ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

เทคนิคการเลือก รองเท้าวิ่ง ที่ถูกใจซักคู่ ถือเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจพอสมควร ถ้าหากคุณไม่มีความรู้ อาจได้พียงรองเท้าวิ่งที่สวมใส่สบายเมื่อตอนที่อยู่ในร้านเท่านั้น แต่พอวิ่งบนเส้นทางจริงก็อาจเป็นสาเหตุทำให้ปวดไปทั้งขาได้ ดังนั้นเราจึงมีเทคนิคในการเลือกที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อให้คุณได้รองเท้าวิ่งที่ถูกใจที่สุด คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง

 

รองเท้าวิ่ง โดยเฉพาะ

การนำรองเท้าผ้าใบแฟชั่นมาใส่วิ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดเพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยาว แม้ว่าในชีวิตประจำวันบางคนอาจแย้งว่าคุณสามารถวิ่งได้คล่องแคล่วถึงจะสวมใส่รองเท้าแตะเสียด้วยซ้ำ…คุณอาจสามารถใช้รองเท้าเหล่านั้นได้เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่เหมาะแน่หากคุณกำลังคิดจะยึดการวิ่งเป็นกีฬาประจำตัวในการออกกำลังกาย นั่นเพราะการวิ่งเป็นประจำจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและรับภาระของช่วงล่างซ้ำ ๆ การมีอุปกรณ์ที่ถูกต้องและซัพพอร์ทการเคลื่อนไหวของคุณได้ดีจะทำให้คุณได้รับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นน้อยลง รองเท้าวิ่งจะมีการถนอมข้อเท้าที่ดีกว่า

 

ประเภทของการวิ่ง

วิ่งมาราธอน วิ่งระยะใกล้ วิ่งระยะไกลหรือวิ่งในยิม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อลักษณะของรองเท้าวิ่ง หลักง่าย ๆ คือยิ่งคุณวิ่งเป็นระยะทางไกลมากเท่าไหร่ ควรเลือกรองเท้าที่มีการบุนวมหนาขึ้นเพื่อซัพพอร์ทกล้ามเนื้อและกระดูกข้อเท้าไม่ให้รับภาระมากเกินไป สำหรับในส่วนของการวิ่งวิบากแบบมาราธอนสิ่งสำคัญคือเรื่องของดอกยางที่สามารถเกาะพื้นได้ดี พื้นรองที่ซัพพอร์ทฝ่าเท้า จะช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นบนเส้นทางได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทางขุระ ทางลื่น สำหรับการวิ่งในยิมซึ่งไม่มีอุปสรรคอะไรมากนัก รองเท้าวิ่งมักจะเน้นความสมดุลและความสามารถในการเกาะยึดพื้นผิว เพราะพื้นในโรงยิมส่วนใหญ่มักเป็นยางที่ลื่น ดังนั้นอาจเสียหลักได้ในกรณีที่เปียกเหงื่อหรือน้ำหก

 

ชนิดของรองเท้าวิ่ง

ชนิดของรองเท้าวิ่งจะสัมพันธ์กับประเภทของการวิ่งที่คุณเลือก ดังนี้

  • Neutral shoes : รองเท้าประเภทนี้เหมาะกับการวิ่งในยิมหรือพื้นที่เฉพาะอย่างสนามกีฬาและสวนสาธารณะ มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวสูง แต่การซัพพอร์ทอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการพลิกและเส้นทางคดเคี้ยวน้อยกว่าประเภทอื่น ๆ
  • Stability shoes : รองเท้าประเภทนี้มีความสมดุลค่อนข้างสูง เหมาะกับนักวิ่งที่ชอบไปยังเส้นทางในชีวิตประจำวันเช่นการวิ่งไปทำงานหรือสถานที่ต่าง ๆ หรือการวิ่งขึ้นลงบันไดตามสิ่งก่อสร้าง เพราะตัวรองเท้ามีการซัพพอร์ทเพื่อป้องกันข้อเท้าพลิกและหกล้มค่อนข้างดี
  • Motion control : รองเท้าประเภทนี้จะมีรูปร่างภายนอกที่ดูหนาที่สุดเมื่อเทียบกับรองเท้าวิ่งแบบอื่น ๆ เหมาะสำหรับมือใหม่ไปจนถึงนักวิ่งมืออาชีพ คนที่ยึดการวิ่งเป็นกีฬา วิ่งทุกวัน ไปวิ่งแทบทุกงาน เพราะรองเท้าวิ่งประเภทนี้จะถนอมข้อเท้าและกล้ามเนื้อขาสูงสุด ลดความเสี่ยงบาดเจ็บสำหรับคนที่วิ่งหนักและบ่อย
  • Barefoot shoes : รองเท้าประเภทนี้เน้นโครงสร้างปราดเปรียวและน้ำหนักเบา เน้นใส่แล้วเคลื่อนไหวสบาย ๆ แบบ Crossfit

 

ใส่ได้พอดี

หากรองเท้าไม่พอดี เพียงแค่เดินเรายังรู้สึกว่าลำบาก ยิ่งต้องใส่วิ่งจนครบตามเป้าหมายระยะเวลาด้วยแล้วคงเป็นเรื่องที่ไม่สบายเท้าเป็นอย่างมาก  ดังนั้นวิธีเช็คว่ารองเท้าที่ใส่พอดีหรือไม่มีดังนี้

  • กระชับ : โดยเฉพาะบริเวณข้อเท้าที่เมื่อสวมใส่รองเท้าวิ่งแล้วรู้สึกว่าตัวรองเท้าสามารถโอบกระชับได้อย่างดี เวลาแบะเท้าออกแล้วไม่ลื่นไหลหรือพลิกไปมา
  • มีพื้นที่หน้ารองเท้า : ตรงหัวรองเท้าช่วงปลายนิ้วและนวมบุรองเท้าควรมีที่ว่างประมาณครึ่งเซ็นติเมตร คุณสามารถลองจิกเล็บดูภายในร้องเท้า งอนิ้วได้นิดหน่อย เพื่อป้องกันปัญหารองเท้ากัดเมื่อเท้าขยายและเล็บขบ
  • ซื้อตอนเย็น : ข้อนี้สำคัญ เพราะเท้าที่ผ่านการเดินมาตลอดทั้วันจะขยายมากที่สุด ทำให้เราสามารถกะได้ว่าซื้อรองเท้าไซส์ไหนมาจึงจะไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป

 

ลองเสมอ

กรณีที่ซื้อ รองเท้าวิ่ง ครั้งแรกในชีวิต คุณควรลองสวมที่ร้านก่อนเสมอ บางร้านที่มีขนาดใหญ่อาจจะมีบริเวณออกกำลังกายอย่างลู่วิ่งให้ลูกค้าได้ลองสวมวิ่งด้วย แต่ถ้าไม่…ลองสวมแล้วเดินไปมาในร้าน เพื่อให้มั่นใจว่ารองเท้าวิ่งคู่นั้นกระชับเท้าของคุณอย่างแท้จริง ถ้าไม่เคยมีรองเท้าวิ่งมาก่อน หรือเปลี่ยนแบรนด์ที่ไม่เคยใช้ ไม่ควรเสี่ยงซื้อทางออนไลน์ แต่ถ้าเคยซื้อรองเท้าวิ่งมาแล้ว และต้องการคู่ใหม่แบรนด์เดิม ก็สามารถเลือกตามแบบเดิมที่เคยมีได้เลย

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.rei.com   www.runningshoesguru.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


-5-สิ่งที่ไม่ควรทำกับคอนแทคเลนส์.jpg

คอนแทคเลนส์ ถือเป็นหนึ่งในไอเทมส์คู่ใจของสาว ๆ ยุคปัจจุบันไปแล้ว เรามักจะใช้ในการปรับเปลี่ยนลุคแต่งหน้า และสำหรับใครที่มีปัญหาสายตา ก็มักจะเลือกสีสันและลวดลายตามเทรนด์ ต่างจากเมื่อก่อนที่มักเป็นคอนแทคเลนส์เรียบ ๆ ธรรมดา แต่อย่างไรก็ตาม แม้ คอนเทคเลนส์จะช่วยอำนวยความสะดวกและความคล่องตัวในทุกครั้งที่ใช้ แต่ถ้าปฏิบัติผิด ๆ ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพของดวงตาได้

 

ช็อค… คอนแทคเลนส์ ติดอยู่ในดวงตา 28 ปี!

ข่าวช็อควงการแพทย์และเหล่าผู้ใช้คอนแทคเลนส์ เมื่อมีรายงานว่าหญิงวัย 42 ปี มีอาการปวดและกล้ามเนื้อตาหดเกร็งมานานกว่า 6 เดือน หลังจากตรวจอาการในเบื้องต้นกับอายุรแพทย์ เธอได้รับการส่งต่อไปยังจักษุแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งภายใต้การตรวจโดย MRI ก็พบกับผลลัพธ์สุดสะพรึง นั่นก็คือคอนแทคเลนส์ที่อยู่ข้างในเบ้าตา เธอได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดและได้พบว่าแท้ที่จริงแล้วคอนเทคเลนส์อันนี้คือคอนแทคเลนส์เก่าที่หายไปกว่า 28 ปี เป็นข้างเดียวกับที่หญิงคนนั้นเคยใส่เมื่อสมัยสาว ๆ ภายหลังเธอได้เล่าว่า เธอเคยมีประวัติอุบัติเหตุที่ดวงตาข้างซ้ายจากการเล่นแบดมินตัน หลังจากนั้นเธอก็ไม่พบคอนแทคเลนส์ที่สวมใส่อยู่อีกเลย เธอเข้าใจว่ามันหลุดหายไปตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ อุบัติเหตุครั้งนั้นอาจเป็นสาเหตุดันเลนส์เข้าไปลึกในเบ้าตา อย่าไรก็ตามนับว่าเป็นโชคดีที่ไม่มีอาการร้ายแรงเกินไปกว่านี้ และเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ใช้คอนแทคเลนส์ให้มีความระวัดระวัง แม้ว่าปัจจุบันจะมีการพัฒนาคอนแทคเลนส์ที่สามารถยึดติดกับดวงตาได้ดีกว่าเดิมก็ตาม ว่าหากคุณรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม หรือคอนแทคเลนส์สูญหายจากดวงตาโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์

 

5 สิ่งที่ไม่ควรทำกับคอนแทคเลนส์

ใส่อาบน้ำหรือว่ายน้ำ
จากผลการสำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ามีผู้ใช้คอนแทคเลน์เกิน 80% ไม่ถอดออกขณะอาบน้ำ และกว่า 60% สวมคอนแทคเลนส์เมื่อใช้สระว่ายน้ำอีกด้วย พฤติกรรมนี้สร้างความเป็นห่วงจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญ เพราะน้ำนั้นสามารถเพิ่มโอกาสติดเชื้อให้แก่ดวงตาของผู้สวมคอนแทคเลนส์ได้ แม้น้ำประปาจะได้รับการการันตีว่าปลอดภัย แต่การปนเปื้อนจุลินทรีย์อาจมาจากก็อก อ่างน้ำ ภายในสระ ซึ่งน้ำเหล่านั้นจะมาเคลือบติดบนคอนแทคเลนส์และถูกกักเอาไว้ในดวงตา นอกจากนั้นยังไม่ควรใช้แค่น้ำเปล่าธรรมดาล้างคอนแทคเลนส์ด้วย

ไม่ถูขณะล้าง
ในการล้าง คอนแทคเลนส์ ทุกครั้งต้องใช้นิ้วถูทำความสะอาดด้วย ไม่ควรแช่ไว้เฉย ๆ แม้ว่าจะแช่อยู่ในน้ำยาล้างก็ตาม เว้นแต่ว่าคุณใช้เครื่องล้าง นั่นก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น การใส่ใจทำความสะอาดโดยใช้มือถือ ในรายที่ไม่มีเครื่องล้างจะช่วยขจัดคราบสกปรกต่าง ๆ เศษฝุ่น และคราบโปรตีน อีกทั้งยังสามารถกำจัดเชื้อโรคได้ในเบื้องต้น หลังจากใช้นิ้วถูเบา ๆ แล้ว เพื่อความมั่นใจควรนำไปแช่น้ำยาทิ้งไว้ต่างหากในถ้วยใหม่อีกหนึ่งคืน

ใส่นอนหลับ
ผลการสำรวจพบว่ามีผู้ใช้คอนแทคเลนส์เกินว่า 80% ในสหรัฐอเมริกาไม่ถอดคอนแทคเลนส์ออกขณะที่งีบหลับ ซึ่งพฤติกรรมนี้นับว่าเป็นการประมาทและอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพดวงตาอย่างมาก ดังนั้นหากพบว่าการเผลองีบหลับหลีกเลี่ยงยาก ลองเลือกคอนเทคเลนส์ที่ซัพพอร์ทการเกาะติดดวงตา นี่คือทางแก้ไขในเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการถอดออกขณะหลับเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะการหลับทั้งคอนแทคเลนส์นอกจากจะมีความเสี่ยงทำให้หลุดเข้าไปติดในเบ้าตาแล้วยังอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ อีกทั้งการถอดคอนแทคเลนส์จะทำให้ดวงตาได้พักรับออกซิเจนอย่างแท้จริง จากผลการวิจัยพบว่าออกซิเจนมีบทบาทช่วยให้กระจกตาแข็งแรง

ใส่เกินอายุกำหนด
ผู้ใช้คอนแทคเลนส์ควรตระหนักถึงอายุของคอนแทคเลนส์แต่ละคู่ว่าสมารถใส่ได้นานแค่ไหน บางคู่อาจเป็นแบบใส่รายวัน หรือบางคู่อาจเป็นแบบใส่รายเดือน จุดนี้สำคัญมากเพราะเป็นการป้องกันไม่ให้ดวงตาของคุณติดเชื้อจุลินทรีย์ หลักการนี้ใช้กับเลนส์ที่หมดอายุแล้วเช่นเดียวกัน แม้ว่าคุณจะไม่เคยแกะคอนแทคเลนส์คู่นั้นออกมาใส่เลยก็ตาม ความผิดพลาดที่มักพบได้บ่อยคือผู้ใช้มักจะแกะคอนแทคเลนส์คู่เหมือนออกมาใส่พร้อมกันหลายคู่ ทำให้ไม่สามารถแยกแยะวันหมดอายุของเลนส์ได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังให้ดี

วางไว้นอกของเหลวเฉพาะ
โดยปกติแล้วน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์จะมีความสามารถในการชะล้างเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่อาจปนเปื้อนมาจากการใช้งานคอนแทคเลนส์ได้ แต่กรณีที่คุณเผลอวางนอกเคสคอนแทคเลนส์ที่เป็นภาชนะปิด หรือเผลอทำคอนแทคเลนส์หล่นไปแล้วก็ไม่ควรเก็บกลับมาใส่อีกเด็ดขาดแม้จะล้งแล้วก็ตามเพราะอาจทำให้ดวงตาเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.shape.com   www.aameda.org   www.health.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


.jpg

มาลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และเริ่มต้น พัฒนาสมอง อยู่เสมอกันด้วยวิธีใกล้ตัวที่คุณอาจจะนึกไม่ถึง แต่แท้จริงแล้วกลับมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากที่จะช่วยผลักดันและกระตุ้นให้สมองทำงาน การดูแลและออกกำลังสมองจะส่งผลดีต่อเนื่องในระยะยาว อวัยวะที่สำคัญไม่ว่าใครก็อยากให้มันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพไปได้นาน ๆ

 

การฟังเพลง

นอกจากการฟังเพลงจะช่วยทำให้คุณกะปรี้กะเปร่า ผ่อนคลาย และมีอารมณ์ที่ดีขึ้น ยังถือเป็นการพัฒนาสมองด้วยการเชื่อมต่อโครงสร้างของโน้ตดนตรีต่าง ๆ และยังได้ผลดีเป็นพิเศษเมื่อฟังเพลงใหม่ ๆ อีกด้วย

 

หาเพื่อนใหม่

การพูดคุย แลกเปลี่ยน ทำความรู้จักและพยายามเข้าใจเพื่อนใหม่ เป็นวิธีที่จะช่วยบริหารสมองเช่นกัน โดยในส่วนของความจำระยะสั้น ฝึกจับใจความและจดจ่อกับข้อมูลได้มากขึ้น และยังช่วยพัฒนาสมองให้คิดในแนวทางใหม่ ๆ ที่แตกต่างออกไปจากเดิม

 

หัวเราะบ่อย ๆ

ความเครียดจะทำให้สมองปล่อยสารที่มีชื่อว่า Cortisol ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถจะคิดและสร้างสรรค์อย่างปลอดโปร่ง และในระยะยาว ความเครียดยังทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้และความทรงจำได้เช่นกัน การหัวเราะจะช่วยลดระดับ Cortisol และทำให้สมองของคุณมีสุขภาพดีขึ้น

 

ออกไปข้างนอกบ้าง

ธรรมชาติจะช่วยส่งผลด้านความสงบและบรรเทาความเครียด ในชีวิตประจำวัน คุณอาจจะหาเวลาเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลาย ด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่าง หรือออกไปเดินเล่น ให้สมองได้พักผ่อนจากข้อมูลที่วิ่งวุ่นวาย เมื่อสมองถูกรีเฟรชด้วยธรรมชาติจะทำให้คุณกลับมาโฟกัส เพิ่มความสร้างสรรค์และความสามารถในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น

 

เปลี่ยนแปลงตารางประจำวัน

มันก็ไม่ได้แย่และสะดวกดี หากคุณทำตามตารางชีวิตและสิ่งเดิม ๆ ทานอาหารเช้าแบบเดิม ๆ ใช้ชีวิตตามปกติ แต่การเปิดรับ เรียนรู้สิ่งใหม่และนำไปผสมผสาน จะช่วยในการพัฒนาสมองได้อย่างดี

 

กลับสู่การเรียนรู้อีกครั้ง

อย่าหยุดนิ่งและหางานอดิเรกใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมประเภทการเขียน ศิลปะ ดนตรี หรือทักษะต่าง ๆ การทำกิจกรรมเหล่านั้นจะกระตุ้นเซลล์ในสมองจำนวนมากในแนวทางที่ต่างออกไป นอกจากจะได้ประโยชน์กับสมองแล้ว คุณยังอาจพบพรสวรรค์ที่แอบซ่อนอยู่ก็เป็นได้

 

พยายามโฟกัสในสิ่งต่าง

อย่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ดูทีวี อ่านข้อความ เล่นโซเชี่ยล หรือกินข้าวพร้อมกัน เพราะกระแสข้อมูลที่หลากหลายจะทำให้คุณไม่สามารถโฟกัสและจัดการหน่อยความจำใด ๆ ได้ ทำให้ใช้สมองได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้สมาธิและความจำสั้นอีกต่างหาก

 

ทำสมาธิ

ไม่ว่าจะเป็นการท่องบทสวดมนต์หรือกำหนดลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว ก็ถือเป็นการทำสมาธิ ที่สามารถช่วยลดปัญหาความดันโลหิตสูงและอัลไซเมอร์ได้ โดยการทำสมาธินั้น อีกนัยหนึ่งก็คือการพักสมองจากคำพูด ความนึกคิดและการทำงานหนักต่าง ๆ นั่นเอง

 

ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายนอกจากจะดีต่อร่างกายแล้ว ก็ยังดีต่อการพัฒนาสมองเช่นกัน โดยมันจะช่วยให้คุณสามารถนึกคิดอย่างเฉียบแหลม เป็นเหตุเป็นผล เพราะเลือดสามารถใหลเวียนเข้าสู่สมองได้อย่างดี เพราะฉะนั้นมาขยับตัวอย่างน้อยวันละ 30 นาทีกันดีกว่า

 

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

หากคุณได้รับการนอนหลับไม่เพียงพอ แม้แต่งานง่ายๆ ก็สามารถกลายเป็นเรื่องยากได้ โดยคุณจะเบลอ ไม่สามารถโฟกัสในสิ่งที่กำลังทำ และหลงลืมมากขึ้น ทางที่ดีคือปล่อยให้สมองของคุณได้นอนหลับพักผ่อน 7 – 9 ชั่วโมงในแต่ละคืนกันเถอะ

 

ดูแลเรื่องอาหารการกิน

การรับแคลอรี่ที่มากเกินไป อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยง ทำให้ปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียความทรงจำมีมากขึ้น ถ้าหากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักหรือการกิน สามารถปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อหาทางแก้ไขได้

 

บำรุงสมอง

ด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ปลาและบรรดาไขมันดี อย่างกราโนล่าและน้ำมันมะกอก การดื่มชาหรือกาแฟสามารถกระตุ้นให้สมองของคุณตื่นตัว และไม่ควรได้รับคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 20 กรัมต่อวัน เพราะน้ำตาลในเลือดจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์

 

หยุดสูบบุหรี่

ในบุหรี่มีสารเคมีหลายชนิดที่สามารถทำร้าย และส่งผลเสียต่อสมองของคุณ และอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้ ทั้งผู้สูบโดยตรงและยังกระทบต่อผู้คนรอบข้างหรือที่เรียกกันว่าบุหรี่มือสองอีกด้วย

 

ดูแลหัวใจของคุณ

ถ้าหัวใจของคุณมีสุขภาพไม่ดี อาจส่งผลถึงปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้และหน่วยความจำ การมีน้ำหนักเกินและการออกกำลังกายไม่เพียงพอ จะทำให้หลอดเลือดของคุณแคบลง จนไปกระทบเลือดที่จะไหลไปยังสมอง

 

เข้าพบจิตแพทย์

หากคุณหรือสึกหดหู่ หรือกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกและจิตใจ ซึมเศร้า ไม่สนใจที่จะทำในกิจกรรมที่ชอบเช่นเดิม คิดอะไรไม่ออก หัวไม่แล่น โปรดอย่ามองข้าม เพราะนั่นคืออาการป่วย ควรพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป

 

การพัฒนาสมองให้ไบรท์อยู่เสมอจะช่วยทำให้สุขภาพโดยรวมทั้งร่างกายและจิตใจของเราดีขึ้นอย่างเกห็นได้ชัดแน่นอนว่าทุกคนก็อยากจะมีสมองไว้คิดและควบคุมสั่งการร่วมกับอวัยวะอื่น ๆ ไปอีกนาน ดังนั้นลองทำตามวิธีที่เราแนะนำทั้ง 15 นี้ ก็จะเห็นผลได้ง่าย ๆ เลยล่ะ

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา :  www.webmd.com
ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com


ways-increase-positive-energy-life.jpg

การประสบความสำเร็จในชีวิตด้านใดกันนะ ที่จะมีค่าเท่า ‘ความสุข’ คำสั้น ๆ ที่หลายคนล้วนเสาะแสวงหา และเป็นความปรารถนาอันดับต้น ๆ ของชีวิต ซึ่งแท้จริงแล้วการสร้างความสุขนั้น สามารถเริ่มได้จากตัวเองจากวิธีที่ง่ายกว่าที่คิด อีกทั้งยังสามารถส่งต่อไปถึงผู้คนรอบข้างได้อีกด้วย โดยคุณอาจจะเริ่มสร้างความสุขตามคำแนะนำง่าย ๆ ทั้ง 15 ข้อดังนี้

 

เดินอย่างกระฉับกระเฉง

การเดินหลังตรง ยืดตัว และแกว่งแขนไปพร้อมกันสามารถทำให้อารมณ์ดีขึ้นแบบบวก ๆ

 

ยิ้มอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเจออะไร ยิ้มเข้าไว้ก่อน การยกมุมปากทั้งสองข้างช่วยในการเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมองทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากขึ้น

 

เป็นอาสาสมัคร

การช่วยเหลือคนอื่นไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชุมชนหรือยื่นมือเข้าหาเพื่อนเมื่อพวกเขาต้องการ จะสร้างความสุขจากการเป็นผู้ให้ ถือเป็นการพัฒนาด้านสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง

 

หาเพื่อนใหม่

เปิดตัวตนสร้างความสัมพันธ์ เฟรนลี่เข้าไว้กับผู้คนที่พบเจอ เช่น เพื่อนในที่ทำงาน ยิม โบสถ์ หรือสวนสาธารณะ รู้จักรักษาและสานต่อความสัมพันธ์ การได้ติดต่อกับมิตรที่ดีจะช่วยให้คุณมีความสุข

 

จดบันทึกความสุข

เขียนทุกอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกดีลงในสมุด เพื่อการโฟกัสแต่สิ่งดี ๆ มองโลกและชีวิตในแง่บวกก็ช่วยได้เยอะ

 

ออกกำลังกาย

การออกกำลังระยะสั้น ๆ แค่ประมาณ 5 นาทีก็สามารถทำให้คุณรู้สึกดีและสดชื่น ยิ่งทำเป็นประจำยิ่งดีต่อสุขภาพและร่างกายในระยะยาว และการออกกำลังยังช่วยบำบัดภาวะซึมเศร้าอีกด้วย

 

รู้จักการให้อภัยและปล่อยวาง

ความเสียใจ ความเศร้า และความผิดหวังจะกัดกินและผลักดันชีวิตของคุณออกจากความสุขสงบ มามีความสุขจากภายในด้วยการเริ่มต้นให้อภัย และปล่อยวางสิ่งที่ไม่น่าจดจำออกไปจากชีวิต

 

ฝึกสติและสมาธิ

การนั่งสมาธิแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะส่งผลให้คุณมีความสุข ความสงบ และความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้นได้

 

ฟังเพลงโปรด

การฟังเพลง มีพลังและสามารถส่งผลต่ออารมณ์ได้มากกว่าที่คุณคิด เลือกฟังเพลงที่ชอบและปล่อยใจไปกับมัน เพียงเท่านี้ความสุขก็อยู่ไม่ไกล

 

นอนหลับอย่างพอเพียง

ผู้ใหญ่ต้องการการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อคงสภาวะอารมณ์ที่ดี ไม่หงุดหงิดง่ายจากการนอนไม่พอ

 

ตั้งเป้าหมาย

การมีจุดมุ่งหมายในการทำสิ่งต่าง ๆ จะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย แม้ในวันที่เหนื่อยล้า หากคุณรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร และเพื่ออะไร เหตุผลเหล่านั้นจะช่วยย้ำเตือนถึงความสำเร็จที่จะมาถึงได้ในอนาคต

 

ท้าทายความกลัวภายใน

คุณอาจจะมีเสียงเล็ก ๆ จากภายในคอยยับยั้งความคิด การกระทำ ว่าสิ่งที่คุณทำหรือเป็นอยู่นั้นดีจริงหรอ มันอาจเป็นคำเตือนที่มีประโยชน์ แต่บางครั้งก็ต้องกล้าที่จะมั่นใจตัวเองและมีความสุขกับสิ่งที่ตัดสินใจลงไป พุ่งชน และทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่ตั้งใจไว้

 

บรรลุจุดหมาย

คุณสามารถเริ่มจากเป้าหมายเล็ก ๆ ในชีวิต เช่น เดินออกกำลังเป็นเวลา 30 นาที 3 วันในหนึ่งสัปดาห์ หรือ ทานสลัดเป็นอาหารกลางวันสองครั้งต่อสัปดาห์ เลือกเป้าหมายที่อยู่ในพื้นฐานความเป็นจริง เมื่อคุณทำสำเร็จ คุณจะเกิดความรู้สึกดี และยังสามารถให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองได้อีกด้วยนะ

 

ค้นหาผู้คนที่มีพลังบวก

รู้หรือไม่ ว่าเรื่องอารมณ์ ก็สามารถติดต่อกันได้ ผู้คนที่มีพลังบวกในตัว มองโลกในแง่ดี มีแพสชั่น จะส่งเสริมและส่งต่อพลังชีวิตของพวกเขามาสู่คุณ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจมากขึ้น และคุณสามารถส่งต่ออารมณ์ดี ๆ ให้กับผู้คนรอบตัวได้เช่นกัน

 

พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณยังรู้สึกว่าการมีความสุขหรือทำตัวให้เป็นสุขเป็นเรื่องยาก หลังจากที่ลองทำตามเคล็ดลับทั้งหมดข้างต้น ก็อาจถึงเวลาที่ต้องพึ่งและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปรึกษาอาการ หาทางแก้ไข หรือรับการรักษาให้คุณสามารถกลับมามีความสุขได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

 

ทั้ง 15 ข้อสร้างความสุขนี้ทำได้ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะ…ถ้าลองปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นนิสัยคุณก็จะยิ่งพบว่าสิ่งเหล่านี้ง่ายดายมากขึ้นอีก ดังนั้นแทนที่จะรอให้ความสุขเข้ามาหาตัวเรา สู้เริ่มสตาร์ทที่ตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพียงเท่านี้ก็ดีต่อใจ ดีต่อชีวิต และยังดึงพลังในด้านบวกให้เข้ามารายล้อมตัวคุณอีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.webmd.com
ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com


5-ดาราหนุ่มวีแกนสุดฮอต-ที่ทำให้อยากกินผัก.jpg

ใครว่านักล่าต้องกินเนื้อ…ขอเปิดประเด็นด้วยการชวนสาว ๆ มาทำความรู้จักกับ 5 ดาราชายคนดังระดับโลก การันตีความฮอตปรอทแตก รูปร่างกระชากใจ ที่สำคัญบางคนยังเป็นชาววีแกนและบางคนกินมังสวิรัติอีกด้วย เห็นแบบนี้แล้วทำเอาความเชื่อเรื่องผู้ชายร้ายต้องกินเนื้อสั่นคลอนกันเลยใช่มั้ยคะ เรามาดูหนุ่ม ๆ เป็นอาหารตากันดีกว่า ใครอยากจะลองดูแลสุขภาพตามวิธีการแบบนี้ก็ไม่ว่ากันค่ะ หรือใครคิดอยากจะเริ่มหันมากินผักผลไม้เพื่อสุขภาพมากขึ้นก็ดีมาก ๆ เลย

 

Jared Leto

นักร้องหนุ่มมาดเซอร์เจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มและดวงตาสีฟ้ามีเสน่ห์คู่นี้กระชากหัวใจของสาว ๆ ทั่วโลกมาแล้ว จากการรับบท Joker ในภาพยนตร์เรื่อง Suicide Squad เห็นแบบนี้เจ้าตัวอายุขึ้นหลักสี่แล้วนะ แต่เคล็ดลับความหล่อกระชากวัยส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานทานมังสวิรัติมาร่วม 20 ปี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวีแกนเต็มตัว

 

Milo Ventimiglia

ดาราหนุ่มจอเงินเชื้อสายอิตาเลี่ยน-ไอริชคนนี้ ถ้าสาว ๆ คนไหนติดตามซีรี่ส์ดังทางช่อง NBC อย่างเรื่อง Heroes ก็ต้องร้องอ๋อกันแน่นอน เห็นแบบนี้คุณอาจนึกไม่ถึงเลยว่าเขารับประทานมังสวิรัติมาตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน เรียกว่ากินผักกันทั้งบ้านเลยทีเดียว

 

Liam Hemsworth

อีกหนึ่งดาราหนุ่มซึ่งเป็นที่คลั่งไคล้จากสาว ๆ ทั่วโลก ตั้งแต่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Hunger Game แม้เทียบสัดส่วนจากพระเอกของเรื่องแล้วบทจะน้อยกว่า แต่ความดังไม่เป็นรองแน่ ๆ ที่สำคัญจากการทำงานร่วมกับเพื่อนนักแสดงในกองที่เป็นวีแกนทำให้เขาเริ่มสนใจ และหันมาเป็นวีแกนเต็มตัวตั้งแต่ปี 2015 และเคยได้รับรางวัล Sexiest Vegan Celebrities ประจำปี 2016 จาก PETA อีกด้วย

 

Tobey Maguire

ดาราหนุ่มคุณภาพระดับออสการ์ที่มาพร้อมผลงานการแสดงทุบสถิติรายได้มากมายอย่าง Spider Man 1-3 เสน่ห์ของผู้ชายคนนี้คงเป็นในเรื่องของมาดใส ๆ แบบหนุ่มข้างบ้าน ยังพร้อมรับบทเด็กไฮสคูลแม้อายุจะเลยหลักสี่มาแล้ว เขาเริ่มรับประทานมังสวิรัติในปี 1992 และกลายมาเป็นวีแกนในปี 2009

 

Benedict Cumberbatch

ใครหลงรักหนุ่มอังกฤษคนนี้กันบ้าง เราคุ้นหน้าเขากันดีจากซีรี่ส์ Sherlock Holmes และภาพยนตร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ Dr. Strange เขาได้พูดถึงการใช้ชีวิตแบบวีแกนของตนเองเมื่อช่วงกลางปี 2018 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งยังกล่าวถึงประสบการณ์เดินทางไปสิงคโปร์และลิ้มรสอาหารท้องถิ่นด้วยว่าได้พยายามลองมากที่สุดเท่าที่คนเป็นวีแกนสามารถทำได้…เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยว่าเขา Enjoy กับความเป็นวีแกนของตนเองไม่น้อย

 

เป็นยังไงกันบ้างคะ…ดาราหนุ่มทั้ง 5 คนนี้ ระดับความหล่อและเซ็กซี่ไม่ธรรมดากันเลยใช่มั้ย เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนอาจเคยติดตามและชื่นชอบผลงาน หรือเคยเห็นการแสดงของ 1 ใน 5 คนนี้ผ่านตามาก่อนบ้างแล้ว แต่บางคนอาจยังไม่เคยรู้เจาะลึกถึงรสนิยมการกินที่เป็นวิถีชีวิตขงพวกเขาแบบนี้ แม้จะเป็นวีแกน ซึ่งหลีกเลี่ยงการบริโภคอุปโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์โดยสิ้นเชิง ส่วนบางคนอาจรับประทานมังสวิรัติที่งดเว้นเฉพาะชีวิต แต่ยังบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในลักษณะของนมและเนยได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ล้วนเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าผักและผลไม้มีประโยชน์ต่ร่างกาย พวกเขายังคงมีสุขภาพแข็งแรง มีรูปร่างเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ และเป็นแรงบันดาลใจของผู้ชายอีกหลายคน ใครอยากลองนำหลักโภชนาการแบบนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันดูบ้าง อย่างไรก็ได้รับผลดีแน่นอนค่ะ…เป็นเรื่องดีที่จะเริ่มกินผักและผลไม้ตั้งแต่วันนี้

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.shape.com   www.shape.com
ภาพประกอบจาก : jaredleto   miloanthonyventimiglia   liamhemsworth   tobey.ma   cumberlife   www.freepik.com

 


5-แนวกลิ่นน้ำหอมเพิ่มแรงดึงดูดทางเพศ.jpg

หลากหลายพฤติกรรมทางกายภาพที่เกิดตามธรรมชาติของเรานั้นล้วนมีจุดมุ่งหมายในเรื่องเพศหรือเซ็กส์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่องกลิ่นก็มีอิทธิพลต่อการดึงดูดซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ทางเพศและกลิ่นน้ำหอมเป็นหัวข้อที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับโลกต่างให้ความสนใจในการศึกษาอย่างมาก ทั้งในเรื่องของฟีโรโมนจากร่างกายตามธรรมชาติ และกลิ่นต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกคู่ของเรา

 

วงการธุรกิจน้ำหอมและเนวคิดเรื่องเซ็กส์

เนื่องจากแนวคิดเรื่องกลิ่นและการเลือกคู่นี้เอง ทำให้เหล่าผู้ประกอบการแบรนด์น้ำหอมต่างมุ่งเน้นการสร้างจุดขายในเรื่องเซ็กส์แฝงอยู่ในแคมเปญโฆษณาทุกยุคทุกสมัย ย้อนกลับไปเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 Jacques Guerlain ผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางเกอร์แลง (Guerlain) ได้ผลิตน้ำหอมที่ให้กลิ่นที่ชวนให้รู้สึกถึงพื้นที่ใต้กระโปรงของสุภาพสตรีและกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก เป็นต้นแบบของกลิ่นขายดีประจำแบรนด์ตลอดกาลอย่าง Shalimar และ Mitsouko

จากความสำเร็จในครั้งนั้น เป็นแบบแผนให้เหล่าแบรนด์น้ำหอมอื่น ๆ เจริญรอยตาม ไม่ว่าจะเป็น Tom Ford กลิ่น Black orchid, Serge Lutens กลิ่น Ambre sultan หรือ Hermès กลิ่น Eau de hermès ที่ชูจุดขายในเรื่องเพศอย่างชัดเจน นอกจากการผสมผสานกลิ่นจากสัตว์ พืชและสารสังเคราะห์เพื่อให้ได้แนวกลิ่นที่ใกล้เคียงกับแนวคิดเรื่องเซ็กส์มากที่สุด ในปัจจุบันวงการน้ำหอมยังก้าวข้ามไปอีกขั้นด้วยการพัฒนาสารเคมีจำพวกฟีโรโมน รวมไปจนถึงการเลียนแบบกลิ่นสารคัดหลังที่เกิดจากร่างกายโดยตรงอีกด้วย

 

5 แนวกลิ่นน้ำหอมเพิ่มเสน่ห์แรงดึงดูดทางเพศ

มัสก์

มัสก์ (Musk) เป็นกลิ่นฐานยอดนิยมที่กลุ่มน้ำหอมที่มีจุดขายในเรื่องเพศ  เป็นสารสกัดที่ได้จากสัตว์ ภายหลังได้มีการพัฒนามัสก์จากพืช เนื่องจากกลิ่นมัสก์แบบดั้งเดิมสกัดจากชะมด ซึ่งปัจจุบันถูกห้ามโดยกฎหมายแล้ว ดังนั้นมัสก์ในปัจจุบันจึงมาจากสัตว์ประเภทอื่น
โดยส่วนใหญ่แล้วหากพบน้ำหอมที่เขียนว่า Musk มักเป็นส่วนประกอบ จากพืชเป็นหลัก ส่วน Musk (Animalic) มักจะเป็นสารสกัดจากสัตว์ บริเวณต่อมใกล้กับอัณฑะซึ่งเป็นระบบสืบพันธุ์ ทำให้น้ำหอมมีราคาสูง เนื่องด้วยเชื่อกันว่าในมัสก์จะมีฟีโรโมนของสัตว์เจือปน
แต่อย่างไรก็ดี ฟีโรโมนของสัตว์ไม่ส่งผลต่อคน ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อ…ทว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้มัสก์ซึ่งสกัดจากสัตว์ยังได้รับความนิยม นั่นก็เป็นเพราะ แบรนด์ผู้ผลิตน้ำหอมมักมีกรรมวิธีการผลิตแบบเฉพาะ จนสามารถรังสรรค์กลิ่นที่ใกล้เคียงร่างกาย ดังนั้นมัสก์จึงเป็นกลิ่นน้ำหอมที่คนส่วนใหญ่ให้ค่ามากที่สุด เพราะส่งผลต่ออารมณ์และความเคยชินในเรื่องเซ็กส์นั่นเอง

 

นดัลวู้ด

พืชในกลุ่มไม้จันทน์ (Sandalwood) นั้น รวมถึงกฤษณาและไม้หอมหลากชนิดไม่ใช่เพียงต้นจันทน์เท่านั้น โดยในต้นไม้เหล่านี้จะให้น้ำมันที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล มีการใช้น้ำมันหอมกลุ่มนี้เป็นน้ำมันนวดและกิจกรรมทางเพศตั้งแต่ยุคโบราณ ตามแนวคิดของเรื่องจักระและการขับเคลื่อนพลังทางเพศจากตำรากามาสุตรา ว่ากันว่ากลิ่นแซนดัลวู้ดช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ เพิ่มการตอบสนอง ทำให้คู่นอนไปถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้น น้ำหอมกลิ่นแซนดัลวู้ดมักผสมผสานในกลุ่มน้ำหอมประเภทที่ระบุว่า Oriental ซึ่งหมายถึงน้ำหอมที่ให้แนวกลิ่นแบบเครื่องเทศ เซ็กซี่ อบอวล กลิ่นเข้ม และ Woody ซึ่งหมายถึงน้ำหอมที่มีแนวกลิ่นสุขุม ลุ่มลึก อบอุ่น ความแหลมของกลิ่นน้อยกว่าโอเรียนทอล เนื่องจากเน้นพืชที่ให้กลิ่นหอมเย็นเป็นหลัก

 

มะลิ

มะลิที่ถูกนำมาใช้ในน้ำหอมมีหลากหลายสายพันธุ์ หากคุณเจอคำว่า Jasmine ตรงตัว หรือแม้แต่ Melati, Sambac หรือ  White gardenia กลุ่มเหล่านี้มักมีมะลิรวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น เคยมีผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าในบรรดาพืชดอกที่ให้กลิ่นหอม มะลิถือเป็นดอกไม้ที่ให้กลิ่นหอม ซึ่งส่งผลดึงดูดที่สุด อีกทั้งยังเป็นดอกไม้ที่ถูกใช้ในการทำเครื่องหอมโบราณที่เกี่ยวกับการสร้างแรงจูงใจทางเพศในภูมิภาคเอเชียมากมาย ทั้งน้ำมันหอม น้ำปรุง น้ำมันนวด กำยาน ฯลฯ กลิ่นมะลิช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ใจสงบ ทำให้มีสมาธิ ซึ่งส่งผลต่อการบรรเทาอาการหลั่งเร็วได้ และยังมีพื้นกลิ่นนุ่ม ๆ เบา ๆ เหมาะกับอากาศเมืองร้อนอย่างประเทศไทยมาก ๆ

 

ชะเอมเทศ

ชะเอมเทศ (Licorice) คือพืชที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารและยามากมาย มีสรรพคุณทางยาในเรื่องของบรรเทาอาการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ นอกจากนั้นยังมีผลการศึกษาด้วยว่าชะเอมเทศช่วยให้คลายเครียดได้ ในแง่ของกลิ่น ชะเอมเทศ มักจะถูกนำไปใช้แต่งกลิ่นนผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สดชื่น ปลอดโปร่ง รู้สึกถึงความสะอาด ทำให้ทุกครั้งที่เราได้กลิ่นแนวนี้ ร่างกายจะจดจำความรู้สึกได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดความผ่อนคลาย รู้สึกสบาย อยากอยู่ใกล้ กลิ่นชะเอมเทศส่งผลต่อความรู้สึกของผู้หญิงด้วย ยิ่งถ้าผสมกับแนวกลิ่นของขนมลูกอมหรือโคล่า ก็จะทำให้รู้สึกอยากอยู่ใกล้ อยากทำความรู้จักได้ไม่ยาก

 

วนิลา

ย้อนกลับไปในช่วงยุคแรก ๆ ของน้ำหอม วนิลา (Vanilla) เป็นส่วนประกอบที่นิยมเป็นอย่างมากในประเทศจีนและประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญนิยมแนะนำในช่วงศตวรรษที่ 17 ว่าช่วยเพิ่มความแข็งแรงทางเพศได้อย่างดีในผู้ชาย  และยังมีการกล่าวถึงในยุคหลังจากนั้นอีกว่า วนิลาสามารถช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศในชายสูงอายุได้  วนิลาเป็นพืชที่ให้กลิ่มหอม ซึ่งมีอุภาพในการสร้างความผ่อนคลาย เป็นกลิ่นที่ทำให้เรานึกถึงเรื่องราวหรือความทรงจำแห่งความสุข เพราะเหตุนี้นี่เองวนิลาจึงมักถูกเลือกให้เป็นส่วนประกอบในน้ำหอมส่วนใหญ่แทบทุกมุมโลก

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.feelingsexy.com.au   www.allure.com   www.mensjournal.com   www.thoughtcatalog.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


13-advantages-cycling.jpg

13 ข้อดี การปั่นจักรยาน เชื่อว่าคนที่ติดตามเว็บ Ducking Tiger คงเป็นนักปั่นตัวยงกันอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะมีหลาย ๆ คนที่ยังลังเล ไม่รู้ว่าจะเริ่มปั่นดีไหม หรือควรจะตั้งใจปั่นอย่างจริงจังหรือเปล่า วันนี้เรามีประโยชน์ของการปั่นจักรยาน 13 ข้อ ที่จะช่วยยืนยันว่าการปั่นจักรยานนั้นมีประโยชน์จริง ๆ ครับ

 

ช่วยให้นอนหลับลึกกว่าเดิม

การออกปั่นจักรยานตอนเช้า ๆ ช่วยให้เราหลับได้ลึกกว่าเดิมและลดปัญหาการนอนไม่หลับ คณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ได้ทดลองให้คนที่มีปัญหานอนหลับยาก (Insomnia) ออกไปปั่นจักรยานตอนเช้าทุก ๆ วัน วันละ 20 – 30 นาที ผลปรากฏว่าคนที่มีปัญหาการนอนไม่หลับสามารถนอนหลับสนิทได้เร็วขึ้นเกือบหนึ่งชั่วโมง จากแต่ก่อนที่อาจจะต้องนอนรอให้ง่วงเป็นเวลานาน การไปออกกำลังกายยามเช้า ช่วยให้ร่างกายเราได้รับแสงแดดตามเวลาที่ควรจะเป็น ช่วยให้ร่างกายหลับได้ง่ายขึ้นในตอนกลางคืน

 

ช่วยให้หน้าตาดูอ่อนวัยกว่าเดิม

ข้อนี้หลายคนน่าจะชอบ การปั่นจักรยานช่วยให้ร่างกายเราลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารได้ดีขึ้น และช่วยขับถ่ายสารพิษในร่างกายได้มีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกาย อย่างการปั่นจักรยานจะช่วยกระตุ้นการผลิตสารคอลลาเจน ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า จึงไม่แปลกว่าทำไมคนที่ปั่นจักรยานเป็นประจำจึงหน้าตาอิ่มเอิบและผิวพรรณสดใสครับ (แต่อย่าลืมถ้าครีมกันแดดก่อนออกรอบหละ)

 

ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากมหาวิทยาลัย Bristol ยืนยันว่าการปั่นจักรยานจะช่วยกระตุ้นให้อาหารไหลผ่านลำไส้ได้เร็วกว่า ซึ่งช่วยลดการดูดซับน้ำในลำไส้ใหญ่ หมายความว่าก้อนอุจจาระก็จะไม่แห้ง ทำให้เราถ่ายได้คล่องขึ้นครับ นอกจากนี้การปั่นจักรยานช่วยกระตุ้นการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งเพิ่มกำลังในการบีบรัดตัวของลำไส้ ช่วยให้เราไม่รู้สึกอึดอัดหลังการทานอาหาร และป้องกันโรคมะเร็งลำไส้อีกด้วย

 

เพิ่มประสิทธิภาพสมอง

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลินอยส์ พบว่า คนที่ปั่นจักรยานเป็นประจำ ทำคะแนนการทดสอบสมองได้ดีกว่าปรกติถึง 15% เพราะว่า การปั่นจักรยานช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองในส่วน Hippocampus เป็นส่วนที่ใช้บันทึกความจำ ซึ่งจะเสื่อมอย่างรวดเร็วหลังอายุ 30 ครับ ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี

 

สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้น

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า การออกกำลังกายช่วยให้ระบบภูมิต้านทานของเราแข็งแรงขึ้น เชื้อโรคต่าง ๆ ก็มีผลกับเราได้น้อยลง รายงานสุขภาพจากอังกฤษบอกว่า คนที่ปั่นจักรยานอย่างน้อย 30 นาทีเป็นเวลาห้าวันต่อสัปดาห์ มีโอกาสป่วยน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลยกว่าเท่าตัว ข้อนี้แอดมินรู้ดี เพราะหลังจากเริ่มปั่นจักรยาน อาการหอบหืดเรื้อรังที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก ก็ค่อย ๆ หายไปจนตอนนี้หายขาดแล้วครับ

อายุยืนยาว

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัย King’s Collegel London ทดสอบฝาแฝดกว่า 2,400 คู่ พบว่า แฝดคนที่ปั่นจักรยานแค่ 45 นาที สามครั้งต่อสัปดาห์ มีอายุยืนยาวกว่าคู่แฝดที่ไม่ออกกำลังกายกว่า 9 ปีโดยเฉลี่ย สาเหตหลัก ๆ ที่ช่วยให้อายุยืนขึ้น ก็เพราะการปั่นจักรยานพัฒนาระบบเลือดและระบบหายใจ ช่วยลดโรคความดัน โรคอ้วน มะเร็งประเภทต่าง ๆ โดยรวมร่างกายจะมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูรักษาตัวเองมากขึ้นครับ ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้กว่า 50%

 

พิทักษ์โลก

พื้นที่ในการจอดรถยนต์หนึ่งคัน สามารถใช้จอดจักรยานได้กว่า 20 คัน เราใช้วัตถุดิบและสารเคมีต่าง ๆ และพลังงาน ในการผลิตจักรยานหนึ่งคันน้อยกว่าการผลิตรถยนต์ถึงห้าเท่า แน่นอน จักรยานไม่ก่อมลพิษ การปั่นจักรยานยังประหยัดพลังงานมากกว่าการเดินถึงสามเท่า ในระยะทางเท่า ๆ กัน

ผู้ผลิตรถยนต์สมัยนี้ชอบอวด “กิโล/ลิตร” ว่ารถตัวเองใช้น้ำมันกี่ลิตรต่อระยะทางหนึ่งกิโล เจอจักรยานแล้วจะหนาว เพราะถ้าลองเปรียบเทียบพลังงานที่เราใช้ในการปั่นจักรยาน แปลออกมาให้เหมือนรถยนต์จะได้ประมาณ​ 4,705 กิโล/ลิตร

 

เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

ข้อนี้เห็นหลายคนในเว็บบอร์ด Thaimtb คอนเฟริ์มครับ การปั่นจักรยานช่วยพัฒนาระบบหมุนเวียนเลือด ซึ่งผลข้างเคียงคือ เพิ่มความต้องการทางเพศ ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐ พบว่านักกีฬาจักรยานมีสมรรถภาพทางเพศเหมือนกับคนที่อายุอ่อนกว่า 4 – 5 ปี ในขณะที่นักกีฬาหญิงเลื่อนอาการวัยหมดประจำเดือน (menopause) ออกไปได้กว่า 5 ปี ผลวิจัยจากฮาวาร์ดยังแถมให้อีกว่าผู้ชายที่อายุมากกว่า 50 ปีที่ปั่นจักรยานเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงอาการ “นกเขาไม่ขัน” ได้กว่า 30%

 

ลูกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน รายงานว่า คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ออกกำลังกายเป็นประจำจะฟื้นฟูร่างกายหลังการคลอด ได้ดีกว่าแม่ที่ไม่ออกกำลังกาย แถมลูกในท้องจะสามารถพัฒนาระบบประสาทได้ดีกว่าปรกติอีกด้วย

 

ทำงานได้ดีขึ้น

การศึกษาจากมหาวิทยาลัย Bristol พบว่า พนักงานที่ออกกำลังกายก่อนเข้า หรือหลังทำงาน มักจะทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าคนปรกติที่ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความมั่นใจ ความมุ่งมั่นในการทำงานและช่วยให้รับความเครียดจากการทำงานได้ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้พนักงานที่ออกกำลังกายเป็นประจำ มักจะใช้เวลาพักน้อยกว่าคนอื่น ทำงานเสร็จได้ตามเดดไลน์ และมีอัธยาศัยดีกว่าคนอื่นๆ ด้วยครับ

 

ลดความอ้วน

เป็นที่ทราบกันดีว่า การปั่นจักรยานช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย แต่มันไม่ได้เผาผลาญแค่เฉพาะตอนที่เราปั่นนะครับ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ร่างกายของคนที่ปั่นจักรยานเป็นประจำจะมีสภาวะ “After Burner” หรือเผาผลาญไขมันส่วนเกินต่อเนื่องหลังจากลงจากจักรยานแล้วต่อไปอีก 2 – 3 ชั่วโมง ซึ่งโดยรวมแล้วการเผาผลาญหลังการปั่นอาจจะมากกว่าระหว่างปั่นอีกด้วยซ้ำ

นักปั่นที่ซ้อมแบบ interval (สลับการออกแรงปั่นช้า + เร็วตามระยะเวลาที่กำหนด) สามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าคนที่ปั่นด้วยความเร็วคงที่กว่า 3.5 เท่าอีกด้วย

 

มีเพื่อนมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น

สังคมการปั่นจักรยานในเมืองไทยค่อนข้างจะอบอุ่นและเป็นมิตร ใครเห็นกันปั่นบนจักรยานก็มักจะกวักมือทักทายกันเสมอๆ และหากใครมีปัญหาอะไรก็มักจะช่วยเหลือกัน แบ่งความรู้กันอยู่แล้ว การเข้ากลุ่มปั่นกับคนอื่นๆ นอกจากจะช่วยให้เรามีกำลังใจและมีเหตุผลออกปั่นมากขึ้นแล้วยังช่วยส่งเสริมสุขภาพเราในทางอ้อมด้วยครับ ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Howard พบว่าคนที่ไม่มีเพื่อนและไม่เข้าสังคมมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยมากกว่าคนสูบบุหรี่และคนที่เป็นโรคอ้วนเสียอีก อย่างที่เขาว่ากันสภาพจิตใจเราบ่งบอกถึงสภาพร่างกายครับ

 

ลดอาการเหนื่อยล้าและความเครียด

บางครั้งที่เราเหนื่อยล้า หม่นหมองไม่อยากทำอะไร การออกไปปั่นจักรยานรับอากาศบริสุทธิ์จะช่วยให้เราสดชื่นขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเจออาการนี้ครับ ตกเย็น เบื่อ หม่นหมอง ไม่อยากไปไหน แต่พอคว้าจักรยานออกไปปั่นกลับรู้สึกดีขึ้น และคลายความเครียดความกังวลไปได้หมด งานวิจัยสุขภาพในสหรัฐหลายๆ ชิ้น ยืนยันว่าการออกกำลังกายช่วยลดความหดหู่และความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดีครับ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: Koon คูน คือผู้ก่อตั้งดั๊กกิ้งไทเกอร์.
แหล่งที่มา: https://www.duckingtiger.com/13-reasons-to-ride-a-bicycle/
ภาพประกอบจาก: www.pexels.com


.jpg

อารมณ์เครียด อารมณ์แปรปรวน อารมณ์ทุกข์ อารมณ์ไม่พอใจ รวมถึงการขาด สมาธิ ในการทำงาน ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่คนทำงาน เพราะมีการแข่งขัน มีความจำทน ซึ่งต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ และการต้องพบปะทำงานกับผู้คนหลากหลาย และบ่อยครั้งเมื่อประสบปัญหาแล้วก็จับต้นชนปลายไม่ถูก นำมาซึ่งความเครียดความหงดุหงิด แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถทำอะไรจิตใจเราได้เลย หากเรามีสติและสมาธิ มาเรียนรู้วิธีฝึกสติสมาธิเพื่อควบคุมอารมณ์และการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกัน

 

ความคิดว้าวุ่นอะไรบ้างในวัยคนทํางาน

ซึ่งหากเราลองสืบค้นต้นตอดี ๆ จะพบว่าปัญหาทั้งหลายล้วนมาจากต้นตอเดียวคือ “การพบกับสิ่งที่ไม่พอใจหรือสิ่งที่พบไม่เป็นดั่งใจหวัง” แล้วจึงเกิดอารมณ์ความรู้สึกขึ้นในใจต่อมา เช่น ความหงุดหงิด ความโกรธ ความผิดหวัง ความน้อยใจ หรือความเครียด เป็นต้น แต่หากเรามีสติ ตระหนักรู้ทันความคิดแง่ลบของเรา เราก็จะสามารถจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึก และปล่อยวางลงได้ความคิดว้าวุ่นอะไรบ้างในวัยคนทํางาน “ทําไมฉันไม่มีเหมือนเขา” เป็นต้น “ฉันควรจะทําได้ดีกว่านี้” “ทําไมหัวหน้าทําอย่างนั้น” “ทําไมคนนั้นถึงไม่ทําแบบนี้”

 

เมื่อมีสติ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

1. สติทำให้เรารู้ตัวเรา
สติเป็นสิ่งที่จําเป็นสําหรับคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนวัยทํางานนั้นเป็นวัยที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นมากขึ้น หากยิ่งมีตําแหน่งเป็นหัวหน้างานด้วยแล้ว การฝึกสติสมาธิจะทําให้เราเข้าใจตนเองได้มากขึ้น เช่น รู้ว่าจิตใจเรากําลังขุ่นมัว รู้ว่าตัวเองกําลังทุกข์ เมื่อรู้ทันอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ ก็จะช่วยให้เรามองทุกปัญหาในเชิงบวกมากขึ้น เป็นต้น

2. สติทําให้รู้ทันการเปลี่ยนแปลง
ทุกปัญหาในชีวิตการงานล้วนมาจากรากเดียวกันคือ เมื่อเราพยายามจัดความจริงให้เป็นไปตามใจเรา เช่น อยากให้เพื่อนร่วมงานพูดจาดีกว่านี้ หรืออยากได้เงินเดือนมากกว่านี้ ฯลฯ ทุกความคาดหวังย่อมพาไปพบกับความผิดหวังได้ แต่หากเราจัดการตนเองให้เข้ากับความเป็นจริงได้อย่างมีสติ เรารู้เท่าทันจิตใจของเราในทุกวัน เราก็จะรู้จักปล่อยวางและยอมรับที่จะอยู่กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างกลมกลืนสอดคล้อง จิตใจเราก็จะสงบ ไม่เรียกร้องและไม่อึดอัด

 

การฝึกสติและสมาธิเป็นประจําสม่ำเสมอทุกวัน

โดยการนั่งสมาธิวันละ 10 – 30 นาที จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเรา ดังนี้

  1. เราสามารถควบคุมการทํางานของร่างกายส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
  2. สมองส่วนต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น และแสดงออกอย่างระมัดระวังมากขึ้น
  4. มีความยืดหยุ่นมากขึ้นทั้งในมุมมองต่อโลกและการดําเนินชีวิต
  5. เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น
  6. ตระหนักรู้ตัวเองและสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
  7. ควบคุมความกลัวได้ดี ทําให้มีความกล้ามากขึ้น
  8. มีคุณธรรม มีความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น

สรุปคือ การพัฒนาจิตโดยการฝึกสติและสมาธิส่งผลต่อสมองโดยตรง จะช่วยให้สมองส่วนหน้าพัฒนามากขึ้น และแม้ว่าจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว แต่สมองส่วนนี้ก็ยังสามารถพัฒนาให้ทํางานดีขึ้นได้

เราสามารถฝึกสมาธิง่ายๆ ด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ฝึกหยุดความคิดด้วยการตามรู้ลมหายใจ
คือการฝึกรับรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก ลักษณะเหมือนกับที่เราเอาหลังมือรองลมหายใจ แต่ที่ปลายจมูกจะมีประสาทรับรู้ความรู้สึกน้อยกว่าและเบากว่ามาก จะรับรู้ได้จึงต้องหยุดความคิดทั้งมวล

เริ่มแรก ให้ลองหลับตา แล้วหายใจเข้าออกยาวสัก 4 – 5 รอบ มุ่งความสนใจไปรับรู้ลมหายใจที่ปลายจมูก เมื่อหาพบแล้วให้สังเกตว่าความรู้สึกข้างไหนชัดกว่า แล้วสังเกตลมหายใจข้างที่ชัดกว่านั้นเพียงข้างเดียวไปเรื่อย ๆ ด้วยการหายใจตามปกติ โดยไม่ต้องนับหรือใช้ถ้อยคําใดขั้น

2. ฝึกจัดการความคิดที่เข้ามาสอดแทรกเพื่อให้จิตสงบ
เมื่อเริ่มรับรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกขณะหลับตาได้แล้ว เราจะพบว่าความคิดหยุดลงได้เพียงชั่วคราวแล้วจะกลับมาอีก เพราะคนเรามีสิ่งสะสมอยู่ในจิตใต้สํานึกมากมาย ดังนั้นขั้นต่อไปจึงเป็นการฝึกลมหายใจอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนใจเสียงและสิ่งรบกวนจากภายนอก

วิธีการ ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่นก็ขอแค่รู้ตัวแล้วกลับไปรับรู้ลมหายใจใหม่ ด้วยการหายใจเข้าออกยาวสัก 2 ครั้ง แล้วเฝ้าดูลมหายใจต่อเหมือนเดิมให้ได้สัก 3 – 4 นาที การผุดความคิดขึ้นเป็นระยะเป็นเรื่องธรรมดาในช่วงเริ่มแรก แต่สิ่งที่เราทําได้คือไม่คิดตามเมื่อรู้ตัวว่ามีความคิดเกิดขึ้น ฝึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเราจะสามารถปล่อยความคิดในจิตใต้สํานึกออกไปจนเบาบางลงและทําให้เรารู้ลมหายใจต่อเนื่องมากขึ้น

3. ฝึกจัดการกับความง่วงจนจิตสงบและผ่อนคลาย
สมาธิจะแน่วแน่ต้องจัดการกับความง่วง เพราะเมื่อมีสมาธิแล้วก็ควรนั่งสมาธิให้ได้อย่างน้อย 8 – 10 นาที แต่เมื่อความง่วงเข้ามาแทรก เราสามารถแก้ด้วยการยืดตัวตรง หายใจเข้าออกลึก ๆ สัก 4 – 5 ลมหายใจ หรือจินตนาการเป็นหลอดไฟที่สว่างจ้าสักพักแล้วกลับไปรับรู้ลมหายใจให้ต่อเนื่อง หากง่วงจริง ๆ ก็สามารถเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ลุกขึ้นยืน เดิน ดื่มน้ำ ล้างหน้าแล้วกลับมานั่งสมาธิต่อได้

 

เมื่อเรารู้วิธีเกิดสมาธิแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาฝึกการมีสติกัน

การฝึกสมาธิช่วยให้จิตสงบลงชั่วคราว และลดความการหายใจที่สะสมอยู่ในจิตใต้สํานึก แต่เมื่อออกจากสมาธิมาอยู่กับชีวิตจริง เราก็จะเริ่มสะสมอารมณ์เชิงลบและความเครียดใหม่ การจะทํางานได้อย่างสงบจึงต้องอาศัยสติเข้าช่วย ซึ่งวิธีการฝึกก็จะเหมือนกับการฝึกสมาธิ ดังนี้

1. ฝึกมีฐานสติอยู่ที่รู้ลมหายใจเล็กน้อย
โดยใช้วิธีที่เรียนรู้มาจากสมาธิคือ การรู้ลมหายใจเบา ๆ ที่ปลายจมูกข้างที่รู้สึกชัดกว่า แต่รู้ไว้เพียงบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเรายังต้องอยู่กับการทํางานตรงหน้า นั่นก็คือเราทํางานหรือทํากิจกรรมควบคู่ไปกับการรู้ลมหายใจ เช่น ฟัง (ได้ยินเสียงที่ได้ยิน) นั่ง (รู้ส่วนที่ร่างกายสัมผัสพื้นผิว) หรือ ยืน (รู้สัมผัสของเท้ากับพื้นและความตึงของต้นขา) เป็นต้น

ช่วงแรกๆ จะรู้สึกขัด ๆ แต่เมื่อชํานาญก็จะมีสติกับอิริยาบถที่ซับซ้อนขึ้นได้ เช่น การขับรถ ซึ่งจะมีสัมผัสหลายชนิด เช่น รู้ว่าเท้าเหยียบสัมผัสคันเร่ง รู้ว่าตามองถนนหรือเหลือบมองกระจก เป็นต้น

2. ฝึกจัดการความคิดที่เข้ามาสอดแทรกเพื่อให้จิตสงบ
ในชีวิตจริงเราสามารถฝึกสติไปตามกิจกรรมที่แตกต่างกันได้ ซึ่งกิจที่เราทําอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ กิจภายนอก (การทํากิจกรรมต่าง ๆ) และกิจภายใน (ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ)

เริ่มต้นฝึก ด้วยการเดินขึ้นลงบันได ขณะที่เดินขึ้นให้อยู่กับลมหายใจให้มากและอยู่กับความรู้สึกที่เท้าเล็กน้อย ส่วนในขณะเดินลงบันไดให้ลองฝึกสติอยู่กับเท้าที่สัมผัสพื้นให้มากและอยู่กับลมหายใจเพียงเล็กน้อย โดยไม่จับราวบันได (หากไม่ใช่ผู้สูงวัย)หรือฝึกมีสติในกิจกรรมที่ตั้งใจ เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน วิ่ง หรือออกกําลังกาย เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะใช้เวลา 10 – 20 นาทีที่จะฝึกให้เรามีสติโดยรู้ลมหายใจตัวเอง

เมื่อมาถึงจุดนี้เราจะเริ่มเห็นความแตกต่างของสมาธิกับสติว่า การฝึกสมาธิช่วยในการพักผ่อนแต่การฝึกสติใช้ในการทํางาน ทําให้เราอยู่กับงานตรงหน้าได้โดยไม่วอกแวก ในขณะเดียวกันเราก็เรียนรู้จัดการความเครียดที่เกิดขึ้นในจิตใจ

3. ฝึกพัฒนาสติสู่ปัญญาภายใน
เมื่อฝึกสติจนชํานาญแล้วจะช่วยให้เราจัดการกับปัญหาภายในใจที่จะสามารถปล่อยวางได้ เพราะเราเข้าใจในธรรมชาติที่ต้องเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ต้องไปยึดติดหรือตอบโต้ สิ่งนี้จะส่งผลไปถึงสติในการทํางานร่วมกันหรือสติในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานด้วย

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.thaihealth.or.th.(2010).ทำงานเป็นสุขด้วยสติสมาธิ.4 สิงหาคม 2558.
แหล่งที่มา : http://www.thaihealth.or.th/Content/39752-ทำงานเป็นสุขด้วยสติสมาธิ.html
ภาพประกอบจาก : www.thaihealth.or.th


-ส่อง-6-แอพฯ-เด็ดพัฒนาการวิ่ง-เกาะเทรนด์ฮิตเพื่อสุขภาพ.jpg

ช่วงนี้เทรนด์ออกกำลังกายและดูแลสุขภาพมาแรง (มาก)…เราจึงได้เห็นบรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ พากันพัฒนาคุณสมบัติสินค้าให้รองรับการใช้งานของผู้ที่รักสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์สนับสนุนการออกกำลังกายทั้งหลาย ซึ่งล้วนถูกพัฒนาให้อำนวยความสะดวกในการใช้งานและเหมาะสมกับการออกกำลังกายได้ดีขึ้น เรามาส่อง 6 แอพฯ เด็ด พัฒนาการวิ่ง เกาะเทรนด์ฮิตเพื่อสุขภาพ

 

Map My Run

ถือเป็นแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจ เพราะมีให้ดาวน์โหลดฟรีทั้งบนไอโอเอสและแอนดรอยด์ โดย Map My Run จะช่วยบันทึกเส้นทางการวิ่งของคุณ ทำให้สามารถเรียกดูเส้นทางและพยายามพัฒนาการวิ่งให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ แอพฯ ดังกล่าวจะแสดงบันทึกของเส้นทางวิ่ง ณ สถานที่ในละแวกนั้น โดยคุณสามารถแชร์กับเพื่อน ๆ สำหรับทำการแข่งขันกัน หรือพยายามฝึกฝนการวิ่งของคุณให้ดีขึ้น… แต่หากคุณต้องการใช้งานคุณสมบัติอื่น ๆ อาทิ การวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจ แผนการฝึกอบรมส่วนบุคคล การฝึกเสียงและติดตามสด จะต้องสมัครสมาชิกแบบพรีเมียม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายราว ๆ 5.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณ 200 บาท) หรือประมาณ 29.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ประมาณ 1,010 บาท)

 

5K Runner

ถือเป็นโบนัสฟรี ๆ ให้ผู้ใช้อุปกรณ์บนระบบไอโอเอส เพราะสามารถดาวน์โหลดแอพฯ 5K Runner ได้ฟรี แถมยังเป็นอีกแอพพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายด้วยจำนวนผู้ใช้งานหลายล้านคน แถมยังมีสำนักข่าวต่างประเทศการันตีอีกหลายแห่ง! ด้วยจุดเด่นที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นฟรีต้องการ คือ นอกจากรองรับการใช้งานได้ตอบโจทย์ที่นักวิ่งต้องการ และยังสามารถจัดโปรแกรมพัฒนาทักษะการวิ่งของคุณได้ด้วย ใครเป็นหรือตั้งเป้าเป็นนักวิ่งที่ดี ไม่ควรพลาดดาวน์โหลดแอพฯ นี้มาใช้

 

Zombies, Run! 5K Training

แม้จะเป็นแอพพลิเคชั่นที่ต้องซื้อในราคา 1.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 67 บาท) บนทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการ แต่หลายคนก็ลงความเห็นว่าคุ้มค่า! เพียงใส่หูฟังและเริ่มต้นฝึกทักษะการวิ่งแบบ 5 กิโลเมตร ซึ่งมีโปรแกรมเทรนด์ให้คุณใน 8 สัปดาห์ และนอกจากคุณสมบัติของแอพฯ ออกกำลังกายแล้ว แอพฯ Zombies, Run! ยังมอบความบันเทิงให้คุณขณะวิ่งจากเรื่องราวหลอนต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นแรงกระตุ้นให้คุณขยันและอยากออกกำลังกายได้มากขึ้น (มั้ง)

 

5K101

มีให้ดาวน์โหลดทั้งบนไอโอเอสและแอนดรอยด์ แต่คุณต้องจ่ายเงินประมาณ 2.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 100 บาท) เพื่อใช้งานบนอุปกรณ์ไอโอเอส และ 4.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 168 บาท) ? เพื่อใช้งานบนอุปกรณ์ระบบแอนดรอยด์ โดยนี่ถือเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่เน้นการวิ่งอย่างจริงจัง ระบบจะบันทึกเส้นทางการวิ่งของคุณผ่าน GPS พร้อมให้ผู้ใช้สามารถแชร์เรื่องราวหรือสถิติการฝึกฝนในแต่ละครั้งสู่โซเชียลมีเดีย…ใครรู้ตัวว่าเป็นสายโหดในการออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด อาจจะถูกใจแอพฯ นี้ก็ได้

Couch to 5K

Couch to 5K มีค่าดาวน์โหลดในราคา 1.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 67 บาท) ทั้งบนไอโอเอสและแอนดรอยด์ โดยคุณจะได้โปรแกรมการวิ่งแบบที่เลือกเทรนเนอร์ได้เอง…จะชอบแบบเบา ๆ หรือจัดหนักเพื่อฝึกฝนขั้นสูงสุดของการวิ่ง แอพฯ นี้มีโปรแกรมจากเทรนเนอร์หลายรูปแบบ รอพัฒนาทักษะการวิ่งให้คุณ ขณะเดียวกันก็ยังมีคุณสมบัติจัดเก็บและแชร์ข้อมูลคล้ายกับแอพพลิเคชั่นออกกำลังกายทั่วไปด้วย

 

Runmeter

ปิดท้ายด้วยแอพพลิเคชั่นฟรีสำหรับผู้ใช้ไอโอเอส จุดเด่นของแอพฯ นี้คือใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แต่หากคุณต้องการใช้งานคุณสมบัติอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น โปรแกรมฝึกฝนการขี่จักรยาน เดิน หรือการวิ่งระยะไกลขึ้น รวมถึงการฝึกฝนวิ่งแบบมาราธอน เป็นต้น ก็สามารถอัพเกรดแอพฯ ได้ แต่มีค่าใช้จ่ายราว 4.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 168 บาท) หรือคุณจะสร้างโปรแกรมการฝึกฝนในรูปแบบของตนเองก็ทำได้เช่นกัน

ว่าแต่ถูกใจแอพฯ ไหนบ้างหรือเปล่า? เชิญโหลดมาใช้ตามความสนใจ เพื่อพัฒนาทักษะการวิ่งและสุขภาพที่ดีของทุกคน…!

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : phonearena.(2010).นักวิ่งอย่าพลาด! ส่อง 6 แอพฯ เด็ดพัฒนาการวิ่ง เกาะเทรนด์ฮิตเพื่อสุขภาพ.2 ธันวาคม 2558.
แหล่งที่มา : http://www.allthaievent.com/article/10/
ภาพประกอบจาก : www.allthaievent.com


-อโรคายา-รีสอร์ท.jpg

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกคน ปีนี้ยังมีวันหยุดอีกหลายวัน ทีมงาน Health2click จึงส่งเรามาพาเพื่อน ๆ ไปเยี่ยมชมสถานที่พักผ่อนสไตล์รีสอร์ทแนวสุขภาพบำบัด ไม่ไกลจากกรุงเทพ เดินทางโดยรถยนต์เพียงแค่หนึ่งชั่วโมง เห็นเวลาที่ใช้เดินทางแล้ว เพื่อนบางคนอาจจะมาแวะพักผ่อนพร้อมทำกิจกรรมสุขภาพบำบัด ที่รีสอร์ทนี้ได้ทุกวัน

 

รีสอร์ทแนวสุขภาพที่จะพาเพื่อน ๆ เที่ยว คือ เรนโบว์ อโรคายา รีสอร์ท หรือ RAINBOW AROKAYA Holistic Longevity Center ตั้งอยู่ที่อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างที่บอกนะคะ ด้วยระยะทางไม่ถึง 100 กิโล จากกรุงเทพฯ หรือเพียง 60 กิโลเมตรจากสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อน ๆ ก็จะมาถึงสถานที่พักผ่อนสไตล์รีสอร์ทแนวสุขภาพที่ใกล้กรุงเทพแห่งนี้แล้ว โดยจากการสอบถามข้อมูลก่อนออกเดินทาง พบว่า ที่รีสอร์ทแห่งนี้ มีบริการดูแลสุขภาพทั้งแบบที่เป็นองค์รวม ทั้งร่างกาย จิตใจ และการรักษาตามอาการ โดยตั้งใจว่าจะพักที่รีสอร์ทนี้สัก 2 วัน 1 คืน ไปติดตามกันเลยค่ะ

 

การเดินทางจากกรุงเทพฯ – ฉะเชิงเทรา

การเดินทางในครั้งนี้ เราเลือกเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ออกเดินทางจากกรุงเทพฯแถว ๆ อนุสาวรีย์ชัยเวลา 8.00 น. ปกติไม่ชอบขับรถเร็ว แวะทานข้าวเช้าแถวตลาดน้ำบางคล้า แวะวัดปากน้ำโจ้โล้ ถึงรีสอร์ทก่อนเที่ยงนิดหน่อย หักลบเวลาแวะเที่ยวช่วงเช้าเบ็ดเสร็จใช้เวลาเดินทางสัก 1 ชั่วโมง 40  นาที  สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่สะดวกนำรถยนต์มาเอง หรืออยากใช้ชีวิตแบบติดดิน สามารถใช้บริการรถโดยสารจากกรุงเทพ มาลงที่ “สถานีขนส่งฯฉะเชิงเทรา” และต่อรถสองแถวมาลงที่ “ตลาดบางคล้า” จากนั้นก็สามารถเรียกรถสามล้อ หรือวินมอเตอร์ไซด์ มาที่รีสอร์ทได้เลย แต่เราแนะนำให้เพื่อน ๆ ขับรถมาเองดีกว่า เพื่อจะพักผ่อนกันได้อย่างเต็มที่

 

เรนโบว์ อโรคายา ยินดีต้อนรับ

สาเหตุที่เราเลือกมาที่นี่ เพราะนอกเหนือจากขึ้นชื่อเรื่องการเป็นรีสอร์ทเพื่อการพักผ่อนใกล้กรุงเทพฯ แล้ว เรนโบว์ อโรคายา ยังเป็นศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งมีโปรแกรมที่ช่วยในการปรับสมดุล ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ ที่ผสมผสานหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์แผนทางเลือกเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีโปรแกรมสุขภาพให้เลือกมากมาย ทั้งโปรแกรมกายภาพบำบัด การตรวจประเมินและวินิจฉัย โปรแกรมอบถ้ำเกลือหิมาลายัน โปรแกรมล้างพิษด้วยสินแร่หินภูเขาไฟญี่ปุ่น (Japanese Sand Bath) โปรแกรมนวดอโรมา โปรแกรมพลังงานบำบัด โปรแกรมแอโรบิคบำบัดในน้ำ รวมทั้งมีการรักษาตามอาการทั้งภาวะข้อไหล่ติด โรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ ข้อเข่าเสื่อม โรคกระดูกสันหลังคด โรครองช้ำ หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เป็นต้น ทีมงานเลยส่งเรามาเล่าเรื่องให้เพื่อน ๆ ฟัง

  เรนโบว์ อโรคายา

 แวบแรกที่แล่นเข้ามาในรีสอร์ท เราก็รู้สึกประทับใจกับบรรยากาศที่เหมือนที่พักที่ซ่อนตัวอยู่ในแมกไม้นานาพันธ์ที่เต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่ม และบรรยากาศอันแสนบริสุทธิ์ริมฝั่งแม่น้ำบางประกง ทำให้เราเมื่อเข้ามาแล้วรู้สึกสบายกาย สบายใจ คล้ายกับหลุดมาอยู่ในป่าไม้ธรรมชาติ สงบ ร่มเย็น ต่างจากความวุ่นวายในเมืองก่อนที่เราจะเดินทางมา

พอเข้ามาแล้วเราก็ตรงไปเช็คอินเข้ารีสอร์ทเป็นอันดับแรก และได้พูดคุยสอบถามกับพนักงานถึงกิจกรรมทางด้านสุขภาพดี ๆ ที่รีสอร์ทมีบริการ แอบกระซิบว่าพนักงานที่รีสอร์ทน่ารัก ให้ข้อมูลบริการต่าง ๆ ด้วยความยิ้มแย้มกันทุกคน พูดคุยกันหมดเวลาไปเกือบ 20 นาที สำหรับขั้นตอนการเช็คอินก็จะเหมือนที่พักทั่ว ๆไป เราขอข้ามขั้นตอนนี้ มาพูดถึงมาตรการด้านความปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 อีกเรื่องสำคัญในช่วงนี้ค่ะ

มาตรการด้านความปลอดภัยในช่วงโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทีมงานอยากชื่นชม เริ่มจากพนักงานใส่ Face shield กันทุกคน มีการตรวจวัดอุณหภูมิผู้มาใช้บริการ การล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ การเว้นระยะห่าง การจัดรอบเข้าจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการแต่ละสถานที่ การทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุก ๆ สามชั่วโมง ทีมงานมั่นใจในความปลอดภัยของรีสอร์ทค่ะ แต่ก็ไม่ลืมดูแลตัวเองใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อตามจุดต่าง ๆ ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ค่ะ

 

ห้องพักภายในรีสอร์ท

เรนโบว์ อโรคายา

จากหน้าเว็บเห็นรูปแบบของห้องพักภายในรีสอร์ท มีให้เลือกหลายแบบ ทั้ง Standard Room, Executive Room, River Room และ Shangri-La Room เราตั้งใจจะพักผ่อนในบรรยากาศที่มีแต่ธรรมชาติอย่างเต็มขั้น เลยขอเลือกห้องพักแบบ River room เพื่อนอกจากจะเข้าโปรแกรมดูแลสุขภาพแล้ว ยังจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของแม่น้ำบางประกงยามเย็นและค่ำ ตั้งใจว่าจะหามุมอ่านหนังสือ เข้าเน็ต ถ่ายรูปตามระเบียงริมน้ำช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกดินค่ะ

 

เรนโบว์ อโรคายา

ห้องพักแบบ River Room  ที่เราเลือกจะเข้าพักได้ 2 คน โดยค่าห้องรวมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานภายในห้องพัก ซึ่งเราคิดว่าน่าจะคล้ายกับห้องเกรดเดียวกันของที่พักอื่น  เราจึงขอเน้นถึงเรื่องของเครื่องนอน ทั้งที่นอน หมอน หมอนข้าง ผ้าห่ม ซึ่งพิเศษมาก ๆ โดยผลิตจากเส้นใยสินแร่ภูเขาไฟ ทำให้นอนสบายมาก ๆ ตอนเข้าห้องพักตั้งใจว่าจะงีบหลับเพียงเล็กน้อย แต่ดันหลับยาว ๆ เพราะที่นอนที่หนาและนุ่ม พิเศษจริง ๆ ค่ะ อ่อลืมไปอาหารเช้าของที่รีสอร์ทรวมอยู่ในค่าห้องเช่นกันค่ะ

 

ดื่มด่ำ กับบรรยากาศสบาย ๆ ริมแม่น้ำ

เราเช็คอินก่อนเวลาโปรแกรมสุขภาพที่ติดต่อไว้ร่วม 1 ชั่วโมง เราตัดสินใจวอร์มร่างกายให้พร้อมด้วยการเดินเที่ยวชมโซนต่าง ๆ ภายในโครงการ เห็นเขาบอกกันว่าบรรยากาศเหมือนรีสอร์ทดี ๆ แถวเขาใหญ่เลยทีเดียว เรา เดินเรื่อยไปตั้งแต่โซนคลินิกกายภาพบำบัด โซนรีสอร์ทสุขภาพ มาถึงสถานปฏิบัติธรรม อ่านเจอเหมือนบอกมีจุดถ่ายรูปสวย ๆ ในโครงการ แต่เราไม่ได้ไปเพราะถ่ายรูประหว่างทางเดินไปด้วยแล้ว มาปิดการเดินด้วยการแวะร้านกาแฟ สั่งกาแฟเย็นไม่ใส่น้ำตาลมาดับกระหาย ก่อนเข้าห้องพักเตรียมพร้อมสำหรับโปรแกรมสุขภาพแรกค่ะ

 

โปรแกรมแรก ล้างพิษด้วยสินแร่หินภูเขาไฟจากญี่ปุ่น

โปรแกรมสุขภาพของรีสอร์ทมีหลายรายการ เราเลือกโปรแกรมล้างพิษด้วยสินแร่หินภูเขาไฟจากญี่ปุ่น (Japanese Sand Bath) เป็นโปรแกรมแรก เพราะส่วนตัวอยากล้างพิษและขจัดไขมันส่วนเกินออกให้เยอะ ๆ ค่ะ แอบอ่านเพิ่มเติมก่อนมาว่า เม็ดสินแร่หินภูเขาไฟจะมีการปลดปล่อยคลื่นฟาร์-อินฟาเรดและประจุลบ จะก่อให้เกิดความร้อน ช่วยในการกระตุ้นระบบหลอดเลือดและหัวใจ เพิ่มการเผาผลาญไขมัน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการปวด และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อในร่างกาย เราเลยอยากมาลองด้วยตัวเอง

เรนโบว์ อโรคายา

เริ่มต้นทางเจ้าหน้าที่จะให้เราล้างตัวและเปลี่ยนชุดเตรียมพร้อม หลังจากนั้นจะมีการวัดความดัน และชั่งน้ำหนัก ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอกับการต้องสูญเสียเหงื่อในระหว่างการแช่

เมื่อพร้อมแล้ว เราก็จะนอนลงในบ่อแช่แบบสบาย ๆ นะคะ ทางเจ้าหน้าที่ซึ่งผ่านการอบรมก็จะนำเม็ดสินแร่หินภูเขาไฟมาโปรยลงบนตัว เว้นช่วงคอและหน้าไว้ สักพักเดียวเราจะรู้สึกว่าเลือดภายในร่างกายสูบฉีดดีขึ้น เหงื่อออกมาก เจ้าหน้าที่ก็จะเริ่มขัดและนวดตัวเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และคอยซักถามอาการของเราเป็นระยะ ๆ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เสร็จแล้วเราก็มาล้างตัว แล้วก็มาชั่งน้ำหนักและวัดความดันอีกครั้ง

ความรู้สึกแรกที่ได้รับ คือ ตัวเบาค่ะ ผ่อนคลายสบาย ๆ มองผิวตัวเองดูกระชับ เปล่งปลั่งขึ้น เหมือนมีออร่าในตัวเอง แต่อาการที่ติดมาด้วย คือ อยากรับประทานอาหารแล้วค่ะ

 

อาหารเย็น เรียบง่ายได้สุขภาพครบถ้วน  

เรนโบว์ อโรคายา

เนื่องจากเรามาเพียงแค่คนเดียว เราเลยเลือกสั่งข้าวหมกปลากะพง เมนูดี ๆ มีประโยชน์สำหรับคนรักสุขภาพ ที่นี่เขาเสิรฟ์ใส่จานขนาดพอเหมาะ และด้วยรสชาติถูกปาก เราทานจนหมด อิ่มกำลังดีเลยค่ะ เสร็จแล้วเราเดินสบายๆ กลับห้องพักผ่อน เล่นมือถือ ถ่ายรูประเบียงริมน้ำตามแผนเลยค่ะ

 

กิจกรรมดี ๆ วันที่สอง

เราจัดตารางวันที่สอง ด้วยการตื่นมาใส่บาตรพระในยามเช้า โดยพระจะพายเรือมาจอดเทียบฝั่งของรีสอร์ทให้ผู้ที่มาพักได้ใส่บาตรกัน เป็นกิจกรรมอิ่มบุญ น่ารักๆ รับแสงตะวันยามเช้าค่ะ หลังจากนั้นเราก็ไปรับประทานอาหารเช้า และพร้อมเข้าอีก 2 โปรแกรมสำหรับวันนี้ เริ่ม 10.00 โมง ค่ะ

 

โปรแกรม พลังงานบำบัด (Japanese Energy Capsule)

เรนโบว์ อโรคายา

โปรแกรมพลังงานบำบัด (Japanese Energy Capsule) จะเป็นการบำบัดด้วยพลังงานความร้อน มีประโยชน์ในเรื่องของการดูแลระบบน้ำเหลือง ระบบไหลเวียนเลือด ระบบเผาผลาญ และยังช่วยให้ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน กำจัดแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสต่าง ๆ ลดการตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และช่วยในการแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นตัวอีกด้วยค่ะ

โดยขั้นตอนของโปรแกรมนี้จะคล้ายกับเมื่อวาน มีการตรวจสภาพร่างกาย อาบน้ำ วัดความดัน ดื่มน้ำ หลังจากนั้นเราก็จะเข้าไปในโดมซาวน่า และปฏิบัติตามที่ทางเจ้าหน้าที่แนะนำได้เลยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเสร็จสิ้น ออกมาจากโดม มานอนพักอีก 3 – 5 นาทีเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว นั่งพักเพื่อร่างกายแห้ง ก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดก็เป็นอันเสร็จสิ้นโปรแกรมอย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ

 

เรนโบว์ อโรคายา

ก่อนทานข้าวกลางวัน เราเลือกเดินมาร้านขายของที่ระลึกและสินค้าสุขภาพ ได้ของชิ้นเล็ก ๆ ติดตัวไปฝากคุณแม่ที่บ้าน เสร็จแล้วเราเดินไปทานอาหารกลางวัน ที่เดียวกับมื้อเช้า รอบนี้เราทานอาหารจานเดียวเหมือนเดิม แต่เป็นเมนูราดหน้าปลาทอดกรอบค่ะ อร่อยเข้มเต็มคำกันอีก 1 มื้อ

 

โปรแกรม ถ้ำเกลือหิมาลายัน

เรนโบว์ อโรคายา

เราตั้งใจจะปิดทริป 2 วัน ด้วยการพักตัวในถ้ำเกลือหิมาลายัน เพราะบางคืนเรานอนไม่หลับ หรือหลับก็ไม่เต็มอิ่ม เขาบอกการพักในถ้ำเกลือหิมาลายัน “ไอเกลือ” ที่ระเหิดออกมาจะช่วยปรับลดคลื่นสมอง ให้เข้าโหมดผ่อนคลาย หลับสนิท ให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองได้เต็มที่ นอกจากนี้ ไอเกลือยังช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินหายใจ ให้หายใจได้โล่งและลึกกว่าที่เคย และลดคลื่นไฟฟ้าที่สะสมในตัวจากการใช้อุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ ด้วย เราเลยตัดสินใจปิดทริปด้วยกิจกรรมนี้ค่ะ

ขั้นตอนเราต้องตรวจร่างกายเบื้องต้น ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุด เข้าไปพักในถ้ำเกลือหิมาลายัน ภายในถ้ำที่เราเห็น จะเป็นก้อนหินเกลือสีชมพู จัดเรียงคล้ายผนังก่ออิฐ แต่มีลวดลาย สีสันความหนักเบาเฉพาะในแต่ละก้อน ก่อให้เกิดความสวยงามแปลกตา  ไม่เคยพบเห็นจากที่อื่น กับบรรยากาศของความสงบ ผ่อนคลาย เราพักอยู่ในถ้ำเกลือหิมาลายันนี้ประมาณ 45 นาที ซึ่งกำลังดีสำหรับเรา โดยเราพยายามปรับการหายใจให้หายใจลึกมากขึ้น ผลที่ได้ คือ ความรู้สึกปลอดโปล่งโล่งสบาย รู้สึกหายใจได้ดีในอากาศสะอาด ๆ ทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าโปรแกรมนี้ เหมาะสำหรับผู้มีโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ โรคไซนัส เป็นหวัด คัดจมูก คออักเสบ ไอมีเสมหะ หรือไอ ช่วยลดอาการของโรคเครียด โรคนอนไม่หลับด้วยค่ะ

ตอนมาเช็คเอ้าท์ ได้คุยกับพนักงานอีกครั้ง ยังรู้ว่าที่รีสอร์ทมีบริการจัดโปรแกรมเฉพาะเป็นรายบุคคล ผู้ใช้บริการสามารถแจ้งให้ทางรีสอร์ทจัดโปรแกรมดี ๆ พิเศษ ๆ ให้เป็นการเฉพาะได้ด้วยค่ะ

ติดตามเนื้อหาดี ๆ จากทีมงาน health2click ได้อย่างต่อเนื่องเลยนะคะ

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Tel. 02-712-8958
Website : www.rainbowarokaya.com
Line : @rainbowarl

 

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก