ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis: MG) เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ หรือเรียกว่า โรคภูมิต้านตัวเอง ทำให้กล้ามเนื้อลาย (Voluntary Muscle หรือ Striated Muscle) ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อบริเวณ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า ช่องปาก กล่องเสียง และกล้ามเนื้อซี่โครงที่ใช้ในการหายใจ ไม่สามารถหดตัวได้ตามปกติ ทำให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ

 

จากข้อมูลที่ผ่านมา พบผู้ป่วย 10 ราย ต่อประชากร 100,000 คน โดยพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก เพศหญิงมากกว่าเพศชาย

 

อาการ

มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ (ไม่มีอาการเจ็บปวด) โดยที่อาการจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของกล้ามเนื้อ เช่น

  • กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาอ่อนแรง จะมีอาการหนังตาตกข้างใดข้างหนึ่ง ลืมตาไม่ขึ้น รวมถึงการมองเห็นผิดปกติ เช่น มองเห็นไม่ชัดเจน เห็นภาพซ้อน เป็นต้น
  • กล้ามเนื้อบริเวณรอบปาก จะมีอาการเพดานปากหรือลิ้นอ่อนแรง พูดไม่ชัด เคี้ยวไม่ได้ กลืนลำบาก สำลักอาหาร เป็นต้น
  • กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าอ่อนแรง จะทำให้ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของหน้าได้ มีการแสดง
    สีหน้าเปลี่ยนไป
  • กล้ามเนื้อบริเวณลำคอ แขน ขาอ่อนแรง ทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติ เช่น เดินตัวตรงได้ยาก ทรงตัวลำบาก มีปัญหาในการยกของ หรือเดินขึ้นบันได เป็นต้น
  • กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจอ่อนแรง จะทำให้หายใจลำบากโดยเฉพาะเมื่อนอนราบ หรือหลังออกกำลังกาย

เมื่อไรควรไปพบแพทย์
เมื่อสังเกตพบอาการผิดปกติในการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดลำบาก หายใจลำบาก หอบเหนื่อย กล้ามเนื้อเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุก จากการที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรพบแพทย์ทันที

ในผู้ป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรัง หรือได้รับการรักษาที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Myasthenia Crisis) จากปัญหาของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ภาวะพร่องไทรอยด์ (Hypothyroid) หรือภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroid) ส่งผลให้การเผาผลาญในร่างกายของผู้ป่วยผิดปกติ รวมถึงเนื้องอกที่ต่อมไทมัส มีโอกาสเกิดได้ร้อยละ 15 ของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น

 

สาเหตุ

เชื่อว่าเกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disorder) แบ่งเป็น

  • สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และการส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย แต่ในผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือขัดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามเนื้อแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้
  • ต่อมไทมัส (Thymus Gland) เป็นต่อมที่อยู่บริเวณกระดูกอก มีส่วนในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปขัดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน ในเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะค่อย ๆ เล็กลงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ผิดปกติ หรือผู้ป่วยบางรายมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่มีสาเหตุมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบประมาณร้อยละ 10 ในผู้ป่วยสูงอายุ

 

การวินิจฉัย

เบื้องต้นแพทย์จะวินิจฉัยจากการสอบถามประวัติอาการผู้ป่วย และอาจมีการทดสอบด้วยอื่น ๆ เพิ่มเติมตามความเหมาะสม ได้แก่

  • การตรวจระบบประสาท โดยดูการตอบสนองของกล้ามเนื้อ ดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ดูความตึงตัวของกล้ามเนื้อ การรับสัมผัส การมองเห็นและการทรงตัว เป็นต้น
  • การตรวจการชักนำประสาท (Nerve Conduction Test) มีวิธีการทดสอบ 2 วิธี คือ Repetitive Nerve Stimulation Test เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อมัดที่อ่อนแรงซ้ำ ๆ ด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบความสามารถของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่กล้ามเนื้อ และการตรวจด้วยไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ
  • การตรวจเลือด เพื่อตรวจปริมาณแอนติบอดี้ โดยผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะมีแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อจำนวนมาก
  • การทดสอบ Edrophonium Test หรือ Tensilon Test จะทำการทดสอบเมื่อพบความผิดปกติจากการตรวจระบบประสาทและการตรวจเลือด โดยการฉีด Edrophonium Chloride เพื่อไปยับยั้งการปล่อยตัวจากตัวรับคำสั่งของสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ทำให้แอซิติลโคลีนจับกับตัวรับคำสั่งบนกล้ามเนื้อได้นานขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อไม่เกิดการอ่อนแรง แต่วิธีนี้มีข้อเสีย เนื่องจากมีผลข้างเคียงได้ จึงต้องทดสอบโดยแพทย์ประสาทวิทยาที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (X-ray Computerized Tomography) ซีทีสแกน (CT-scan) หรือเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging scan : MRI scan) เพื่อตรวจสอบต่อมไทมัสว่ามีก้อนหรือมีขนาดผิดปกติหรือไม่
  • การตรวจสมรรถภาพปอด (Pulmonary Function Tests) เพื่อประเมินสภาพการทำงานของปอดและการหายใจ
  • การทำสอบด้วยถุงน้ำแข็ง (Ice Pack Test) แพทย์จะนำถุงน้ำแข็งมาวางบริเวณที่มีอาการตาตกนาน 2 นาที และวิเคราะห์การฟื้นตัวจากอาการตาตกและทำการวินิจฉัยต่อไป

 

การรักษา

การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีหลายวิธีในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง แพทย์จะพิจารณาการรักษาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน โดยคำนึงถึงความรุนแรงของอาการ อายุ ตำแหน่งของโรค มีวิธีการรักษาดังนี้

  1. การรับประทานยา ได้แก่
    • ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors เช่น ไพริโดสติกมีน (Pyridostigmine) ยาจะไปยับยั้งการทำลายสารสื่อประสาทแอซิติลโคลีน ส่งผลให้การส่งสัญญาณระหว่างสมองกับกล้ามเนื้อดีขึ้น ยากลุ่มนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย โดยอาจมีผลข้างเคียงในผู้ป่วยบางราย เช่น เหงื่อออก น้ำลายไหลท้องเสีย คลื่นไส้ เป็นต้น
    • ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เช่น เพรดนิโซน (Prednisone) เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างแอนติบอดี้ที่ผิดปกติ โดยอาจมีผลข้างเคียงเช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น กระดูกบาง ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
    • ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) เช่น อะซาไธโอพรีน (Azathioprine) จะยับยั้งการสร้างแอนติบอดี้ ทั้งนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาเป็นเวลานาน จึงจำเป็นตรวจระบบภูมิคุ้มกันอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจมีผลข้างเคียงเช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ตับอักเสบ ไตอักเสบ และการติดเชื้อ
  2. การเปลี่ยนถ่ายพลาสม่า (Plasmapheresis) เพื่อลดปริมาณแอนติบอดี้ที่จะไปยับยั้งการส่งสัญญาณระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ วิธีการรักษานี้ให้ผลเพียงไม่กี่สัปดาห์และอาจเกิดอาการข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตลดลง มีเลือดไหล หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
  3. การบำบัดด้วยอิมมูโนโกลบูลิน (Intravenous Immunoglobulin: IVIg) วิธีนี้จะช่วยปรับการทำงานของภูมิคุ้มกัน ทำให้สร้างแอนติบอดี้ที่ปกติมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง การฉีดด้วยอิมมูโนโกลบูลิน มีความเสี่ยงและมีอาการข้างเคียงที่รุนแรง น้อยกว่าการเปลี่ยนถ่ายพลาสม่า โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น หนาวสั่น วิงเวียน ปวดศีรษะ และบวมน้ำ เป็นต้น
  4. การฉีดริทูซิแมบ (Rituximab) เพื่อกำจัดเซลล์เม็ดเลือดขาว และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  5. การผ่าตัดต่อมไทมัส ในกรณีที่พบเนื้องอกที่ต่อมไทมัส

 

ข้อแนะนำและการป้องกัน

เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกันก็ยังไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นโรคนี้จึงไม่มีวิธีป้องกัน สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงควรดูแลสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้อาการรุนแรงขึ้น ดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียดและสภาพแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกหนาวหรือร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่หนักเกินไป
  • ติดตั้งราวจับในบริเวณที่พักรักษาตัว ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการล้มได้ง่าย เช่น บริเวณทางลาด บันไดขึ้นลง ห้องน้ำโดยเฉพาะส่วนเปียก
  • หาอุปกรณ์ทุ่นแรง ลดการทำงานของกล้ามเนื้อในส่วนที่อ่อนแรง เพื่อปรับให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น แปรงสีฟันไฟฟ้า เครื่องนวด อุปกรณ์รีโมทต่าง ๆ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้น้ำหนักเกิน เพราะกล้ามเนื้อจะต้องทำงานหนักเพื่อรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ควรรับประทานอาหารที่เคี้ยวง่ายและอ่อนนุ่ม ควรแบ่งมื้ออาหารเป็นหลาย ๆ มื้อ
  • ป้องกันการติดเชื้อด้วยการหมั่นทำความสะอาดที่อยู่อาศัยและการมีสุขอนามัยที่ดี รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยติดเชื้อ หากมีการติดเชื้อควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
  • รับประทานยาให้ถูกต้องตามที่แพทย์แนะนำ ควรไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และหากมีอาการผิดปกติควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที

 

แหล่งข้อมูล : www.pobpad.com  www.honestdocs.co
ภาพประกอบ : www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก