ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

.jpg

เบาหวาน (Diabetes Mellitus : DM, Diabetes) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายทำให้ตับอ่อนมีการผลิตฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ได้น้อยหรือไม่เพียงพอ หรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษา หรือรักษาแล้วระดับน้ำตาลยังสูงเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลแทรกซ้อนก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายชนิด ที่ส่วนใหญ่เป็นความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ  เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เส้นเลือดในสมองตีบ ไตเสื่อม ประสาทตาหรือจอตาเสื่อม กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น จากข้อมูลพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นทุกปี  โดยในประเทศไทย พบผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นผู้ใหญ่ ประมาณ 8.3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นผู้ป่วยทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านราย ดังนั้น การเรียนรู้เพื่อป้องกัน ดูแลและรักษาผู้ป่วยเบาหวานเป็นสิ่งสำคัญ

 

ชนิดของเบาหวานและสาเหตุ

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และโรคเบาหวานจากสาเหตุอื่น ๆ โดยจะมีอาการ สาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาที่แตกต่างกัน

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type I  DM) พบประมาณ 5% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยมาก หรือผลิตไม่ได้เลย โดยเกิดจากร่างกายของผู้ป่วยมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาต่อต้านการทำงานของตับอ่อน จนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ เบาหวานชนิดนี้พบในเด็กและผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นส่วนใหญ่ โดยประมาณ 30% ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้ มักมาด้วยอาการเลือดเป็นกรดเป็นอาการแสดงแรก โรคเบาหวานชนิดนี้ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาฉีดอินซูลินตลอดชีวิต
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type II  DM) พบประมาณ 90 – 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินได้เพียงพอแต่เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน กล่าวคือ ตัวจับอินซูลินที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ดีพอ จึงไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้ จึงทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ มักพบในผู้ที่มีอายุ 30 – 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีภาวะอ้วน หรืออ้วนลงพุง หรือมีญาติพี่น้องเป็นเบาหวาน เบาหวานชนิดนี้จะมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ทราบว่าตนเป็นเบาหวานอยู่ การตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดสูง แล้วปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารหรือการใช้ยาเบาหวานชนิดรับประทาน ส่วนใหญ่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติได้
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) พบประมาณ 2 – 5% ของเบาหวานทั้งหมด โดยในขณะตั้งครรภ์ร่างกายหญิงจะมีการสร้างฮอร์โมนจากรกหลายชนิด โดยบางชนิดออกฤทธิ์ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จนทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์  ทั้งนี้ภายหลังการคลอดบุตร ระดับน้ำตาลในเลือดของมารดามักจะกลับเป็นสู่ปกติและไม่จำเป็นต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาล
  • โรคเบาหวานจากสาเหตุอื่น ๆ (Specific types of Diabetes due to Other Causes) เบาหวานกลุ่มนี้เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวไปข้างต้น สาเหตุของเบาหวานชนิดนี้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบเรื้อรังทำให้ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอ ผู้ป่วยที่ใช้ยาบางกลุ่มเป็นระยะเวลานาน เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น

 

อาการโรคเบาหวาน

ในบทความนี้จะกล่าวถึงอาการเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2

  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 อาการต่าง ๆ ในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้ป่วยอาจมีอาการปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำบ่อย และน้ำหนักตัวจะลดลงอย่างมากภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ผู้ป่วยหลายรายอาจมาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติจากภาวะคีโตแอซิโดซิส (Ketoacidosis) ซึ่งเป็นภาวะที่เลือดในร่างกายเป็นกรด ซึ่งมีระดับน้ำตาลและคีโตน (Ketone) ในเลือดสูง สืบเนื่องจากการขาดอินซูลิน
  • ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในรายที่เพิ่งเริ่มเป็นหรือเป็นน้อย ๆ ค่าระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงมาก ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน โดยอาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะหรือตรวจร่างกายประจำปี สำหรับในรายที่มีอาการผิดปกติ อาจพบอาการปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะในตอนกลางคืน กระหายน้ำ หิวบ่อย กินจุ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง บางครั้งมีอาการสายตามัว เห็นภาพไม่ชัด ปัสสาวะมีมดขึ้น (ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 200 mg/dL) ทั้งนี้อาการมักค่อยเป็นค่อยไป กรณีที่เป็นเรื้อรัง น้ำหนักตัวอาจลดจากการที่ร่างกายหันมาใช้พลังงานจากโปรตีนในกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกาย อาจมีอาการคันตามตัว เป็นฝีหรือโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังบ่อย หรือเป็นแผลเรื้อรังที่หายช้ากว่าปกติ

ผู้ป่วยบางรายที่อยู่ในภาวะเบาหวานมานานและไม่รู้ตัว อาจมาพบแพทย์ด้วยอาการของภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น อาการชาหรือปวดแสบปวดร้อนปลายมือปลายเท้า ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เจ็บจุกหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต สายตามัว เป็นต้น

 

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

แพทย์จะทำการซักประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่าง ๆ ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญคือ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด โดยเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะเบาหวานมีดังนี้

  • ระดับน้ำตาลในเลือดที่เจาะข้อพับแขนหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting plasma glucose: FPG) มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 126 มก./ดล. ถือว่าเป็นผู้ป่วยเบาหวาน
  • ระดับน้ำตาลในเลือดที่เจาะที่ข้อพับแขนขณะที่ไม่ได้อดอาหาร มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. ร่วมกับมีอาการแสดงของโรคเบาหวาน เช่น ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลด เลือดเป็นกรด ถือว่าสามารถวินิจฉัยเบาหวานได้
  • การทดสอบความทนต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) สามารถทำโดยให้ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แล้วทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน 1 ครั้ง จากนั้นจะให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม และทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มน้ำตาลไปแล้ว 2 ชั่วโมง (ค่าปกติจะต่ำกว่า 140 มก./ดล.) ถ้ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไปจะถือว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวาน

นอกจากนั้นแพทย์อาจพิจารณาตรวจอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ได้แก่

  • การตรวจปัสสาวะเพื่อดูโปรตีนที่รั่วในปัสสาวะ
  • การตรวจพบระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (Hemoglobin A1C: HbA1C) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 6.5% จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน (ค่าปกติจะต่ำกว่า 5% แต่ถ้ามีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% จะถือว่าเป็นเบาหวาน)
  • การตรวจระดับไขมันในเลือด เพราะเบาหวานมักมีความสัมพันธ์กับระดับไขมันในเลือดสูง
  • การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต เพราะเบาหวานมักส่งผลต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง
  • การตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์ เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานต่อจอตา
  • การวัดความดันโลหิต เนื่องจากเบาหวานมักพบร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง
  • การตรวจเท้า เพื่อหารอยแผลและการรับความรู้สึกผิดปกติ เนื่องจากสัมพันธ์กับผู้เป็นเบาหวานระยะเวลานาน
  • หากสงสัยภาวะเบาหวานชนิดที่ 1 แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจภูมิคุ้มกันในเลือด (Antibody) เพื่อยืนยันการเกิดเบาหวานชนิดที่ 1

 

การรักษา โรคเบาหวาน 

เป้าหมายของการรักษาเบาหวาน ทั้งชนิดที่ 1 หรือ 2 คือ การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ  ซึ่งประกอบไปด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการใช้ยาลดระดับน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นยาชนิดรับประทานหรือยาฉีด

 

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ประกอบไปด้วย การออกกำลังกาย การควบคุมอาหารและการงดสูบบุหรี่

การออกกำลังกาย

แนะนำให้ออกกำลังกายระดับเบา กล่าวคือ ชีพจรให้ได้ร้อยละ 50 – 70 ของชีพจรสูงสุด (220 – อายุเป็นปี) โดยหากออกกำลังกายแบบแอโรบิก แนะนำให้ปฏิบัติ 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยแบ่งออกกำลังกายวันละ 30 – 50 นาทีให้ได้ 3 – 5 วันต่ออาทิตย์ และไม่ควรงดออกกำลังกายติดต่อกันนานกว่า 2 วัน สำหรับการออกกำลังแบบต้านแรง (resistance) แนะนำให้ปฏิบัติคู่กับการออกกำลังแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ ประกอบด้วย 8 – 10 ท่า (หนึ่งชุด) แต่ละท่าทำ 8 – 12 ครั้ง วันละ 2 – 4 ชุด

การควบคุมอาหาร

ผู้ป่วยเบาหวานควรมีการควบคุมการรับประทานอาหารและให้มีการลดลงของน้ำหนักได้อย่างน้อยร้อยละ 5 – 7 โดยการควบคุมอาหาร ไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนว่า สัดส่วนของพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันควรจะเป็นเท่าใด สำหรับคาร์โบไฮเดรต ควรรับประทานชนิดที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ธัญพืช ถั่ว ผลไม้ และนมจืดไขมันต่ำ ร่วมกับเลือกทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ ควรบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งเป็นหลักเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และหลอดเลือด สำหรับโปรตีนควรบริโภคปลาและเนื้อไก่เป็นหลัก และบริโภคปลามากกว่าหรือเท่ากับ 2 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อเพิ่มโอเมก้า-3 ไม่แนะนำให้ดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าดื่ม ควรจำกัดปริมาณไม่เกิน 1 ส่วนต่อวัน สำหรับผู้หญิง และ 2 ส่วนต่อวัน สำหรับผู้ชาย

 

การใช้ยาลดระดับน้ำตาล

สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องใช้ยาฉีดอินซูลินเท่านั้น สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น สามารถใช้ยาชนิดรับประทานได้ โดยชนิดของยารับประทานมี ดังนี้

  • ยากลุ่มไบกัวไนด์ (Biguanide) เช่น metformin มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างกลูโคสที่ตับและกระตุ้นให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ทำให้เซลล์ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ นำกลูโคสไปใช้งานได้มากขึ้น มักใช้ยากลุ่มนี้เป็นยาตัวแรกในผู้ป่วยเบาหวาน และสามารถใช้ควบกับยารักษาเบาหวานกลุ่มอื่น ๆ ได้ทุกกลุ่ม ผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ ปากคอขม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง ท้องเสีย น้ำหนักลดเล็กน้อย ถ้าใช้กับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียหรือยาฉีดอินซูลิน อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylurea) เช่น glipizide และ gliclazide มีฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน ผลข้างเคียงสำคัญ คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ น้ำหนักขึ้น และการแพ้ยากลุ่มซัลฟา
  • ยากลุ่มกลิตาโซน (Glitazone) เช่น pioglitazone เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อนำกลูโคสไปใช้งานได้ดีขึ้นใช้ควบคู่กับยารักษาเบาหวานกลุ่มอื่น ๆ ได้ทุกกลุ่ม แต่หากใช้คู่กับอินซูลินอาจทำให้บวมมากขึ้น ควรพิจารณาปรับขนาดยา ส่วนผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ บวม น้ำหนักตัวขึ้น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เอนไซม์ตับ (AST, ALT) ขึ้น การติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น
  • ยากลุ่มเมกลิทิไนด์ (Meglitinides) เช่น repaglinide มีฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน สามารถใช้แทนยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียได้ในทุกกรณี ส่วนผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ การแพ้ยากลุ่มซัลฟา
  • ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase inhibitor) ได้แก่ acarbose  มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล จึงช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ นิยมใช้ยากลุ่มนี้เป็นยาเสริมยารักษาเบาหวานกลุ่มอื่น ๆ ได้ทุกกลุ่ม ส่วนผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ มีลมในท้อง ปวดท้อง ท้องเสีย
  • ยากลุ่มยับยั้งการดูดซึมกลูโคสที่ไต (SGLT2 inhibitor) ได้แก่ empagliflozin, canagliflozin และ dapagliflozin สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดกลับน้ำตาลกลูโคสที่ท่อไตส่วนต้นได้ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในแง่การลดการเสื่อมของไตและลดการเกิดหัวใจล้มเหลวด้วย ผลข้างเคียงที่สำคัญ ได้แก่ การเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ความดันต่ำ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
  • ยาฉีดกลุ่ม GLP-1 agonist (GLP-1 receptor agonist) ได้แก่ liraglutide สามารถทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น กระเพาะและลำไส้บีบตัวได้น้อยลง ทำให้อิ่มไวและระดับน้ำตาลลดลง ผลข้างเคียงที่สำคัญได้แก่ น้ำหนักตัวลด ท้องอืด
  • ยาฉีดอินซูลิน (Insulin) ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในบางกรณี เช่น กินยารักษาเบาหวานเต็มที่แล้ว ยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ หรือผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรง ผู้ป่วยผ่าตัด ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล หรือผู้ป่วยตั้งครรภ์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนมาใช้ยาฉีดอินซูลินเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคตับหรือโรคไต ผู้ป่วยเบาหวานที่แพ้ยารักษาเบาหวานชนิดรับประทาน

ทั้งนี้ผลข้างเคียงจากการทานยารักษาเบาหวานบางชนิดข้างต้น  อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ คือทำให้มีอาการใจหวิว ใจสั่น หน้ามืด ตาลาย เหงื่อออก ตัวเย็น หิวข้าว ถ้าเป็นรุนแรง อาจทำให้เป็นลม หมดสติ หรือชักได้ เมื่อเริ่มใช้ยาผู้ป่วยจึงควรระวังอาการในลักษณะดังกล่าว ถ้าเริ่มรู้สึกว่ามีอาการก็ให้ผู้ป่วยรีบกินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอมทันที ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้น

 

ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย

ในรายที่เป็นเบาหวานมาเป็นระยะเวลานาน หรือไม่ได้รับการรักษา หากปล่อยทิ้งไว้อาจพบภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานที่สำคัญ ได้แก่

  • ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy) เกิดจากการที่น้ำตาลคั่งอยู่ในหลอดเลือดฝอยในลูกตา ทำให้หลอดเลือดฝอยที่ตาเสื่อม ส่งผลให้จอตาเสื่อม ระยะแรกอาจไม่มีอาการ หลังจากนั้นผู้ป่วยจะมาด้วยการมองเห็นภาพไม่ชัด มองเห็นจุดดำลอยไปมา หรือตาบอด เป็นต้น
  • ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy) เมื่อน้ำตาลคั่งในหลอดเลือดฝอยไต ทำให้หลอดเลือดฝอยไตเสื่อม ส่งผลให้เกิดไตวาย (Renal failure)  ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการบวมที่เท้า ข้อเท้า ขา ซีด อ่อนเพลีย เป็นต้น
  • ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy) เมื่อน้ำตาลคั่งในหลอดเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทในแต่ละอวัยวะ ทำให้หลอดเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทของอวัยวะดังกล่าวเสื่อม ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทได้ เช่น ชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า มีความเสี่ยงต่อแผลหายช้า อัมพาตกล้ามเนื้อตา กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือเบ่งปัสสาวะไม่ได้ กระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ รวมถึงการเกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย
  • ภาวะแทรกซ้อนต่อหัวใจ การที่หลอดเลือดหัวใจเสื่อมจากภาวะเบาหวานประกอบกับภาวะไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดหัวใจเกิดการอุดตัน เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดโรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease) บางรายมีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือด ผู้ป่วยหลายกรณีไม่มีอาการล่วงหน้า บางรายอาจมีอาการแบบรุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายฉับพลัน หรือ หัวใจล้มเหลวฉับพลัน ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ
  • ภาวะแทรกซ้อนต่อสมอง ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease/stroke) สูง โดยผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองตีบมากกว่าบุคคลปกติ 3 – 5 เท่า โดยจะมีอาการเบื้องต้นคือ กล้ามเนื้อแขน ขา อ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใด หรือเป็นครั้งคราว ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ กลืนอาหารแล้วสำลักบ่อยๆ เป็นต้น
  • แผลเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic ulcer) ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีอาการปลายประสาทอักเสบ ภาวะขาดเลือดจากหลอดเลือดเสื่อมสภาพ และติดเชื้อง่ายจากภาวะภูมิคุ้มกันที่ต่ำ ทำให้เกิดบาดแผลได้ง่าย เกิดแล้วหายช้า อาจลุกลาม รุนแรง เป็นเนื้อตายจนถึงขั้นต้องตัดอวัยวะบริเวณดังกล่าวทิ้งได้ โดยเฉพาะแผลที่เท้า

 

สรุป

  • ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องพบแพทย์ เพื่อเจาะตรวจเลือด หรือวางแผนการรักษาตามวันเวลานัด การขาดการจริงจังกับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยประสบกับปัญหาจากภาวะแทรกซ้อนมากยิ่งขึ้นได้
  • ห้ามซื้อยารับประทานเอง ทั้งนี้ยาสามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาล ทำให้เพิ่มขึ้นหรือลดต่ำลงจนอยู่ในระดับผิดปกติ โดยผู้ป่วยจะมีอาการและอาจเป็นอันตรายได้ เช่น น้ำตาลในเลือดต่ำหรือน้ำตาลในเลือดสูง
  • หมั่นตรวจและดูแลเท้าอย่างละเอียดทุกวัน ระวังไม่ให้มีบาดแผลหรือมีการอักเสบ ถ้ามีแผลที่เท้า แม้เพียงเล็กน้อย ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรประคบร้อน
  • คนปกติที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ควรเจาะเพื่อตรวจเบาหวาน โรคตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 3 ปี แต่หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีพี่น้องเป็นเบาหวาน มีภาวะอ้วน มีความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ควรตรวจทุกปี โดยหากพบในระยะเริ่มแรกจะได้วางแผนการรักษาแต่เนิ่น
  • ควบคุมน้ำหนักให้คงที่ อย่าให้น้ำหนักเกินเกณฑ์หรือหากเป็นโรคอ้วนก็ควรลดน้ำหนัก เพราะจากการวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินล้วนมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงถึง 80% ฉะนั้น การควบคุมน้ำหนักจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญ
  • ควบคุมอาหารการกินอย่างเคร่งครัด โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผัก ผลไม้ ลดคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี ลดไขมัน หลีกเลี่ยงการกินน้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำหวาน น้ำอัดลม นมหวาน ผลไม้รสหวานจัด หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ ไขมันสัตว์ อาหารทอด หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด และอาหารสำเร็จรูป
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยทำในปริมาณพอ ๆ กันทุกวันและไม่หักโหม ทั้งนี้เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การออกกำลังกายหักโหมมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด เพราะความเครียดอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้
  • เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบเร็วขึ้นจนเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่าง ๆ ตามมาได้
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ตามที่แพทย์แนะนำ เช่น วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่

 

แหล่งที่มา

  1. www.mayoclinic.org
  2. นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ. เบาหวาน. ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป. สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน. (2543) : 473-483
  3. Standards of Medical Care in Diabetes-2020. Diabetes care. 2020;43(Suppl 1):S98-s110.
  4. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2560. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย. (2560)
  5. www.idf.org

ภาพประกอบจาก : www.freepik.com


.jpg

โรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) เป็นโรคที่หลอดเลือดแดงเกิดหนาตัว มีความแข็ง ขาดความยืดหยุ่นและอาจถึงขั้นตีบตัน ทำให้การไหลเวียนของเลือดผ่านหลอดเลือดบริเวณดังกล่าวลดลง ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณส่วนปลายและใกล้เคียงไม่เพียงพอ ในกรณีที่ตีบตันจะทำให้เกิดการขาดเลือดไปเลี้ยงส่วนปลายของหลอดเลือดที่ตีบตัน ทำให้เกิด กล้ามเนื้อหัวใจตาย อัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้อบริเวณส่วนปลายเท้าตาย ขึ้นกับตำแหน่งของหลอดเลือดแดงที่ตีบหรือตัน

 

อาการ

โรคหรือภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง สามารถเกิดขึ้นได้กับหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยผู้ที่เป็นโรคส่วนใหญ่จะไม่ทราบจนกระทั่งเกิดอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน โดยอาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหลอดเลือดที่ตีบตัน ได้แก่

  1. หลอดเลือดที่คอหรือสมอง อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง มีอาการ อัมพาต อัมพฤกษ์ เวียนศีรษะ ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
  2. หลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิด โรคหัวใจขาดเลือด ปวดเค้นอก แน่นหน้าอก เหมือนมีสิ่งของมาทับอาจจะปวดร้าวมาไหล่และแขนซ้ายด้านใน เหงื่อออกมาก หายใจหอบเหนื่อย กรณีเป็นรุนแรงทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้
  3. หลอดเลือดที่ขา อาจทำให้เกิดอาการปวดเวลาเดิน ชา มีแผลจะหายช้า เท้ามีสีดำคล้ำ อาจจะเกิดส่วนที่ดำและตายในส่วนปลายของตำแหน่งที่ตีบตันบริเวณเท้า
  4. เส้นเลือดที่ไต จะทำให้มีความดันโลหิตสูงและถ้าเป็นรุนแรงอาจจะทำให้ไตวายได้

 

กลไกการเกิดหลอดเลือดแดงแข็ง

กลไกการเกิดหลอดเลือดแดงแข็งเกิดจากการมีไขมันหรือแคลเซียมเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว และการสะสมของไขมันและสารอื่น ๆ รวมถึงเม็ดเลือดขาวทำให้เกิดการอักเสบ มีเกล็ดเลือดมาเกาะ และแผ่นคราบ (plaque) หนาตัวขึ้น ซึ่งอาจจะแตกออกและเกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดง ทั้งนี้หลอดเลือดแดงแข็ง มักเกิดในหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่และขนาดกลางเป็นส่วนใหญ่ พบในหลอดเลือดแดงขนาดเล็กเป็นส่วนน้อย

 

ปัจจัยเสี่ยง

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้และแก้ไขไม่ได้ ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดแดงแข็ง

WordPress Tables Plugin
  • การสูบบุหรี่*
    ความรุนแรงของความเสี่ยง อาจจะพิจารณาจาก จำนวนซองบุหรี่ที่สูบต่อวัน x จำนวนปี

    สำหรับบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นกับปริมาณความเข้มข้นนิโคตินและความถี่ที่สูบ
    นอกจากนี้การได้รับควันบุหรี่มือสองจากบุคคลในครอบครัวก็เพิ่มความเสี่ยงแม้จะไม่ได้สูบบุหรี่เอง
  • ความอ้วนหรือน้ำหนักเกิน** อาจจะคำนวณจากดัชนีมวลกายหรือรอบเอว
    • ดัชนีมวลกาย (Body mass index) = น้ำหนักตัว (กก.)/ส่วนสูง (ม.)2
      ตัวอย่าง ส่วนสูง 1.68 เมตร น้ำหนัก 68 กก. ดัชนีมวลกายเท่ากับ 68/(1.68)2 = 24.1 กก/ม2
      ปกติ ดัชนีมวลกายถ้ามากกว่า 23 กก/ม2 จะถือว่าน้ำหนักเกินและเพิ่มความเสี่ยง
    • รอบเอว ชาย ไม่ควรเกิน 90 ซม. หญิง ไม่ควรเกิน 80 ซม.
      หรือ รอบเอวไม่เกิน ส่วนสูง/2
  • ความดันโลหิตสูง*** ตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท ขึ้นไป ที่สถานพยาบาล
    • แม้แต่ระดับความดันโลหิต ≥ 130/85 มิลลิเมตรปรอทในกลุ่มที่อ้วนลงพุง ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
  • ไขมันผิดปกติ****
    • ไขมันที่ไม่ดี คือ ระดับ LDL-C ถ้ามากว่า 190 มก./ดล. ถือว่าความเสี่ยงสูงมาก การรักษาควรให้ลดระดับ LDL-C เท่าใด ขึ้นกับความเสี่ยง เช่น น้อยกว่า 100 มก./ดล. ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น เบาหวาน หรือ น้อยกว่า 70 มก./ดล. ในผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ไขมันที่ดี คือ HDL-C เพศชายควรมีระดับ มากกว่า HDL-C 40 มก./ดล. และเพศหญิง ควรมากกว่า 50 มก./ดล. และถ้ามากกว่า 60 มก./ดล. อาจจะมีส่วนในการป้องกันโรคหัวใจ
  • เบาหวานหรือระดับน้ำตาลสูง*****
    • แม้ว่าจะมีระดับน้ำตาลสูงถึงระดับเบาหวาน แต่มีค่าน้ำตาลก่อนอาหารมากกว่า 100 มก./ดล. หรือน้ำตาลสูงที่ 2 ชั่วโมงหลังรับทานน้ำตาล 75 กรัม มากกว่า 140 มก./ดล. ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

  

การประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

บุคคลทั่วไปสามารถประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โดย application หรือ ทางอินเตอร์เน็ตที่ดูโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดและการแนะนำการปฏิบัติตนใน Thai CV risk score* ซึ่งจะต้องกรอกข้อมูลความเสี่ยง ได้แก่ อายุ เพศ การสูบบุหรี่ ประวัติโรคเบาหวาน ระดับความดันตัวบน ในกรณีที่ไม่ใช้ผลเลือดไขมัน จะใช้ ค่าวัดรอบเอวและส่วนสูง หรือถ้ามีผลเลือด จะใช้ค่า โคเลสเตอรอล LDL-C HDL-C

* https://www.rama.mahidol.ac.th/cardio_vascular_risk

 

การวินิจฉัย

แพทย์จะซักประวัติอาการป่วย รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (ตามรายละเอียดในข้อสาเหตุ) พร้อมการตรวจร่างกาย การตรวจหาปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ รอบเอว น้ำหนัก ส่วนสูง เพื่อคำนวณดัชนีมวลกาย วัดความดันโลหิต อาการแสดงของหลอดเลือดแดงแข็งบริเวณอวัยวะที่สอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยง เช่น การตรวจคลำชีพจรที่เท้า ฟังเสียงฟู่ที่ท้อง หลัง และคอ

ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำ แพทย์อาจพิจารณาตรวจด้วยวิธีการอื่น ๆ เป็นการเพิ่มเติม เช่น

  1. การตรวจเพื่อเลือดเพื่อหาปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การตรวจเลือดเพื่อหาระดับไขมัน ระดับน้ำตาลในเลือด
  2. การตรวจเพื่อหาความผิดปกติของเส้นเลือดแดง โดยการใช้เทคนิคทางด้านเอ็กซเรย์หรือการสแกน เพื่อดูความผิดปกติหลอดเลือด เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-scan) การทำดอปเปอร์อัลตร้าซาวด์ (Doppler ultrasound) เพื่อวัดความดันและการไหลของเลือดในหลอดเลือดที่คาดว่าผิดปกติ
  3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เพื่อวินิจฉัยและหาตำแหน่งกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, การตรวจคลื่นหัวใจขณะออกกำลังกาย (Stress test) เพื่อตรวจหาการทำงานของหัวใจที่ผิดปกติ
  4. การฉีดสารทึบแสงพร้อมการเอ็กซเรย์ (Angiogram) เพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือด

 

การรักษา

ภายหลังการวินิจฉัย รู้ตำแหน่งของหลอดเลือดที่ผิดปกติ ภาวะของโรคร่วมหรือโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงแล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษาตามแนวทาง

  1. การรักษา/ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคไขมันในเลือดสูง ความอ้วน การสูบบุหรี่ ทั้งในรูปแบบของ
    • การใช้ยา ซึ่งมียาหลายชนิดที่แพทย์สามารถเลือกใช้เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ยาลดไขมัน ซึ่งยาที่มีหลักฐานชัดเจนส่วนใหญ่ คือ ยากลุ่มสแตติน (Statin) นอกจากนี้อาจจะใช้ยากลุ่มอื่นร่วมถ้าไม่ได้ผลหรือมีผลข้างเคียงจากยากลุ่มสแตติน (Statin) ยาลดความดันโลหิต กลุ่มเอจอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) กลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta blocker) และกลุ่มอื่น ๆ เพื่อควบคุมระดับความดันโลหิต เป็นต้น ยาลดระดับน้ำตาลในผู้เป็นเบาหวาน อาจจะพิจารณายากลุ่มเอส จี แอล ที ทู อินฮิบิเตอร์ (SGLT2 inhibitor) หรือ จีแอลพีวัน รีเซ็บเตอร์อโกนิส (GLP-1RA) หรือ เม็ทฟอร์มิน (metformin) หรือ ไพโอกลิททาโซน (pioglitazone)
    • การไม่ใช้ยา มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การควบคุมอาหาร กินให้ถูกโภชนาการ เน้นอาหารสุขภาพ เช่น ปลา ผัก ข้าวกล้อง ผลไม้ไม่หวานจัด การเพิ่มการออกกำลังกายตามสุขภาพร่างกายและอายุ งดบุหรี่รวมถึงหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง แอลกอฮอล์ การพักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกปล่อยวาง เป็นต้น
  2. การป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน โดยยาป้องกันเกาะกันของเกล็ดเลือด (antiplatelet) เช่น แอสไพริน (Aspirin), โคพิโดรเกล (clopidrogel) หรือ ยาอื่นๆ หรือการใช้ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาลิน (Warfarin) ในกรณีที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดร่วมด้วย แต่ในกรณีที่หลอดเลือดแดงตีบเฉียบพลันพิจารณายาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic)  
  3. การขยายหลอดเลือด สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำบอลลูน (Balloon) การใช้ลวดตาข่าย (Stent) ถ่างหลอดเลือด
  4. การผ่าตัดทำบายพาส (artery bypass grafting) เช่น การผ่าตัดหลอดเลือดแดงที่หัวใจโดยการนำหลอดเลือดดำที่ขามาเชื่อมหลอดเลือดแดงเข้าด้วยกันเพื่อสร้างทางเบี่ยงข้ามบริเวณที่หลอดเลือดตีบตัน ทำให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้อย่างปกติ ลดอาการเจ็บหน้าอก และป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือด

ซึ่งจะเลือกวิธีการใด ขึ้นกับว่าเป็นหลอดเลือดของอวัยวะใด การตีบตันเกิดในตำแหน่งใดของหลอดเลือด อายุ สุขภาพร่างกายผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์

 

ข้อแนะนำและการป้องกัน

  • ผู้ป่วยต้องปรับลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและบางรายซึ่งส่วนใหญ่อาจจะต้องใช้ยาควบคุมเพื่อชะลอการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง ทั้งนี้หากพบอาการที่ผิดปกติเพิ่มเติม ให้ปรึกษาแพทย์ทันที
  • ผู้ที่มีอาการใกล้เคียงกับโรคนี้ ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุทันที แม้ว่าอาการอาจเป็น ๆ หาย ๆ แต่ผู้ป่วยยังคงมีความเสี่ยงในการที่อาการดังกล่าวจะกลับมา และส่งผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ มากกว่าเดิม
  • บุคคลทั่วไป สามารถป้องกันและชะลอภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ได้โดย
    • การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยควรงดสูบบุหรี่ งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงสภาวะที่ก่อให้เกิดความเครียดเรื้อรัง พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น
    • การควบคุมอาหาร โดยให้ความสำคัญกับการทานอาหารในทุกมื้อ ไม่ควรทานในปริมาณมากหรือตามใจปาก โดยมีมื้อหลักไม่เกิน 3 มื้อ มื้อเช้าสำคัญอย่าขาด มื้อเย็นควรให้น้อยที่สุด เพราะเป็นช่วงก่อนเข้านอน ในแต่ละมื้อเน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะธัญพืช ผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้แคลอรี่สูง เช่น ของมัน ของทอด เนื้อติดมัน และอาหารที่มีรสหวาน เช่น ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว เลือกดื่มน้ำเปล่าหรือนมไขมันต่ำแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    • การออกกำลังกายเป็นประจำ ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้งขึ้นไป โดยเลือกรูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
    • การควบคุมน้ำหนัก ควรให้ความสำคัญกับปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ต่อวัน เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสม ไม่ให้น้ำหนักตัวเกินหรือมีภาวะอ้วน ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการนำไปสู่โรคต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้
    • รักษา/ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานให้ได้ตามเป้าหมาย
    • ตรวจสุขภาพเพื่อดูการทำงานของหัวใจ ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด และการทำงานของไต เพื่อคัดกรองความผิดปกติต่าง ๆ เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค
.
.
แหล่งที่มา
  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Atherosclerosis
  2. https://www.mayoclinic.org/diseases-20350569
  3. https://www.honestdocs.co/atherosclerosis-cur
  4. https://www.rama.mahidol.ac.th/cardio_vascular_risk
ภาพประกอบจาก : www.pngtree.com

 


-H2C00.jpg

หลายคนเข้าใจว่า “ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative disc)” เป็นภาวะที่มักจะพบในผู้สูงอายุที่มีความเสื่อมเกิดขึ้นในร่างกายตามวัยที่สูงขึ้น แต่เชื่อหรือไม่ว่า จากสถิติของคนไข้ที่เข้ารับการรักษาอาการปวดหลังเรื้อรังนั้น มีเพิ่มมากขึ้นในทุกช่วงอายุและในหลากหลายอาชีพ ซ้ำแล้วในวัยทำงานอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คืออายุตั้งแต่ 25 – 50 ปี ยังพบว่ามีผู้ที่ประสบภาวะนี้เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย

 

สาเหตุสำคัญ

ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม เกิดจากสาเหตุสำคัญ 3 ประการหลัก

  1. การสึกหรอตามอายุการใช้งาน เช่น นั่งนาน ๆ โดยไม่เปลี่ยนอริยาบท นั่งขับรถเป็นระยะทางไกล ๆ เป็นกิจวัตร
  2. การยกของหนัก
  3. การเกิดภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ซึ่งมีผลทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงบริเวณหมอนรองกระดูกน้อยลง ส่งผลให้กระดูกเสื่อมเร็วก่อนเวลาอันควร

 

อาการที่พบ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลัง ที่เอวระดับเข็มขัดและอาจร้าวลงไปถึงบริเวณด้านข้างของสะโพก ในบางรายที่มีอาการเฉียบพลัน เช่น ไปยกของหนักมีอาการเจ็บหลังร้าวลงขา ข้างใดข้างหนึ่งทันที แสดงว่า เกิดปริแตกหรือโป่งยื่นของหมอนรองกระดูก ทำให้มีส่วนเนื้อในของหมอนรองกระดูก (Nucleus) โป่งหรือทะลักออกมา ไปกดทับเส้นประสาทที่ไปขา บางรายจะมีอาการชาและทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขา อ่อนแรงของเท้า ทำให้เดินลำบาก ผู้ป่วยลักษณะนี้จะมีภาวะที่เรียกว่า “Acute Herniated Disc Syndrome” ซึ่งพบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน

อาการที่แสดงว่าหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมที่เห็นเด่นชัดคือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณเอว ลักษณะอาการปวดจะตื้อ ๆ ระดับเข็มขัดอาจร้าวลงมาที่บริเวณกล้ามเนื้อด้านข้าง ซึ่งอาการปวดจะมีส่วนสัมพันธ์กับการใช้งาน เช่น มีอาการปวดเมื่อนั่งนาน ขับรถนาน ยืนนาน หรือเดินนาน บางรายอาจนั่งได้เพียง 10-15 นาทีก็จะมีอาการ แต่เมื่อนอนพักอาการปวดจะทุเลาลง ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการกดทับเส้นประสาทมากจะมีอาการปวดร้าวลงขา บางรายมีอาการชาและอ่อนแรงของขาหรือเท้าตามเส้นประสาทส่วนที่ถูกกดทับ

หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม

ภาพจาก : discmdgroup.com 

 

แนวทางในการรักษา

สิ่งแรกแพทย์ต้องจะอธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าตนเองเป็นโรคอะไร มีลักษณะผิดปกติอย่างไร เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง พร้อมกับแนะนำวิธีการดูแลรักษาตนเอง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง “โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือโป่งยื่น ส่วนใหญ่สามารถรักษาหายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด (ประมาณกว่า 90% ของผู้ป่วย)” แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเ ร่วมกับให้ยาลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นรอบ ๆ เส้นประสาทหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งจะทำให้อาการปวดลดลงได้ และอาจใช้การทำกายภาพบำบัด
ร่วมด้วย

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการชาและอ่อนแรง อาจให้ยาบำรุงเส้นประสาท หรือบางรายที่อาการรุนแรงอาจต้องหยุดพักงาน 2-3 วัน จากนั้นจะเริ่มกลับไปมีกิจวัตรประจำวันตามปกติ อีกแนวทางอีกวิธี คือ การฉีดยารอบเส้นประสาท (Selective nerve block) ด้วยการฉีดสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบและระงับปวดบริเวณเส้นประสาท ในกรณีที่รักษาแบบเบื้องต้นดังกล่าวแล้วไม่ดีขึ้น

 

การผ่าตัด

สำหรับข้อบ่งชี้ว่าผู้ป่วยสมควรเข้ารับการผ่าตัด คือ การรักษาด้วยวิธีการพื้นฐานไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยมีอาการชา หรืออ่อนแรงมากขึ้น มีอาการชารอบก้น อั้นอุจจาระและปัสสาวะไม่อยู่ เรียกภาวะนี้ว่า “CaudaEquina Syndrome“ ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่พบได้น้อย และจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนทันที

เมื่อผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แพทย์จะทำการวินิจฉัยด้วยการส่งตรวจ MRI เพื่อดูลักษณะของหมอนรองกระดูกสันหลังที่โป่งยื่นหรือสึกหรอ การผ่าตัดจะเป็นการตัดชิ้นของหมอนรองกระดูกสันหลังที่โป่งยื่นออกมาเท่านั้น เรียกว่า “Discectomy” ซึ่งมีเทคนิคหลายวิธี ตั้งแต่เปิดแผลผ่าตัดขนาด 10 เซนติเมตร จนถึงการผ่าตัดเล็ก ขนาด 1-2 เซนติเมตร โดยใช้เทคนิคไมโครสโคปเข้าช่วย (Microdiscectomy) ซึ่งหลังการผ่าตัด คนไข้จะพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลประมาณ 1-2 วัน จากนั้นสามารถกลับบ้านได้ แต่จะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

ข้อที่ต้องหลีกเลี่ยงหลังผ่าตัดอย่างน้อย 3 เดือน คือ ห้ามยกของหนัก ห้ามก้มเก็บของหรือเอี้ยวบิดตัวรุนแรง หลีกเลี่ยงการไอจาม การเบ่งถ่ายอุจจาระ ทั้งนี้เนื่องจากจะทำให้เกิดแรงดันในช่องหมอนรองกระดูกสันหลังสูงขึ้น เกิดความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บขึ้นได้ และไม่ควรนั่งนานเกิน 1 ชั่วโมงในแต่ละครั้ง ต้องหมั่นเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ด้วยการลุก ยืน เดิน พร้อมกับการบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง

 

เมื่อผ่าตัดแล้ว จะหายขาดหรือไม่

หลังการผ่าตัดอาการจะดีขึ้นอย่างชัดเจน และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนโอกาสที่จะเกิดซ้ำมีประมาณ 5% ส่วนใหญ่เกิดซ้ำในปีแรก โดยเฉพาะ 3 เดือนแรกหลังผ่าตัด เรียกว่าเป็นช่วง 3 เดือนอันตราย ขึ้นอยู่กับระดับความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง และลักษณะการโป่งยื่นของหมอนรองกระดูก

ส่วนวิธีการรักษาโดยใช้เลเซอร์คลื่นความถี่สูง (RADIOFREQUENCY : RF) และขดลวดความร้อน อาจนำมาใช้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยไม่ผ่าตัด แต่ผลของการรักษาโดยวิธีดังกล่าวนี้ได้ผลเพียงชั่วคราว ซึ่งบางรายก็อาจไม่ได้ผล กรณีของการรักษาโดยนักจัดกระดูก (Chiropractor) โดยถ้ามีการปวดหลังเรื้อรัง อาจมีการพิจารณาเลือกรักษาได้ แต่ถ้ามีอาการปวดร้าวลงขา โดยเฉพาะมีอาการชาและอ่อนแรง ไม่แนะนำให้รับการจัดกระดูก เพราะอาจทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทมากขึ้นและอาการเลวลงได้

สำหรับแนวทางป้องกันหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือโป่งยื่น ก็คือการใช้หลังในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายและการทำงาน นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยง คือ การสูบบุหรี่ รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้กล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังแข็งแรง สามารถช่วยพยุงให้สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ดังนั้น เมื่อคุณมีอาการปวดหลังและร้าวลงขาเป็นเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาก่อนที่จะมีอาการปวดมากขึ้นเนื่องจากหมอนรองกระดูกเสียหายมากขึ้น ทำให้ยากต่อการรักษามากตามไปด้วย

 

รศ. นพ. อารีศักดิ์ โชติวิจิตร
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางกระดูกสันหลังและการผ่าตัดข้อเทียม
ศูนย์ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH)
ภาพประกอบจาก : อินเตอร์เน็ต และเว็บไซต์ใต้รูปภาพ


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก