว่าเดิม ความเหนื่อยล้าจะกินเวลานานขึ้น สมองจะเฉื่อยชาลง ขี้หลงขี้ลืม ในบางคนอาจจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นง่ายเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ซึ่งหากมีอาการแบบนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์เพื่อบำบัดรักษาต่อไป

 

ปัญหาสุขภาพในวัยทองถือเป็นจุดหมายที่หลายคนไม่ต้องการแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นทางที่ดี การเริ่มต้นดูแลสุขภาพร่างกายตั้งแต่ตอนนี้เลยก็จะเป็นการปูพื้นฐานที่ดีแก่สุขภาพในระยะยาว จำเอาไว้ว่าสุขภาพดีเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงอายุ 40 ก่อนก็ได้!

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.prevention.com
ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com


-h2c.jpg

Burn แคลอรีอย่างไร…ให้ได้ผล จึงมีคำถามมาเสมอ ๆ ว่าวิธีการใดเป็นการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและไขมันที่ดีที่สุด บางคนอาจจะบอกว่าออกกำลังกายไว้ก่อน ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าออกกำลังกายไม่ถูกต้องหรือหักโหมจนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ได้ผลตามที่ต้องการอีกด้วยครับ

จากการศึกษาพบว่าโปรแกรมการออกกำลังกายที่ดีและช่วยให้ได้ผลตามที่ต้องการนั้น จะต้องทำการบริหารร่างกายแบบ weight training ควบคู่กันไปกับการออกกำลังกายแบบ aerobic exercise แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าต้องการลดน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกินออกไปจะต้องทำ aerobic exercise เพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วการบริหารร่างกายแบบ weight training ก็สำคัญและมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อที่ได้สัดส่วนสวยงามแล้วยังมีส่วนช่วยเพิ่มมวลของกล้ามเนื้อ ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายเพิ่มการเผาผลาญพลังงานหรือแคลอรีที่มากขึ้นตาม ไม่แต่เฉพาะระหว่างการออกกำลังกายเท่านั้น แต่รวมไปถึงช่วงที่พักหรือไม่ได้ออกกำลังกายด้วย

ถ้าเรามองเฉพาะ aerobic exercise ก็มีอยู่หลายวิธีที่สามารถออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันหรือแคลอรีส่วนเกินออกไปได้ เช่นเดียวกัน เรามักจะได้ยินคนพูดถึงการเผาผลาญไขมันจะต้องใช้วิธีการออกกำลังกายแบบเบา ๆ ไม่หนักมาก แต่ใช้เวลานานเพื่อผลในการเผาผลาญเปอร์เซนต์ของไขมันที่มากกว่า ความเชื่ออันนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เพราะว่าถ้ามีการออกกำลังกายแบบเบา ๆ ประมาณ 40 – 50% maximum heart rate (ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ซึ่งหาได้จาก 220- อายุ) ร่างกายมีการเผาผลาญไขมันมากกว่าก็จริง แต่ถ้ามองถึงแคลอรีโดยรวมแล้วจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าการออกกำลังกายที่หนัก แถมยังเปลืองเวลากว่าด้วย เช่น การเดินเร็ว ๆ 50 – 60 นาที อาจมีการเผาผลาญแคลอรีประมาณ 250 – 300 แคลอรี (เปรียบเทียบจากคนที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม) จะเป็นการเผาผลาญแคลอรีจากไขมันประมาณ 120 – 180 แคลอรี หรือประมาณ 50 – 60% จากแคลอรีโดยรวม

 

เปรียบเทียบการออกกำลังกาย 2 แบบ

เมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายที่มีความหนัก 65 – 80% maximum heart rate เช่น การวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 6 – 7 ไมล์ต่อชั่วโมงในระยะเวลาที่เท่ากันสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 700 – 800 แคลอรี เมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ของการเผาผลาญไขมันอาจอยู่ที่ 30 – 40% เท่านั้น แต่เมื่อดูถึงปริมาณของแคลอรีที่ใช้ไปจะเผาผลาญพลังงานได้ถึง 210 – 320 แคลอรี ถ้ามีการออกกำลังกายลักษณะนี้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็สามารถเผาผลาญไขมันได้ปริมาณใกล้เคียงกับการออกกำลังกายเบา ๆ แต่ใช้ระยะเวลานานกว่า

ดังนั้น ถ้าร่างกายของเราฟิตและแข็งแรงดีสามารถออกกำลังกายได้เต็มที่ ก็ควรบริหารร่างกายแบบ aerobic exercise ที่มีความหนักมากๆ ได้เลย ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันและแคลอรีโดยรวมได้มากเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายที่หนักยังมีผลทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานต่อเนื่องไปประมาณ 24 – 48 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังกายไปแล้ว ซึ่งการบริหารร่างกายแบบเบา ๆ จะไม่เกิดผลเช่นนี้ ถ้าพิจารณาน้ำหนักของไขมันที่ต้องการกำจัดออกไป 1 กิโลกรัมจะต้องมีการเผาผลาญแคลอรีอย่างต่ำประมาณ 7,700 แคลอรี โดยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ

ดังนั้นการออกกำลังกายเพื่อช่วยเผาผลาญแคลอรีให้มากอาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการออกกำลังกายแบบ aerobic exercise ชนิดต่าง ๆ ดังนี้

  • Interval Training: เป็นวิธีการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา ส่วนใหญ่แล้วจะพบเห็นโปรแกรม
    ลักษณะนี้ในเครื่องออกกำลังกายแบบ cardio ชนิดต่างๆ มีตั้งแต่โปรแกรม interval ธรรมดาไปจนถึงโปรแกรมที่มีลักษณะของความหนักเบาที่แตกต่างกันออกไป เช่น heart rate interval, trail blazer, alpine หรือแม้แต่โปรแกรม fat loss ก็เป็น interval training เช่นเดียวกัน โดยการออกกำลังกายที่มีความหนักสลับเบานี้มีผลทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญได้มากขึ้นตาม
  • Circuit Training: ใช้ได้ทั้งอุปกรณ์ที่เป็นการออกกำลังกายแบบ weight training หรือ cardio machines เพียงอย่างเดียว หรือผสมผสานกันไประหว่างอุปกรณ์ทั้ง 2 แบบ ซึ่งการออกกำลังกายแบบนี้สามารถเผาผลาญได้ตั้งแต่ 10 – 12 แคลอรีต่อนาทีขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกำลังกายด้วย) การเพิ่ม stations หรือสถานีเข้าไปยิ่งเพิ่มระยะเวลาทั้งหมดในการออกกำลังกาย จะสามารถเพิ่มแคลอรีได้มากขึ้นตาม และสามารถกำหนดให้มีได้ตั้งแต่ 4 – 12 สถานี ถ้าสถานีไม่มากสามารถทำซ้ำได้ 2 – 3 รอบ หรือถ้ามีจำนวนสถานีมากอาจทำแค่รอบเดียวก็ได้
  • Body Attack: เป็นแอโรบิคคลาสที่เพิ่มความทนทานและความแข็งแรงให้กับทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งโปรแกรมหลักของคลาสนี้ก็เป็นลักษณะของ interval training โดยช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี ในคลาสนี้เมื่อออกกำลังกายครบ 45 นาทีสามารถเผาผลาญได้ถึง 500 – 550 แคลอรี
  • Body Pump: การออกกำลังกายลักษณะนี้นอกจากจะช่วยให้ร่างกายกระชับ เพิ่มความแข็งแรง และความทนทานกล้ามเนื้อให้ได้สัดส่วนที่สวยงามแล้ว เนื่องจากคลาสนี้เป็นการยกน้ำหนักในขณะออกกำลังกายแบบแอโรบิค จึงช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี
  • RPM หรือ Spinning: เป็นแอโรบิคคลาสที่ใช้การปั่นจักรยาน สามารถเผาผลาญได้มากประมาณ 600 – 800 แคลอรี ในระยะเวลาประมาณ 45 นาที ถือว่าเป็นคลาสที่ช่วยในการลดไขมันได้เป็นอย่างดี

การเผาผลาญแคลอรีไม่เพียงแต่เกิดจากการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ระหว่างที่คุณทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันก็สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะเวลาของการทำกิจกรรมนั้น เช่น การล้างรถ ร่างกายจะเผาผลาญประมาณ 112 – 150 แคลอรี ภายใน 30 นาที ดังนั้นถ้าเราต้องการเพิ่มการเผาผลาญแคลอรีในแต่ละวันให้มากขึ้น ก็ควรเพิ่มหรือทำกิจกรรมในแต่ละวันให้มากขึ้น อย่านั่งเฉย ๆ ดูทีวีเพียงอย่างเดียวนะครับ จะได้ช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยต่างๆ มาเบียดเบียนครับ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : med.cmu .(2010).Burn แคลอรีอย่างไร…ให้ได้ผล?.9 สิงหาคม 2559.
แหล่งที่มา : http://www.med.cmu.ac.th/hospital/opd/health/burn.htm
ภาพประกอบจาก : http://www.med.cmu.ac.th


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก