ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

9-ข้อถามตอบ-ข้าวเพื่อสุขภาพ.jpg

ข้าวเพื่อสุขภาพต่างจากข้าวทั่วไปอย่างไร

จากการที่ประเทศไทยเปลี่ยนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดกระแสของการใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น ผู้สูงอายุเองก็อยากเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี เป็นสมาร์ทซีเนียร์ ดูแลตัวเองได้ไม่เป็นภาระใคร ขณะวัยกลางคนเองก็ต้องการมีสุขภาพแข็งแรงดุแลผู้สูงอายุ ตนเองและครอบครัว ทำให้มีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเกิดขึ้นมากมาย

ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย กินกันทุกวัน สลับกับข้าวไปมาแต่ก็มีข้าวเป็นหลัก ๆ อยู่ ก็เลยเกิดความคิดว่าทำอย่างไรให้ข้าวซึ่งเป็นอาหารที่เรากินเป็นประจำ นอกจากจะให้พลังงานแล้ว จะช่วยดูแลสุขภาพในด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย จึงเป็นที่มาของข้าวเพื่อสุขภาพ

ปัจจุบัน ข้าวเพื่อสุขภาพ พอจะจัดแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่

  • กลุ่มที่ 1 ข้าวออร์แกนิค (Organic rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่าง ๆ ในทุกขั้นตอนของการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงต่าง ๆ ข้าวนี้คุณค่าของสารอาหารจะเหมือนข้าวปกติ แต่จะเน้นความปลอดภัยว่าผู้บริโภคข้าวออร์แกนิคจะไม่ได้รับสารเคมีปนเปื้อนเข้าไปในร่างกาย
  • กลุ่มที่ 2 ข้าวปรับปรุงพันธ์ (Breeding rice) เป็นข้าวที่ได้จากการปรับปรุงพันธุ์เดิม ให้เป็นพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติดีขึ้นตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทนต่อสภาพอากาศ ทนแมลง ให้ผลผลิตสูง หรือบางพันธ์ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพ เช่น ข้าวไรซ์เบอรี่ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ สามารถทำอาหารโภชนะบำบัด หรือข้าวสังข์หยด ที่มีวิตามินบี 1 – 2 ฟอสฟอรัส แคลเซียม ทองแดง กากอาหาร และแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นต้น
  • กลุ่มที่ 3 ข้าวปรับกระบวนการผลิต ปัจจุบันได้แก่ ข้าวกล้องงอก (Germinated brown rice หรือ “GABA-rice”) เป็นการนำข้าวกล้องมาปรับกระบวนการงอก ทำให้ข้าวกล้องซึ่งมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก วิตามินซี วิตามินอี รวมถึง GABA หรือ Gamma amino butyric acid อยู่แล้ว มีมากขึ้น โดยเฉพาะ GABA เป็นสารสื่อประสาทช่วยในการทำงานของสมอง ลดการวิตกกังวล ซึมเศร้า คลายเครียด เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำให้ข้าวที่หุงสุก มีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่าย
  • กลุ่มที่ 4 ข้าวเสริมสารอาหาร (Enriched rice) เป็นข้าวที่ผ่านการเติมวิตามินและแร่ธาตุหลัก ๆ ที่มีอยู่ในข้าวก่อนผ่านกระบวนการขัดสี วิตามินและแร่ธาตุหลักๆ ที่เติมจะเป็นส่วนที่สูญหายไปจากการขัดสี เช่น วิตามิน B1, B2, B3 และธาตุเหล็ก ซึ่งจะมีส่วนที่คล้ายกับข้าวกล้องที่สารอาหารก่อนการขัดสียังมีอยู่มาก กับความนุ่มชุ่มชื้นของเม็ดข้าวหลังการหุงที่มีความแตกต่างกัน

ข้าวเพื่อสุขภาพ

ภาพจาก : www.freepik.com

 

เหตุผลที่ข้าวเพื่อสุขภาพ มีส่วนช่วยดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่รับประทาน

ต้องบอกก่อนว่า คนไทยทานข้าวทุกวันอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายมากหากมีการให้ความสำคัญกับข้าวที่รับประทานเพิ่มขึ้น แต่ละคนมีข้อห่วงใยทางด้านสุขภาพในเรื่องอะไรกันบ้าง เช่น คนที่ห่วงใยเรื่องสารเคมี ก็อาจพิจารณาบริโภคข้าวออร์แกนิค ที่ผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐาน หรือคนที่ห่วงใยเรื่องความครบถ้วนของสารอาหาร ซึ่งหายไปจากการขัดสี ก็อาจพิจารณาบริโภคข้าวกล้อง หรือถ้าบางคนสนใจเรื่องความครบถ้วนของสารอาหารและความนุ่มนวลและรสชาติ ก็อาจพิจารณาบริโภคข้าวเติมวิตามิน

อย่างไรก็ตามการมีสุขภาพดีนั้นมีหลายปัจจัย นอกเหนือจากการกินให้ถูกโภชนาการของแต่ละเพศและวัยแล้ว ยังมีเรื่องของการออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิตที่ไม่เสี่ยงต่อสุขภาพด้วย

 

ขั้นตอนการผลิต การดูแลเก็บรักษา ข้าวเพื่อสุขภาพเหมือนหรือแตกต่างกับข้าวทั่วไปอย่างไร

ขั้นตอนการผลิต ข้าวทั้ง 4 กลุ่ม มีวิธีการผลิตบางขั้นตอนที่แตกต่างกัน สรุปในเบื้องต้นได้ดังนี้

  • ข้าวออร์แกนิค จะเน้นการงดใช้สารเคมีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต การกำจัดแมลงและวัชพืช โดยเน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติหรือจากพืช ที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่ตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ เป็นต้น
  • ข้าวปรับปรุงพันธุ์ จะมีการรวบรวมพันธุ์ คัดเลือกพันธุ์ ผสมพันธุ์ ชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์ และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุวิศวกรรมให้ได้พันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติดีตามที่ต้องการ
  • ข้างกล้องงอก โดยเบื้องต้นเป็นการนำข้าวกล้องมาผ่านกระบวนการทำให้มียอดอ่อนงอก และทำให้หยุดเมื่อยอดอ่อนยาวในระดับหนึ่ง แล้วนำเข้าสู่ขั้นตอนการเก็บรักษาเพื่อการบริโภคต่อไป
  • ข้าวเสริมสารอาหาร จะเป็นการใช้เทคนิคหลาย ๆ รูปแบบในการเติมวิตามินและแร่ธาตุให้กับเมล็ดข้าวที่ขัดแล้ว ตัวอย่างเช่น การพ่นเคลือบ การผสมผง การสเปรย์ การผลิตในสภาพกรด เป็นต้น

สำหรับการดูแลเก็บรักษา ใช้หลักการเดียวกันกับข้าวทุกประเภทคือ การเก็บในที่แห้ง อุณหภูมิปกติ ไม่อับชื้น มีความสะอาด มีฝาปิดมิดชิด

ข้าวเพื่อสุขภาพ

ภาพจาก : www.freepik.com

 

ขั้นตอนการหุง ข้าวเพื่อสุขภาพเหมือนหรือแตกต่างกับข้าวทั่วไปอย่างไร

อาจมีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่บ้างเล็กน้อย หลักการคือ ข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย ทำให้เมล็ดยังมีความแข็งสูง ก่อนการหุงอาจเพิ่มขั้นตอนที่ทำให้ข้าวนิ่มขึ้น เช่น นำข้าวไปแช่น้ำก่อนการหุง นานแค่ไหนแล้วแต่ชนิดของข้าว ตัวอย่างข้าวที่ควรแช่น้ำก่อนการหุง เช่น ข้าวในกลุ่มข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวออร์แกนิคบางชนิด สำหรับการซาวข้าวก่อนหุง เบื้องต้นเน้นเพื่อการทำความสะอาด เน้นการเทน้ำเบาๆ นวดข้าวเสริมเล็กน้อย เพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอน ฝุ่น มอดออก 1 รอบสำหรับข้าวใหม่ และ 2 – 3 รอบสำหรับข้าวเก็บไว้นาน อย่างไรก็ตามการซาวทุกขั้นตอนควรเน้นเบา ๆ เพื่อป้องกันวิตามิน และแร่ธาตุหลุดจากเมล็ดข้าว ทั้งนี้มีข้าวบางชนิดที่ไม่จำเป็นต้องซาวก่อนหุง

 

ใครเหมาะที่จะทานข้าวเพื่อสุขภาพบ้าง

จริง ๆ เหมาะกับคนที่ห่วงใยสุขภาพ ทุกเพศและวัย กินกันได้ทั้งครอบครัว โดยอาจเลือกข้าวเพื่อสุขภาพที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง เช่น คนที่ตระหนักเรื่องสารเคมีปนเปื้อน อาจเหมาะกับข้าวในกลุ่มออร์แกนิค คนที่สนใจเรื่องต้านอนุมูลอิสระ โอเมก้า 3 ลดคลอเลสเตอรอล อาจเหมาะกับข้าวไรซ์เบอรี่ หรือถ้าอยากได้วิตามินและเกลือแร่ใกล้เคียงกับข้าวก่อนขัดสี ก็อาจเหมาะกับข้าวกล้อง หรือถ้าอยากได้คุณค่าอาหารประมาณข้าวกล้อง แต่อยากได้ความนุ่มนวลแบบข้าวหอมมะลิ อาจเหมาะกับข้าวเติมวิตามิน เป็นต้น

 

เพื่อให้เห็นภาพ ตัวอย่างเช่น คนที่เป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งอาการมีตั้งแต่อ่อนเพลีย นอนรู้สึกไม่เต็มอิ่ม มึนงง ผมร่วง ซึ่งนอกจากการรักษาตามแพทย์แล้ว การปรับมาทานข้าวเสริมธาตุเหล็ก ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีส่วนช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้กับร่างกาย

 

ข้าวเพื่อสุขภาพ ควรจะกินนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล เพราะอะไร

ข้าวเพื่อสุขภาพในทุกกลุ่ม เป็นการเติมสารอาหารเพื่อป้องกันการขาดวิตามิน แร่ธาตุ และสารอื่นๆที่มีคุณค่าทางโภชนาการ อันจะทำให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะเป็นระบบไหลเวียนโลหิต ระบบภูมิคุ้มกันโรค จุดเด่นที่ข้าวเพื่อสุขภาพคือ เราต้องทานข้าวทุกวัน และเกือบทุกมื้ออยู่แล้ว ถ้าข้าวนะมีคุณค่าทางโภชนาการดี ๆ ร่างกายเราก็จะได้สิ่งดี ๆ เข้าไปโดยวิธีง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก

ผู้ที่ต้องการสุขภาพดี ยังต้องทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบ ออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ข้าวเพื่อสุขภาพช่วยเสริมในส่วนคุณค่าอาหาร เช่นเดียวกับผู้ป่วย ก็ควรต้องรักษากับแพทย์ตามขั้นตอน เพียงการเสริมด้วยข้าวที่มีสารอาหารเพื่อให้ร่างกายกับมาแข็งแรงเร็วยิ่งขึ้น

 

ข้าวเพื่อสุขภาพกับอาหารเสริม เหมือนหรือต่างกัน

ถ้าดูจากข้อก่อนหน้า เราจะเห็นว่าต่างกันชัดเจน เบื้องต้น ข้าวมีวิตามินและเกลือแร่บางชนิดอยู่ กระบวนการผลิต การหุงอาจทำให้สารอาหารดี ๆ หล่นหายไป เราจึงใช้วิธีเติมสารอาหารเหล่านั้นกลับเข้าไป หรือข้าวบางชนิดมีการปรับปรุงพันธ์ให้มีสารอาหารครบถ้วนมากขึ้น ผู้บริโภคจะลดโอกาสในการขาดสารอาหารประเภทนั้น เรียกว่าเป็นตัวช่วยในการป้องกันการขาดสารอาหารบางชนิด

ข้าวเพื่อสุขภาพ

ภาพจาก : www.freepik.com

ขณะที่อาหารเสริมจะผลิตขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่ขาดหรือเสี่ยงที่จะขาดสารอาหารประเภทนั้นโดยเฉพาะ เช่น อาหารเสริมวัยทอง อาหารเสริมผู้สูงอายุ อาหารเสริมบำรุงสมอง โดยทั่วไปจะมีความเข้มข้นของสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่มากกว่า ผู้บริโภคควรทานในช่วงเวลาหนึ่ง ควบคู่ไปกับการรักษากับแพทย์ หรือการดูแลตัวเอง

 

หลักในการเลือกซื้อ ข้าวเพื่อสุขภาพ

ฝาก 2 ข้อหลัก คือ ควรเลือกซื้อข้าวที่มีความใหม่ เพราะข้าวที่เก็บไว้นาน ๆ จะมีความเป็นกรด ขณะที่ร่างกายถ้าอยากให้ทำงานได้ดี ต้องการความเป็นด่างอ่อน ๆ โดยข้าวเมื่อถูกขัดสีแล้วเก็บไว้ จะมีการผลิตน้ำมันออกมาเป็นกรดไขมันเพื่อเคลือบตัวเขาเองไม่ให้สูญเสียความชื้นออกไป ยิ่งนานไปความเป็นกรดก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น ถ้าเลือกได้ก็อยากให้เลือกกินข้าวใหม่ การซื้อแต่ละครั้งก็อาจจะปรับปริมาณให้พอเหมาะไม่เก็บไว้นานจนเกินไป แม้ว่าจะเก็บอย่างถูกวิธี

สำหรับประเภทของข้าวเพื่อสุขภาพ ในข้อต้น ๆ จะบอกไปแล้วว่าแต่ละกลุ่มมีข้อเด่นอย่างไร ผู้บริโภคสามารถเลือกให้สอดคล้องกับที่ตนเองต้องการได้ โดยที่อยากเน้นคือ ไม่ว่าเป็นข้าวสุขภาพกลุ่มไหน ให้เลือกข้าวที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิตด้วย โดยอาจดูที่บรรจุภัณฑ์ว่ามีการแจ้งรับรองการผลิตโดยหน่วยงานภาครัฐหรือไม่ อย่างข้าวออร์แกนิคก็ควรมีมาตรฐานการรับรองอาจจะเป็นมาตรฐานออร์แกนิคไทยแลนด์ หรือมาตรฐานออร์แกนิคระดับสากลอย่าง IFOAM, USDA ของอเมริกา, JAS ของญี่ปุ่น, BioAgreCert ของอิตาลี เป็นต้น

ข้าวเพื่อสุขภาพ

ภาพจาก : www.freepik.com

 

ฝากข้อมูลของข้าววรรณภพ

ข้าววรรณภพเป็นข้าวเติมวิตามิน โดยมีเทคนิคการเติมวิตามินที่ต่างชาติให้การยอมรับ โดยมีไลน์ผลิตชัดเจน มีการทำความสะอาดอย่างเข้มข้น เราใช้น้ำ RO ที่ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมี โลหะหนักและแบคทีเรียในการขัดข้าว แล้วใช้เทคนิคในการเติมวิตามินเพิ่มเข้าไป และผ่านการตรวจสอบมาตรฐานของข้าวที่ผลิตได้ เพราะข้าววรรณภพต้องรักษามาตรฐานข้าวส่งออกไว้ด้วย นอกจากนี้บรรจุภัณฑ์เราทำเป็นซิปล็อค แก้ปัญหาปนเปื้อนเชื้อรา แบคทีเรียในถังที่ปกติใช้เก็บข้าว ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจถึงความสะอาดปลอดภัย และด้วยความสะอาดในขั้นตอนการผลิต ข้าวรรณภพจึงไม่ต้องซาวก่อนหุง เป็นการลดโอกาสที่สารอาหารจะสูญหายระหว่างการหุงได้

 

ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ คุณธัณวรรณ พัฒผล CEO บริษัท วรรณภพ จำกัด เว็บไซต์ www.wonnapob.com/th
เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา :
1. กองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว
2. การปรับปรุงพันธ์ข้าว สารานุกรมไทย
3. Ricefamily.greenishgroup.net   
4. Foodnetwork.solution.com
ภาพประกอบ : www.freepik.com

 


Ketogenic-diet-หรือ-คีโต-ก่อนกินต้องรู้.jpg

สูตรการทานอาหารเพื่อไดเอทมีหลากหลายแนว หนึ่งในนั้น คือ สูตรการทานแบบคีโตเจนิค (Ketogenic diet) เรียกสั้น ๆ ว่า การทานแบบ “คีโต” ซึ่งเป็นอีกสูตรในการไดเอท ที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน มาติดตามเรื่องที่น่าสนใจด้วยกันได้เลย

 

ทำความรู้จักกับ การทานอาหารแบบ “คีโต”

“คีโต” เป็นสูตรการทานอาหารที่ได้รับความสนใจมากสุดในปัจจุบัน โดยเน้นการทานอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงาน 60 – 80% จากไขมัน 5 – 10% จากคาร์โบไฮเดรต หรือประมาณ 20 – 30 กรัมต่อวัน ที่เหลือเป็นพลังงานที่ได้จากโปรตีน สูตรการทานอาหารแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายนำไขมัน ที่สะสมในร่างกายออกมาใช้ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะคีโตซีส (Ketosis)

นักโภชนาการกล่าวว่า แม้ว่ามีผลการลดน้ำหนักที่ดี แต่ “การทานอาหารแนวคีโต อาจไม่ได้ผลเหมือนกันในทุกคน” โดยเคมีในร่างกายที่เป็นลักษณะเฉพาะ จะบ่งชี้ว่าร่างกายสามารถตอบสนองต่อการทานอาหารแบบนี้อย่างไร

 

การทานแบบ “คีโต” กับสุขภาพของคุณ

อาหารแนวคีโต อาจทำให้คุณผอมลงอย่างรวดเร็ว จากการตรวจสอบพบว่า อาหารแนวนี้มีประสิทธิภาพในการช่วยกระตุ้นให้น้ำหนักลด และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มการเผาผลาญเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่การที่น้ำหนักลดเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า อาหารแนว “คีโต” ทำให้คุณลดความอยากทานอาหารโดยรวม

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาผลที่ได้ต่อสุขภาพยังมีความขัดแย้งกัน เช่น งานวิจัยในสัตว์แสดงให้เห็นถึงปัญหาโรคไขมันพอกตับ จากการทานอาหารแบบคีโตเป็นเวลานาน ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติม กับผลกระทบของอาหารแนวนี้ นอกจากนี้ การทานอาหารแนวคีโตยังไม่ได้รับคะแนนที่ดีจากการจัดอันดับโดย US news & World report ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดอันดับสูตรอาหาร Diet กว่า 40 สูตร

 

ผลกระทบของการทานอาหารแนว “คีโต”

ช่วงเริ่มแรก คุณจะต้องทานคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก ประมาณ 20 ถึง 30 กรัมต่อวัน เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณจะเข้าสู่ “ภาวะคีโตซีส” (Ketosis) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในการกำจัดอาหารหลาย ๆ อย่างออกพร้อมกัน

โดยช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่น้ำหนักจะลด เป็นช่วงที่ร่างกายปรับตัว หลาย ๆ คนจะเจอกับอาการ “คีโตฟลู” (Keto flu) เช่น เหนื่อยล้า มึน คลื่นไส้ เป็นต้น อาการเหล่านี้มักเป็นแค่ชั่วคราว แต่จะทำให้คุณคิดไตร่ตรอง รวมถึงทดสอบแรงบันดาลใจ แน่นอนว่าเกี่ยวกับน้ำหนักที่คุณต้องการลด  สำหรับบางคนที่คิดว่าการทานอาหารแนวคีโตไม่เหมาะกับคุณ แต่เมื่อเริ่มแล้ว ควรมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น ถ้าคุณยังมีอาการ “คีโตฟลู” อยู่ หรือทานอาหารไม่ลง เป็นไปได้ว่าอาหารแนวนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคุณจริง ๆ อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หลังจากผ่านอาการ “คีโตฟลู” แล้ว คุณมีแนวโน้มที่จะไปได้ดีกับการทานอาหารแนวนี้

สำหรับในระยะยาวแล้ว งานวิจัยยังมีจำกัด ปัจจุบันยังบอกไม่ได้ว่าการตัดอาหารหมู่สำคัญออกไป จะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร นักโภชนาการเคยเตือนไว้ว่า อาจทำให้ขาดสารอาารได้ หากคุณทานอาหารแนวคีโตนานเกินไป ระยะเวลาที่แนะนำให้ทานอาหารแนวคีโต คือ  3 – 6 เดือน เพราะคีโตไม่เหมาะสำหรับทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน

 

ข้อควรระวังการทานอาหารแนว “คีโต”

อาหารแนวคีโต ไม่ได้เป็นอาหารวิเศษสำหรับลดน้ำหนัก หรือแก้ไขปัญหาสุขภาพได้ทั้งหมด สำหรับบางคน เช่น ผู้ที่เป็นโรคไต การทานอาหารแนวนี้อาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ ยังไม่เหมาะกับการทานเป็นระยะเวลานาน ๆ

 

ดังนั้น ควรนึกถึงไลฟ์สไตล์ของคุณว่า สอดคล้องข้อจำกัดกับอาหารแนวคีโตนี้หรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มทานอาหารแนวนี้ด้วย ทั้งนี้ ภายใต้คำแนะนำที่ถูกต้อง จะสามารถทำให้คุณมีความสุขกับการทานอาหารแนวนี้ได้

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.everydayhealth.com  www.healthline.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


-ขณะออกกำลังกาย.jpg

มีข้อมูลพบว่า อันตรายขณะออกกำลังกาย โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิต ทั่วโลกอยู่ที่ 1 : 80,000 – 200,000 โดยการเสียชีวิตส่วนใหญ่จะมาจากโรคแฝง ที่นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ๆ ไม่รู้ หรือรู้และอยู่ในระหว่างการรักษาหรือการควบคุม โอกาสที่จะเสียชีวิตในคนที่แข็งแรงไม่มีโรคแฝงจากกการออกกำลังหรือเล่นกีฬาโดยตรงนั้น มีโอกาสเกิดน้อยกว่า

 

สาเหตุการเสียชีวิต จากการออกกำลังกาย

สำหรับการเสียชีวิต ซึ่งเกิดในระหว่างการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา เช่น การวิ่งระยะไกล การเตะฟุตบอล การเล่นแบดมินตัน มักจะมาจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับหัวใจเป็นหลัก โดยมีโอกาสเกิดสูงในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีอายุ ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีประวัติเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ไขมันสูง ความดันสูง มีเบาหวาน สูบบุหรี่ อ้วน เป็นต้น เมื่อต้องออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ 3 – 5 ชม. และเมื่ออยู่ในสภาพที่มีความฟิตไม่เพียงพอ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ มีเรื่องเครียดก่อนแข่ง นอนดึกก่อนแข่ง จึงมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตระหว่างการออกกำลังกายสูง

ทั้งนี้สาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิต มาจากการที่มีลิ่มเลือดหรือก้อน plaque หลุดไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดการอุดตันเฉียบพลัน เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวายและเสียชีวิต ซึ่งโรคนี้ในการดำเนินชีวิตปกติอาจไม่มีอาการ นอกจากนี้การตรวจหลอดเลือดหัวใจตามปกติ เช่น การตรวจเลือด เอกซเรย์ทรวงอก CT scan, MRI, คลื่นไฟฟ้าหัวใจ, การวิ่งสายพาน (Exercise stress test: EST) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary angiogram) อาจให้ผลเป็นปกติได้ ทำให้ผู้ออกกำลังกายหรือผู้เล่นกีฬาส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่ามีโรคแฝงอยู่ สำหรับในรายที่อายุน้อยกว่า 40 ยังอาจเสียชีวิตจากโรคหัวใจผิดปกติอื่น ๆ ได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจโตผิดปกติ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม อีกทั้งมีการพบว่า มีอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตที่สูง ในผู้ที่ปกติไม่ค่อยออกกำลังกาย แล้วจู่ๆไปออกกำลังกายหนักๆเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งเกินหัวใจจะรับได้

นอกจากการเสียชีวิตจากโรคแฝงที่เกี่ยวกับโรคหัวใจแล้ว ยังมีการเสียชีวิตในขณะออกกำลังกายจากสาเหตุอื่น เช่น การสูญเสียเกลือแร่ จากโรคลมแดด (Heat stroke) ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยกว่า

  

อาการเตือนถึงอันตรายขณะออกกำลังกาย

ทั้งนี้ผู้ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาควรต้องสังเกต อาการที่แสดงถึง อันตรายขณะออกกำลังกาย สำคัญ ๆ โดยถ้ามีอาการอย่าฝืน อย่าพยายามเล่นต่อเด็ดขาด อาการดังกล่าว ได้แก่

  1. เจ็บแน่นหน้าอก โดยอาจลามไปจนถึงช่วงแขน คอ กราม ใบหน้าหรือช่องท้อง
  2. เวียนหัว หน้ามืดจะเป็นลม หรือเหงื่อแตก ใจสั่น

โดยหากมีอาการดังกล่าว ให้รีบบอกเพื่อน ผู้เล่น กรรมการเพื่อส่งให้หน่วยพยาบาลปฐมพยาบาล หรือไปโรงพยาบาลทันที หากไม่มีหน่วยช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ ให้โทรศัพท์ไปที่เบอร์สายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

  

ข้อแนะนำในการลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิต

  1. ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจร่างกายตามระดับความเสี่ยง เช่น อายุมาก มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ อาจต้องทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การวิ่งสายพานหรือการตรวจอื่นๆที่เหมาะสม ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดและค่าใช้จ่ายในการตรวจจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งจะมีแพคเกจเฉพาะออกมาเป็นระยะ โดยภายหลังการตรวจ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด
  2. ควรมีการเตรียมร่างกาย ฝึกซ้อมก่อนเล่นหรือก่อนแข่งอย่างเพียงพอ โดยมีรูปแบบการฝึกทั้งแบบ interval หนักสลับเบา แบบ tempo หนักต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความทนทาน รวมถึงการฝึกเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น เป็นต้น
  3. ในการออกกำลังกาย หากมีความหนักหน่วง เช่น ออกกำลังกายในลักษณะที่อัตราการเต้นของหัวใจโซนสูง ๆ ควรค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบเร่ง ไม่โหมโดยไม่ดูกำลังตัวเอง และควรมีวันพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้มีการปรับตัว
  4. ในกรณีที่เป็นการแข่งขัน ให้เล่นเหมือนกับที่ซ้อมมา อาจเข้มข้นขึ้นได้อีกเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายคุ้นเคยกับระดับความหนักของการออกกำลังหรือแข่งในระดับนี้มาแล้ว อันตรายมากหากไม่ค่อยได้เล่น ซ้อมน้อยหรือหยุดไปนาน แล้วมามุ่งมั่นเอาจริง เอาจังตอนแข่ง ซึ่งหัวใจจะโหลด และมีความเสี่ยงสูงอาจทำให้เสียชีวิตได้
  5. หากพบอาการเตือน เช่น แน่นหน้าอก เวียนหัว หน้ามืดจะเป็นลม อย่าฝืนเล่นหรือออกกำลังกายต่อ ให้หยุดพัก แจ้งหน่วยพยาบาลหรือติดต่อสายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทันที
  6. นอกจากนี้ควรหาเวลาเข้าอบรมการทำ CPR หรือการปั้มหัวใจ เผื่อมีโอกาสในการช่วยผู้เล่นกีฬาคนอื่น ๆ ได้

การออกกำลังกายให้ถูกประเภท โดยมีความหนักและความถี่ที่เหมาะสม ผู้ออกกำลังกายจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามการสังเกตอาการผิดปกติ โดยเฉพาะอาการที่อาจเกี่ยวกับหัวใจ และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com
ข้อมูลอ้างอิง : ข้อมูลจาก พ.อ. นพ. กิจจา จำปาศรี. (2562). วิ่งหรือออกกำลังกายอย่างไร ให้ปลอดภัยกลับบ้านแน่ ๆ. www.health2click.com


-4-ทุ่ม-Health2click.jpg

ถึงคราวต้องนอน ก่อน 4 ทุ่ม จากข้อมูลผลเสียของการนอนดึกส่งให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมเร็วขึ้น ได้แก่ สมอง หัวใจ หลอดเลือด ต่อมไร้ท่อ และภูมิคุ้มกันร่างกาย ดังนั้น ข้อเสียของการนอนดึกจึงส่งผลมหาศาลต่อทั้งร่างกาย

 

แต่ในทางตรงกันข้าม หากนอนเร็วขึ้นมาได้ โดยนาทีทองที่สำคัญ คือ ตั้งแต่ 4 ทุ่มเป็นต้นไป จนถึงก่อนเที่ยงคืน ก็จะช่วยให้ท่านได้สุขภาพดีทางลัดเป็นรางวัล ดังนี้คือ

  1. สมองสร้างเคมีสุข สมองเป็นหัวเรือใหญ่ในการแจกงานให้อวัยวะต่าง ๆ ไม่เว้นแม้เวลานอน ที่ถือเป็นเวลาแจกรางวัลให้ร่างกาย โดยมอบเมลาโทนิน (Melatonin) หรือ “เคมีนิทรา” และเซโรโทนิน (Serotonin) หรือ “เคมีสุข” และฮอร์โมนเพศ อีกทั้งเคมีบำรุงต่าง ๆ ออกมาคุมระบบในตัวเรา ให้ทำงานราบรื่นพร้อมตื่นมาอย่างสดชื่น แถมยังช่วยเป็นเกราะ ป้องกันป่วยได้ด้วย โดยสถาบันการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) ชี้ว่าการนอนหลับมีผลมหาศาลต่อคุณภาพชีวิตของเรา
  2. สร้างเคมีหนุ่มสาว มาจากการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ คือ หลับไวและหลับสนิท โดยเคมีหนุ่มสาวที่ว่า คือ โกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ที่จะค่อยลดลงตามวัยและการนอนดึก แต่ถ้าท่านได้นอนเร็วสักราว 4 ทุ่ม จะทำให้สมองเต็มที่กับการเป็นโรงงานชั้นดี ที่ผลิตโกรทฮอร์โมนธรรมชาติให้ท่านได้
  3. ความจำดีขึ้น การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ชี้ว่า คนที่นอนน้อย (ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน) ติดกันมีผลต่อความจำ สมาธิ และอุบัติเหตุมาก ด้วยกลไกขณะนอนช่วยจัดระเบียบสมอง (Consolidation) คล้ายอีเมลที่แยกเมลขยะออกไป ให้สังเกตว่า เวลาอดนอนจะมีอาการมึน ความจำมัว ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน เพราะคิดอย่างแต่กลับพูดอีกอย่าง ดังนั้น การได้นอนเต็มอิ่มมีส่วนช่วยให้สมองได้เติมพลังชาร์จแบตพร้อมรับความจำใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น
  4. คุมความดันโลหิตได้ เพราะในขณะนอนหลับเร็ว ภายในร่างกายจะเหมือนมีคนแคระมากมายช่วยกันทำงานที่ซับซ้อน อย่างคุมหัวใจและความดันโลหิตให้สงบลงไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่น ซึ่งคนแคระที่ว่า คือ ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลายและกลไกทางชีววิทยาที่เป็นดั่งฟันเฟืองขนาดจิ๋วทั้งหลาย
  5. ร่างกายได้ซ่อมแซม ตัวเราที่สู้ชีวิตในโลกกว้างมาทั้งวัน มีนาทีสำคัญที่จะช่วยฟิตเครื่องยนต์ ก็ คือตอนนอน สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อได้คลายตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลด การเข้าอู่นอนก็เหมือนเข้าอู่ซ่อมร่างกายที่สึกหรอไป จากงานหนักทั้งวัน ยิ่งได้นอนเร็วก็เท่ากับได้ตักตวงกำไรสำคัญที่จะทำให้ท่านมีสุขภาพดี คนที่นอนเร็วจะไม่เสี่ยงเจ็บป่วยง่าย จากร่างกายเกินซ่อมด้วย
  6. ไม่เสี่ยงอ้วน ชวนให้ไม่เสี่ยงสร้างพุงเกิดโรคอ้วนลงพุงมฤตยู เพราะการนอนเร็วช่วยสกัดอาการหิวดึกและกินดุที่จะตามมา นอกจากนั้นยังมีกลไกดับหิวด้วยการสร้างเคมีดับหิวขึ้นมา ทำให้การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ดีกว่า เพราะกระตุ้นเตาเผาในร่างกายให้ทำงานได้ดี ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมาก
  7. มีความสุขง่าย น่าลองอยู่ไม่น้อยว่า ดัชนีความสุขของชาติเรา อาจสูงขึ้นถ้าเพียงลองนอนให้เร็วขึ้น เพราะเมื่อนอนเร็ว ก็จะมีโอกาสนอนได้เต็มอิ่มและพอกับร่างกายมากกว่า ทำให้บรรดารางวัลที่ร่างกายสร้างขณะหลับนั้น เราได้รับอย่างเต็มที่ ซึ่งตรงข้ามกับเมื่ออดนอนที่นำไปสู่ความอึมครึมของสุขภาพและสมอง ไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ขี้หงุดหงิด ความอดทนน้อยลง และอารมณ์เสียง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
  8. ได้ล้างพิษ ขณะนอนหลับช่วยปรับให้อวัยวะช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น อย่างตับ ไต และลำไส้ ซึ่งสังเกตได้ว่าคนที่อดนอนอาจมีปัญหาท้องผูก หน้าตาหม่นหมอง ดูไม่สดชื่นและที่สำคัญคือสุขภาพไม่ดี นั่นเพราะส่วนหนึ่งของพิษมาจากการนอนดึกด้วย โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ปวดรอบเดือนบ่อย ถ้าค่อยแก้นอนดึกได้จะช่วยคุมเคมีปวดได้มาก
  9. ไม่เสี่ยงโรคกำเริบ โรคเก่าที่อาจกำเริบได้ในมนุษย์นอนดึกก็ คือ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียด โรคซึมเศร้ารวมไปถึงโรคมะเร็ง การนอนดึกทำให้ร่างกายเหนื่อยเพิ่มขึ้น โดยใช่เหตุ คิดง่าย ๆ ว่าเหมือนกับเครื่องยนต์ต้องทำงานเกินเวลา ก็จะพาให้โรคที่พกอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ พากันแผลงฤทธิ์ขึ้น
  10. ช่วยป้องกันแก่ แค่นอน ก็ช่วยเสริมสร้างความหนุ่มสาวและป้องกันความเสื่อมชรา ที่มาหาได้จากพลังการต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสนิมแก่ ที่เกิดในร่างกายตามธรรมชาติในทุกลมหายใจ แต่การได้นอนจะช่วยให้สนิมแก่ทั้งหลาย ไม่ฮึกเหิมทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควร การชวนกันนอนไวตั้งแต่หัวค่ำช่วยทำให้นาฬิกาแก่ไม่เดินเร็วไป

“การหลับถือเป็นรางวัลจากธรรมชาติ ที่ถ้าใครไขว่คว้าไว้ได้อย่างเหมาะสม ได้นอนตามเวลา ได้หลับตาสนิท และได้นอนเต็มอิ่ม ผลลัพธ์ก็คือสุขภาพที่ดีเลิศอย่างรู้สึกได้ ซึ่งเรื่องนอนนี้เป็น เป็นเคล็ดลับเติมวิตามินธรรมชาติที่ไม่ต้องไปหาไกล”

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
แหล่งที่มา : https://www.facebook.com/krisdasirampuj
ภาพประกอบจาก : https://www.theultimategreenstore.com


-14-อาการปวดที่พบได้บ่อย-ติดตามเลย-.jpg

แน่นอนว่าในชีวิตที่ผ่านมา ทุกคนจะต้องพบเจออาการปวดจุกจิกกับส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งหากไม่รุนแรง บางครั้งคุณพักผ่อน หรือทานยาแก้ปวดซักเม็ด สองเม็ด แล้วล้มตัวนอนอย่างไม่ใส่ใจ แต่จะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าเราสามารถรับมือกับอาการปวดที่เกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด ติดตาม 14 อาการปวดพื้นฐาน ดังต่อไปนี้

 

อาการปวดจากเอ็นหุ้มข้อและกล้ามเนื้อฉีก

หลาย ๆ คนที่เล่นกีฬาหรือมีการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ คงคุ้นเคยกับการปวดจากเอ็นข้อฉีก (Sprain) เช่น ข้อเท้าแพลงขณะเล่นกีฬา และเอ็นกล้ามเนื้อฉีก (Strain) จากการถูกดึงหรือยืดอย่างแรง เช่น บาดเจ็บกล้ามเนื้อ จากการเล่นฟุตบอล โดยทั้งสองแบบมักทำให้เกิดอาการบวมและอักเสบ และบางครั้งสามารถทำให้เกิดรอยช้ำ หรือกล้ามเนื้อกระตุก การรักษาในขั้นต้นให้ใช้หลัก RICE โดย R คือ การพักใช้งานอวัยวะ I คือ การประคบเย็น C คือ การรัดอวัยวะให้อยู่นิ่ง และ E คือ การยกอวัยวะที่เจ็บให้สูงกว่าหัวใจ ทั้งนี้สามารถใช้ยาแก้ปวดที่วางขายอยู่ทั่วไป แต่ถ้าหากคุณมีอาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่า ไม่สามารถขยับข้อต่อได้ หรือไม่ดีขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

อาการปวดหัว จากความเครียด

อาการปวดหัวจากความเครียด (Tension headache) ทำให้คุณรู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังบีบรัดหัวของคุณอยู่ รับมือเบื้องต้นด้วยยาแก้ปวดที่หาได้ทั่วไป นอนพักผ่อน และดื่มน้ำบ่อยๆ เพียงเท่านี้ อาการปวดหัวของคุณจะหายไปภายในไม่ถึงชั่วโมง แต่อาจจะมีอาการปวดกลับมาบ้างภายในสองสามวัน โดยเคล็ดลับที่จะช่วยหลีกเลี่ยงอาการปวดหัวจากความเครียด คือ การพักผ่อนที่เพียงพอ การนวดผ่อนคลาย การปล่อยวางจากความเครียด และการดื่มน้ำมากๆ แต่ไม่ใช่น้ำที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน

 

อาการปวดไมเกรน

การปวดตุบ ๆ บริเวณด้านหน้า หรือด้านข้างของศีรษะจากไมเกรน (Migraine) สามารถกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของคุณได้ โดยคุณอาจจะไม่สบายท้อง ไวต่อแสงสว่าง คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดตา ปวดคอ ปัสสาวะบ่อย สิ่งที่ควรทำคือ หาสถานที่ที่มืดและเงียบสำหรับการพักผ่อน ประคบน้ำแข็งเพื่อลดอาการปวด และใช้แผ่นประคบร้อนช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวดธรรมดาสามารถช่วยได้หากคุณเพิ่งเริ่มมีอาการไมเกรน แต่สำหรับบางคนที่อาการปวดไมเกรนมีความรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาเป็นสิ่งจำเป็น

 

อาการปวดฟัน

สาเหตุของอาการปวดฟัน อาจมาจากฟันผุ ฟันแตก การอุดฟันที่เสียหาย หรือแม้แต่โรคเหงือก แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยปลื้มในการพบเจอทันตแพทย์ แต่ถ้าอาการปวดฟันของคุณกินเวลานานหลายวัน  คุณควรจะตัดสินใจไปพบทันตแพทย์ เพราะคุณอาจติดเชื้อบริเวณที่ปวดจนนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น

 

อาการปวดคอ

บริเวณคอคือส่วนที่ได้รับการคุ้มครองน้อยกว่าส่วนของกระดูกสันหลังที่เหลือ ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดได้ง่าย โดยอาการปวดคอส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดแค่ชั่วคราว โดยปกติแล้วคุณยังไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ โดยคุณควรให้ความสำคัญกับการจัดวางท่าทางที่ถูกต้องในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ยกของ นอน แม้แต่การเดิน อย่างไรก็ตามการปวดคอเรื้อรังหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ทันที

 

วิธีรับมือ 14 อาการปวดที่พบได้บ่อย ติดตามเลย

อาการปวดหลัง

เมื่ออายุคุณเพิ่มขึ้น อาการปวดหลังเหมือนจะกลายเป็นอาการปกติที่จะต้องพบเจอ โดยการปวดหลังอาจเกิดจากน้ำหนักตัวที่มากเกิน การยกของผิดท่า การเป็นโรค เช่น โรคข้ออักเสบ (Arthritis) และมะเร็ง ก็อาจจะส่งผลต่อบริเวณหลังและกระดูกสันหลังของคุณ ท่ายืนก็สามารถทำให้คุณปวดหลังได้เช่นกัน การรักษาอาการปวดหลังส่วนใหญ่ คือ การใช้ยาแก้ปวด การประคบร้อนหรือประคบเย็น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เล่นโยคะและการนวดก็ช่วยได้เช่นเดียวกัน เหมือนกับทุกข้อควรพบแพทย์ในกรณีที่เป็นเรื้อรังหรือรุนแรง

 

อาการปวดไหล่ ภาวะข้อไหล่ติด

อาการปวดไหล่ ซึ่งมักจะปวดมากขึ้นในตอนกลางคืน โดยเฉพาะเมื่อคุณนอนตะแคงข้างไปทับไหล่ข้างที่มีอาการ ความเจ็บปวดจะทำให้การทำกิจวัตรประจำวันเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะเมื่อถึงจุดที่คุณข้อไหล่ติด (Frozen shoulder) ข้อต่อไม่สามารถขยับได้ แก้ไขได้โดยการทำกายภาพบำบัด และออกกำลังกายเล็กน้อย เพื่อทำให้ไหล่สามารถขยับได้มากขึ้นทีละนิด อาการข้อไหล่ติดส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ อายุระหว่าง 40-60 ปี และพบมากในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน

 

อาการเอ็นอักเสบและไขข้ออักเส

เอ็นอักเสบ (Tendinitis) และไขข้ออักเสบ (Bursitis) จะมีอาการปวดและบวมบริเวณอักเสบ สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้งานที่มากเกินไป หรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณที่เป็นข้อต่อ เช่น บริเวณข้อเท้า ข้อศอก เข่า สะโพก ไหล่หรือข้อมือ กรณีนี้สามารถใช้หลัก RICE โดย R คือ การพักใช้งานอวัยวะ I คือ การประคบเย็น C คือ การรัดอวัยวะให้อยู่นิ่ง และ E คือ การยกอวัยวะที่เจ็บให้สูงกว่าหัวใจ ทั้งนี้หากอาการปวดและบวมมีอาการแย่ลง เช่น บวม ร้อนมากขึ้น ปรึกษาแพทย์ทันที

 

อาการข้ออักเสบ

โรคมากกว่า 100 ชนิดก่อให้เกิดอาการปวดข้อ  โดยอาการข้ออักเสบ (Arthritis) จะประกอบไปด้วยการบวม ปวด ตึงและเคลื่อนไหวข้อต่อลำบาก สาเหตุอาจมาจากการเสื่อมจากการใช้งาน หรือเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune system) อาการปวดข้อมักไม่สามารถหายขาด แต่คุณสามารถบรรเทาอาการปวดและปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนในการดูแลได้

 

อาการปวดท้อง

มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง (Stomachache) รวมถึงอาการอาหารไม่ย่อย การมีแก๊สในกระเพาะอาหาร และท้องผูก ปกติแล้วสามารถใช้ยารักษาอาการในเบื้องต้นได้ แต่ถ้าหากอาการปวดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน รุนแรง ต่อเนื่องหลายวัน หรือมีอาการแปลกๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีเลือดปน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

อาการปวดสะโพกลงขา

อาการปวดสะโพกลงขา (Sciatica) ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายทั้งเวลานั่งและยืน โดยคุณอาจรู้สึกอ่อนล้า รู้สึกชาที่บริเวณขา สาเหตุจากการที่เส้นประสาท Sciatic ถูกกระทบกระเทือนหรือกดทับ ทั้งนี้การจามหรือการไอสามารถเพิ่มความปวดได้ อาการปวดสะโพกมักหายไปภายใน 2-3 สัปดาห์ ด้วยการพักผ่อน และออกกำลังกายอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าให้ดีการไปพบแพทย์จะทำให้เรามั่นใจได้ว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดูแลด้วยตัวเองได้

 

อาการปวดเส้นประสาท

การรู้สึกเสียวแปล๊บ ร้อนวูบ ชาและอ่อนล้า สามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกการมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทได้  ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ดี สามารถมีอาการปวดเส้นประสาท (Nerve pain) บริเวณมือ เท้า แขน และขา หรือคนที่ป่วยเป็นโรคงูสวัด ผื่นจากไวรัสอีสุกอีใส ก็สามารถนำไปสู่อาการปวดเส้นประสาทได้เช่นเดียวกัน เมื่อมีปัญหาดังกล่าว คุณอาจมีความผิดปกติในการทำงานของระบบอวัยวะตามมา เช่น ปัญหาการย่อยอาหาร ปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ อาการปวดเส้นประสาทแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อการวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง

 

อาการปวดจากการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ

ระวังไว้ การวางท่าทางของมือที่ไม่ถูกต้องเมื่อใช้แป้นพิมพ์ และการใช้แป้นพิมพ์ที่มากเกินไป สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติที่เส้นประสาท โดยอาจทำให้เกิดอาการเสียวแปร๊บ ชา ที่นิ้วมือของคุณ สิ่งที่ต้องทำเมื่อมีอาการ คือ พักการใช้ข้อมือ หลีกเลี่ยงการบิดหรือดัดข้อมือซักสองสามสัปดาห์ จากนั้นลองเล่นโยคะ ทำกายภาพบำบัด และการกินยาลดอาการบวมถ้าจำเป็น

 

อาการปวดบวมที่เท้า

หากคุณมีอาการปวดบวมที่เท้า สิ่งที่ต้องทำคือ พักการใช้งานและยกเท้าของคุณขึ้น ประคบน้ำแข็งเป็นเวลา 15 – 20 นาที ถ้าคุณจำเป็นต้องยืนบนพื้นแข็งทั้งวัน ควรใส่ถุงเท้าที่รัดกระชับ หรือรองเท้าที่ซัพพอร์ตเท้าของคุณเป็นอย่างดี และควรถอดออกมาพักเท้าบ้างหากคุณสามารถทำได้ ผู้ที่เท้ามีลักษณะแบนหรือมีส่วนโค้งที่ยกสูงมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการช้ำบริเวณฝ่าเท้าได้ง่าย การยืดเส้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับอาการแบบนี้ ปรึกษาแพทย์เมื่อคุณรู้สึกเจ็บมาก

 

อาการปวดส่วนมากมักจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พบเจอได้บ่อย การดูแลตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม เมื่อพบเจออาการปวดแบบต่างๆ จะทำให้คุณฟื้นตัวเร็วขึ้น ที่สำคัญคือเมื่อมีอาการปวด ก็อย่าเพิ่งฝืนใช้ร่างกายมาก และไปพบแพทย์หากมีอาการปวดเรื้อรัง หรือรุนแรง

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.webmd.com
ภาพประกอบ : www.freepik.com

 


5-Frying-oils-good-health.jpg

น้ำมันทอดกับอาหาร ถือว่าเป็นของคู่กันสำหรับคนที่รับประทานอาหารตามปกติ และถ้าคุณวางโปรแกรมการรับประทานอาหารคลีน ก็จะยิ่งมีการแยกประเภทของน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพเฉพาะเจาะจงลงไปอีก บางคนอาจเคยคิดว่าของทอดนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย แต่อันที่จริงแล้ว วัตถุดิบตั้งต้นต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ ส่วนกรรมวิธีการปรุงอย่างการทอดนั้นไม่ใช่ปัญหา ถึงแม้จะควบคุมอาหาร แต่ถ้าเลือก “น้ำมันทอด” ที่ดีต่อร่างกาย ยังไงก็ยังฟินกับของทอดได้แน่นอน

 

น้ำมันทอด 5 ชนิด ได้แก่

1.น้ำมันมะกอก

ถ้าคุณกำลังสนใจเรื่องการรับประทานอาหารคลีน น้ำมันมะกอกถือว่าเป็นราชินีของการปรุงเมนูคลีนเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นน้ำมันที่ให้แคลอรี่ต่ำ มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย น้ำมันมะกอกมีหลายชนิด ตั้งแต่ Virgin, Extra virgin, Light ซึ่งคำเหล่านี้ใช้จำแนกถึงระดับจุดเดือดของน้ำมัน ซึ่งบางคนอาจกำลังงงว่า น้ำมันมะกอกสามารถทอดของจนกรอบได้หรือไม่ คำตอบ คือ ได้ ถ้าเลือกชนิด Light ซึ่งมีจุดเดือดสูงที่สุดจากทั้งหมดนี้ สามารถทอดเนื้อสัตว์ชุบแป้งทอดชิ้นเล็ก ๆ ได้ ส่วน Virgin เหมาะกับอาหารคลุกจำพวกสลัด และ Extra virgin เหมาะกับการนาบ ย่าง หรือผัดโดยใช้ความร้อน

 

2.น้ำมันคาโนลา

คาโนลาเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง โดยน้ำมันคาโนลานี้ สกัดมาจากเมล็ดของมันนั่นเอง ถือว่าเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เพราะมีระดับไขมันอิ่มตัวที่ต่ำ มีโอเมก้าสูง ทำให้ครองใจคอรักสุขภาพมากมาย อีกทั้งมีระดับจุดเดือดปานกลาง ดังนั้น ถ้าใครคิดถึงการรับประทานของทอดอย่างไข่เจียวกรอบ ๆ หรือมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบทำเองซักถ้วย ก็ยังทอดไหว แต่ถ้าทอดในระดับ Deep fried อย่างปลากะพงทอดน้ำปลา คงต้องบอกลากันไปก่อน

 

3.น้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว ถือเป็นน้ำมันน้องใหม่ที่เริ่มบูมมากในกลุ่มคนรักสุขภาพ ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับน้ำมันประเภทอื่น มีไขมันทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ ดังนั้น จึงเหมาะกับคนที่เล่นบอดี้เวท ทำให้น้ำมันมะพร้าวมักจะถูกบรรจุลงในโปรแกรมการกินแบบ Burn fat ของเหล่ากูรูเทรนเนอร์ท่านต่าง ๆ และตอนนี้ในท้องตลาดยังมีการพัฒนาน้ำมันมะพร้าวเพื่อการปรุงอาหารในครัวเรือนโดยเฉพาะด้วย ทำให้ผู้บริโภคสามารถสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย ตั้งแต่การทำสลัดจนถึงการใช้น้ำมันทอดตามปกติทั่วไปเลย

 

4.น้ำมันรำข้าว

น้ำมันรำข้าวถือว่ามีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เพราะเป็นน้ำมันที่สกัดจากเปลือกของเมล็ดข้าวที่เรารับประทานกันเข้าไป และยังมีสารที่เรียกว่า Oryzanol ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างมากว่าเป็นไขมันดี และส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย ปัจจุบันน้ำมันรำข้าวในท้องตลาดได้มีการพัฒนาออกมาเป็นแบบ Light สำหรับผู้ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ ซึ่งคำว่า Light นี้ หมายถึงระดับแคลอรี่ที่น้อยกว่าน้ำมันรำข้าวปกติ สามารถผัดและทอด Deep fried ได้ และสามารถใช้ในเตาอุณหภูมิสูงแทนเนยตามเมนูขนมอบเพื่อสุขภาพ อย่างคุกกี้ หรือบราวนี่ได้ด้วย

 

5.น้ำมันพืช

ถ้าพูดถึงคำว่าน้ำมันพืชในท้องตลาด เรามักจะคุ้นหูคุ้นตากันดีกับน้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม ที่เห็นวางจำหน่ายกันทั่วไป ปัจจุบันนี้ความมั่นใจของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นอีกขั้น ด้วยกฎหมายที่ควบคุมเรื่องไขมันทรานส์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าน้ำมันพืชธรรมดา ๆ ก็ดีต่อสุขภาพได้ไม่แพ้กัน นอกจากนั้น หลากหลายแบรนด์ยังมีการเพิ่มจุดขายด้วยการเพิ่มแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ ลงไป โดยผู้บริโภคสามารถเลือกแบรนด์ที่ชอบได้ เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันเพื่อสุขภาพแบบอื่น ๆ แล้ว น้ำมันพืชจะมีจุดเด่นที่ราคา อีกทั้งยังสามารถย่าง ผัด ทอดได้หลากหลายตามใจอีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.everydayhealth.com   www.mensjournal.com   www.time.com
ภาพประกอบจาก: www.pixabay.com

 


.jpg

หยุดหายใจขณะหลับ เป็นภาวะที่การหายใจในขณะหลับ ถูกหยุดและเริ่มใหม่เป็นช่วง ๆ ตลอดระยะเวลาการนอน ซึ่งมีได้หลายประเภท ที่พบมากที่สุดคือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea: OSA) โดยภาวะนี้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอจะคลายตัวเป็นช่วง ๆ ในระหว่างนอนหลับ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลงหรือถูกปิดกั้น ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีการกรนเสียงดัง หายใจลำบากขณะนอนหลับ และอาการอื่น ๆ อันส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้ประสบปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันและอาจเป็นสาเหตุของโรคที่เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา หลายครั้งที่ผู้ที่มีภาวะดังกล่าวจะไม่รู้ตัว เนื่องจากอยู่ในขณะนอนหลับ ต้องให้ผู้ใกล้ชิดเป็นผู้สังเกต

 

อาการของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

  • ขณะนอนหลับ จะมีอาการ กรนเสียงดัง หายใจออกทางจมูกเสียงดัง อาจตื่นกลางดึกจากการหายใจไม่ออกหรือสำลัก เหงื่อออกขณะนอนหลับ
  • เมื่อตื่นขึ้นมา อาจมีอาการ ปากแห้งหรือเจ็บคอ ปวดศีรษะ ระหว่างวันอาจง่วงมาก สมาธิลดลง อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เช่น ซึมเศร้าหรือหงุดหงิด ความดันโลหิตสูง ความต้องการทางเพศลดลง

 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

ขณะนอนหลับ หากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ รวมถึงเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ทอนซิล และลิ้น คลายตัวมากเกิน จะทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบหรือถูกปิดกั้นเป็นเวลาสั้น ๆ ราว 10 – 20 วินาที โดยสามารถเกิดขึ้นได้ 5 – 30 ครั้งในทุกชั่วโมงตลอดการนอน ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง เกิดการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ สมองจะรับรู้ถึงปัญหาดังกล่าวและจะมีการกระตุ้นให้ร่างกายตื่น เพื่อกลับมาหายใจแบบปกติอีกครั้งในระหว่างการนอน ภาวะดังกล่าวจะทำให้ไม่สามารถเข้าสู่ช่วงหลับลึกในวงจรการนอนหลับได้

สำหรับปัจจัยเสี่ยง เช่น ภาวะน้ำหนักตัวเกิน กายวิภาคที่ทำให้ทางเดินหายใจแคบ โรคบางโรค เช่น เยื่อบุโพรงจมูกบวมโต คัดจมูก เพศชายจะมีโอกาสเกิดมากกว่าเพศหญิง การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน พันธุกรรม อายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ทางเดินหายใจ โรคเบาหวาน ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และผู้ที่รับประทานยาระงับประสาท ยาคลายเครียด หรือยานอนหลับ เป็นต้น

 

เมื่อไหร่ถึงควรพบแพทย์

หากการนอนกรนนั้น รบกวนการนอนหลับของตนเองหรือคนอื่น หรือหลาย ๆ ครั้งที่ต้องตื่นนอน จากการหายใจไม่ออกหรือสำลัก หรือมีอาการง่วงนอนในระหว่างวันมากเกิน จนส่งกระทบต่อชีวิตประจำวัน การนอนกรนนั้นอาจไม่ใช่เรื่องปกติ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องทันที

 

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากอาการของผู้ป่วย ตรวจร่างกายหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่บริเวณที่เกี่ยวข้อง วัดความดันโลหิต รวมถึงการตรวจสุขภาพการนอนหลับ อาจต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลเพื่อศึกษาและวิเคราะห์การนอนหลับโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยติดตั้งเครื่องมือหรืออุปกรณ์ตรวจจับและบันทึกสัญญาณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คลื่นสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ รูปแบบและอัตราการหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือด ระยะของการนอนหลับ การเคลื่อนไหวของดวงตา การเคลื่อนไหวของขาขณะนอนหลับ เป็นต้น หรือในบางกรณีแพทย์อาจให้ผู้ป่วยตรวจสุขภาพการนอนหลับเองที่บ้าน

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับสามารถวัดจากจำนวนครั้งของการหยุดหายใจใน 1 ชั่วโมง หรือเรียกว่าดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่ว (Apnea-Hypopnoea Index: AHI) โดยแบ่งได้ 3 ระดับ ดังนี้

WordPress Tables Plugin

 

การรักษา

แนวทางการรักษาจะปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน และระดับความรุนแรง ดังนี้

  1. การปรับพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ การลดน้ำหนักตัว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายเป็นประจำ เปลี่ยนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง เป็นต้น
  2. การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม/ช่องปาก (Mandibular advancement devices, MAD) การใช้ MAD จะช่วยดึงกรามล่างมาด้านหน้า เพื่อทำให้ช่องทางเดินหายใจด้านหลังกว้างขึ้น การนอนกรนน้อยลง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่รุนแรง
  3. การใช้เครื่องสร้างแรงดันในทางเดินหายใจ (Continuous positive airway pressure, CPAP) หรือซีแพพ เครื่องนี้จะสร้างแรงดันอากาศเข้าไปเปิดทางเดินหายใจตลอดเวลา จัดเป็นวิธีการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด โดยผู้ป่วยจะต้องใส่อุปกรณ์หน้ากาก ครอบจมูกหรือปาก แล้วเครื่องจะทำการปรับแรงดันให้สูง พอที่จะเป่าอากาศให้ไหลผ่านลงไป ป้องกันไม่ให้ทางเดินหายใจตีบแคบลงในขณะนอนหลับอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความรุนแรงปานกลางถึงมาก
  4. การรักษาด้วยการผ่าตัด ใช้ในกรณีที่แพทย์เห็นว่าการรักษาด้วยวิธีขั้นต้นไม่สามารถบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้ และภาวะดังกล่าวมีความรุนแรงกระทบต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก
    • Somnoplasty เป็นวิธีการรักษาโดยการใช้คลื่นความถี่ จี้ความร้อนเข้าไปใต้เนื้อเยื่ออ่อน บริเวณเพดานปาก หรือลิ้นไก่ เพื่อเพิ่มทางเดินหายใจ
    • Uvulopalatopharyngoplasty (UPPP) คือ การผ่าตัดที่ตัดเนื้อเยื่อ ทอนซิล ลิ้นไก่และเพดานอ่อนออกไป เพื่อเปิดทางเดินหายใจส่วนบนให้กว้างมากขึ้น
    • Mandibular/maxillary advancement surgery คือ การผ่าตัดกระดูกขากรรไกร ซึ่งจะทำในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที่มีความผิดปกติของกระดูกใบหน้ามาก
    • Nasal surgery คือ การผ่าตัดในโพรงจมูก ซึ่งจะช่วยในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของอวัยวะดังกล่าว เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด (Deviated nasal septum)
  5. การรักษาโดยใช้ยา เช่น มอนเทลูคาส ลิวโคทรีน หรือยาสเตียรอยด์พ่นจมูก จะช่วยบรรเทาอาการในเด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบไม่รุนแรง

ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถพบได้ นอกเหนือจากความง่วงนอน อ่อนเพลีย ขาดสมาธิในระหว่างวันแล้ว ยังมีความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจวายหรือหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปัญหาเรื่องต้อหิน รวมถึงปัญหาจากการใช้ยาที่ส่งผลต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.mayoclinic.org   www.pobpad.com   www.bangkokpattayahospital.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com


-ได้อย่างไร-.jpg

การอักเสบ (Inflammation)  จัดเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค หรือสิ่งที่จะทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายได้รับบาดเจ็บ ผลของการอักเสบจะทำให้ร่างกายกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปรวมทั้งมีการซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่เสียหาย  อย่างไรก็ตามหากเกิดการอักเสบมากเกินไป หรือเกิดการอักเสบแบบเรื้อรังเป็นเวลานาน จะเกิดการทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการทำงานผิดปกติไป

 

การอักเสบมากเกินหรือเรื้อรัง ถูกเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังที่สำคัญ ๆ เกือบทุกโรค เช่น โรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดสมอง ในความเป็นจริง มีการตอบสนองต่อการอักเสบที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน อาจอธิบายได้ว่า ทำไมคนสูบบุหรี่หรือคนดื่มจัดบางคน เป็นโรคหลอดเลือดแดง ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะหัวใจวาย ในขณะที่บางคนไม่เป็น

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญยังคงศึกษาว่า การอักเสบส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร ในขณะที่ความสำคัญในการควบคุมการอักเสบไม่ให้มาก หรือยาวนานเกินไป เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจำเป็น เรามาดูกันว่า การควบคุมการอักเสบเพื่อการปกป้องดูแลหัวใจ และการทำงานของระบบในร่างกายให้ทำงานอย่างปกตินั้น เริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ได้อย่างไร

 

เลิกสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ส่งผลต่อการอักเสบ โดยจะไปเพิ่มอัตราการสะสมของไขมันตามผนังหลอดเลือดแดง เป็นอีกเหตุผลในการเพิ่มการอักเสบเรื้อรัง  โดยยิ่งบริเวณที่มีคราบไขมันสะสมมากขึ้น บริเวณที่เกิดการอักเสบยิ่งมากขึ้น และแน่นอนว่า เมื่อคราบไขมันที่สะสมมากขึ้นจนหลุดออก อาจนำไปสู่การอุดตันของหลอดเลือดแดง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ดังนั้น ควรศึกษาวิธีเลิกบุหรี่ อย่างน้อยเพื่อสุขภาพของคุณเอง

 

เคลื่อนไหวร่างกายให้มาก ๆ

อย่าเลือกใช้ชีวิตแบบนิ่ง ๆ อยู่กับที่ ในทางตรงข้าม คุณควรเลือกใช้ชีวิตในแบบกระฉับกระเฉง มีการลุก เดิน นั่ง วิ่ง อยู่ตลอดในการใช้ชีวิต มีผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายในระดับปานกลาง (Moderate exercise) ครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ สามารถลดระดับการอักเสบได้มากถึง 12%

 

รับประทานอาหารต้านการอักเสบ

มีการศึกษาที่เชื่อมโยงว่า การทานอาหารสูตรเมดิเตอเรเนียน ไดเอท (Mediterranean diet) ซึ่งเน้นการทานปลา ไขมันดี ผัก ธัญพืช ถั่ว และพืชตระกูลถั่ว ช่วยลดการอักเสบ ในขณะที่อาหารประเภทที่มีน้ำตาลสูง ธัญพืชแปรรูป และไขมันทรานส์ มีแนวโน้มเพิ่มการอักเสบให้มากขึ้น มีข้อสังเกตว่าถ้าในฉลากอาหารมีส่วนผสมอะไรที่เขียนว่า ไฮโดรจีเนเตด(Hydrogenated) แสดงว่า มีไขมันทรานส์อยู่ในผลิตภัณฑ์นั้น คุณควรเลี่ยงทันที

สำหรับเรื่องของแอลกอฮอล์ มีงานวิจัยพบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลาง คือ ผู้หญิงดื่ม วันละ 1 แก้ว หรือ 2 แก้วสำหรับผู้ชาย อาจทำให้ระดับการอักเสบลดลง ขณะที่อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น องุ่น ผลเบอร์รี่ และช็อกโกแลตแบบเข้ม 70% ก็เป็นประโยชน์

 

ใช้เวลาว่างในการผ่อนคลาย

การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยลดความวิตกกังวล และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เครียด เป็นวิธีที่ดีในการลดการอักเสบ สุขภาพทางอารมณ์ที่ดี และการผ่อนคลายที่มากขึ้น มีบทบาทอย่างมากในการลดการอักเสบให้ดีขึ้น แนะนำให้ใช้เวลากับเพื่อน ๆ ที่ทำให้หัวเราะ การหัวเราะสามารถลดความแข็งและการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดได้ และอย่าลืมพักจากการใช้สมาร์ทโฟนซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คุณเครียดได้

 

เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.prevention.com
ภาพประกอบ : www.freepik.com


diet-eating-blood-type.jpg

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือดถือเป็นเทรนด์สุดฮิต ที่มาจากแนวคิดว่าร่างกายของทุกคนล้วนแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น การกินอาหารที่เหมาะสมกับยีนในร่างกายเรา โดยแบ่งเป็นสี่ประเภทใหญ่ ๆ ตามกรุ๊ปเลือดนั้น อาจจะทำให้ร่างกายของเราจะเผาผลาญได้ดีขึ้น  ซึ่งจะทำให้มีผลต่อน้ำหนัก การควบคุมอาหาร และเรื่องของสุขภาพที่ตามมา แต่คุณอาจเกิดคำถามที่ว่า แล้วการรับรอง ? ผลวิจัย ? ความเป็นจริงเบื้องหลังทฤษฎียอดนิยมนี้ล่ะ เป็นอย่างไร ? มาไขข้อข้องใจกันดีกว่า…

 

อะไรคือ กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด ‘Blood Type Diet’ ?

จากแนวคิดของ Peter D’Adamo ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด และนักวิจัยการแพทย์ทางเลือก ซึ่งได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยม จากสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 1990 เขาได้เผยแพร่เทรนด์การกินอาหารที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเลือดทั้งสี่ คือ A, B, O และ AB เป็นหลัก โดยได้ให้คำแนะนำด้านโภชนาการเพื่อพัฒนาสุขภาพที่วิเคราะห์จากแนวโน้ม และผลการวิจัย ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป A มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และโรคเบาหวานมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าแผนอาหารประเภท A คือ กลุ่มอาหารที่สามารถเติมพลังระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น โดยแบ่งเป็นชุดอาหาร ดังนี้

  • สำหรับเลือดกรุ๊ปเอ (A): อาหารมังสวิรัติ คงรูปแบบจากธรรมชาติ สด และไม่ผ่านการแปรรูป อาหารออร์แกนิค
  • สำหรับเลือดกรุ๊ปบี  (B): ควรหลีกเลี่ยงไก่ ข้าวโพด ข้าวสาลี เค้ก ถั่ว มะเขือเทศ ถั่วลิสง และเมล็ดงา และรับประทานผักใบเขียว ไข่ นมไขมันต่ำ และเนื้อสัตว์ จำพวกเนื้อแกะ หรือเนื้อกวาง
  • สำหรับเลือดกรุ๊ปโอ (O): ควรกินเนื้อไม่ติดมัน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ แต่ตัดธัญพืช ถั่ว และนมออกไปจากลิสต์อาหาร
  • สำหรับเลือดกรุ๊ปเอบี (AB): หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์และเนื้อสัตว์ที่ผ่านการรมควัน มุ่งเน้นไปที่อาหารประเภทเต้าหู้ อาหารทะเล นม และผักสีเขียว

 

การกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด ‘Blood Type Diet’ ได้ผลจริงหรือไม่ ?

จากความเห็นของ Kris Sollid, RD, ผู้อำนวยการอาวุโส การสื่อสารด้านโภชนาการจาก The International Food Information Council Foundation ได้กล่าวถึงแนวคิดด้านความรู้สุขภาพของการ “กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด” ว่ามีความน่าสนใจ แต่ร่างกายของมนุษย์ซับซ้อนกว่านั้นมาก การจะแบ่งเพียงแค่ 4 ประเภท แล้วยึดหลักการนั้นสำหรับทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบางครั้งอาจจะมีข้อยกเว้น หรือความจำเป็นเฉพาะตัวของแต่ละคน ซึ่งบางส่วนก็ยังเป็นผลดีเมื่อผู้คนทำตาม อย่างน้อยก็เป็น กลุ่มอาหารที่มีประโยชน์ และเป็นการช่วยให้หลายคนรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีการวางแผนจำกัดการกิน ที่ปราศจากอาหารขยะอาหารแปรรูปและน้ำตาล แต่เมื่อพิจารณาดูงานวิจัยอย่างละเอียด การสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์สำหรับ Blood Type Diet ยังคงไม่พอเพียง และไม่มีสิ่งที่ชี้ชัดให้เห็นว่าการกินที่แตกต่างกันจะสามารถช่วยในการเผาผลาญ ทำให้ผู้ที่ทำตามแนวคิดนี้อย่างเคร่งครัด อาจกลายเป็นผลเสียในด้านความครบถ้วนสมบูรณ์ของสารอาหารที่ร่างกายจะได้รับ

 

ควรรับประทานอาหารอย่างไรให้เหมาะสม ?

ลองวิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลสำหรับทุกคน อย่างการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มีโปรตีนสูง ที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยเผาผลาญได้ดี ทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักผลไม้ จะช่วยป้องกันการเพิ่มของน้ำหนัก และไขมันสะสม รวมถึงการเลือกรับประทานไขมันดีในอาหารจำพวกถั่ว และน้ำมันมะกอก เป็นต้น

ที่สำคัญ…อย่าลืมลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังทำให้รู้สึกหิวง่าย และควรหลีกเลี่ยงน้ำตาล ไม่ว่าจะในรูปแบบอาหาร หรือน้ำ พวกโซเดียม เป็นต้น นอกจากการกินที่ดีแล้ว การออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างถูกสุขลักษณะ ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้คุณสุขภาพดีและน้ำหนักลดได้อีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.prevention.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


.jpg

สูตรไดเอทแบบวีแกน (Vegan diet) หรือ “กินมังแบบวีแกน”  เน้นเรื่องวิถีการใช้ชีวิตโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และไม่เบียดเบียนสัตว์  เรียกได้ว่าเป็นสายกินพืช ผัก ผลไม้ ที่เคร่งครัดกว่าการ “กินมังแบบเวจจี้” (Vegetarian) โดยทั่วไป สำหรับผู้สนใจหาสูตรอาหารที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่ ติดตามได้เลย

 

การ “กินมังแบบวีแกน” ผู้ทานจะได้อาหารที่มีคุณค่าสูง จากการทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวน้อย อุดมไปด้วยสารอาหารที่ดี นอกจากนี้ ผู้ทานยังได้ความอิ่มอกอิ่มใจ เหมือนกับการได้ทำบุญรักษาชีวิตสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ไปในตัวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มทานอาหารแนวนี้ คุณจะต้องมีการวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพและไม่ก่อให้เกิดอันตราย

 

ความแตกต่างของการ “กินมังแบบวีแกน”  และ “กินมังแบบเวจจี้”

การ “กินมังแบบเวจจี้” เป็นการทานมังสวิรัติโดยไม่ทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่ทานไข่และนม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์  ขณะที่ “กินมังแบบวีแกน” นอกจากจะไม่ทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดเหมือนกันแล้ว ยังไม่ทานผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ เช่น ไข่ นม น้ำผึ้ง นมผึ้ง ยีสต์ เจลาติน อื่น ๆ โดยเน้นทานอาหารสด ที่ไม่ผ่านการแปลงสภาพ นอกจากนี้ ยังงดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กระเป๋า  เข็มขัด และรองเท้าจากหนังสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ การ “กินมังแบบวีแกน” ยังมีแนวย่อย ๆ อีกหลายแนว เช่น แนว Whole-food, แนว Raw-food, แนว Low-fat, Raw-food, แนว Low-fat, High-carb, แนว Raw till-4 ซึ่งทุกแนวมีประโยชน์และเรื่องที่ควรระวังคล้าย ๆ กัน

 

ประโยชน์ของการ “กินมังแบบวีแกน”  

จากการที่กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated  fatty acid) ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ เมื่อสะสมอยู่ในร่างกายในระยะเวลาหนึ่ง ส่งผลให้เกิดโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค ทำให้การทานพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช เมล็ดพืช ตามแนวทางกินมัง สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าว รวมถึงโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคไต โรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งยังช่วยลดระดับความดันโลหิต ลดไขมัน LDL ในเลือด รวมถึงช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก เนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานโดยรวมลดลง

 

“กินมังแบบวีแกน” ต้องทานอะไรเสริมบ้าง

เช่นเดียวกับการ “กินมังแบบเวจจี้” การ “กินมังแบบวีแกน” จำเป็นต้องมีการวางแผนในการทานพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะวิตามิน B12 ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามิน D ไขมันดี โอเมก้า 3 และธาตุสังกะสี

  • วิตามิน B 12 ที่อาจหาได้ยากในพืช ผัก ผลไม้ แต่มักพบมากในนมและไข่ จึงทำให้ชาว “กินมังแบบวีแกน” ที่ไม่ทานนมและไข่ อาจขาดวิตามิน B 12 จนกลายเป็นโรคโลหิตจาง และเกิดความผิดปกติทางประสาท
  • ธาตุเหล็ก การขาดธาตุเหล็กทำให้ร่างกายซีดเซียว ขาดออกซิเจน อ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย และเจ็บป่วยบ่อย เมื่อไม่ทานเนื้อสัตว์ จึงควรเลือกทานผัก ผลไม้ ที่มีธาตุเหล็กชดเชย เช่น สาหร่ายทะเล สาหร่ายเกลียวทอง ถั่วฝัก ถั่วเมล็ด ผลไม้อบแห้ง เช่น มะเดื่อ บลอกโคลี เป็นต้น แนะนำให้ทานร่วมกับอาหารที่ให้วิตามิน C สูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว มะเขือเทศ เพื่อช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กให้ดีขึ้น
  • แคลเซียม เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน รวมถึงการกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนในร่างกาย เมื่อไม่ทานนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม จึงควรเลือกทานเต้าหู้ ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง ผักใบเขียว หรือเมล็ดพืชที่มีแคลเซียมสูง ๆ เช่น งาดำ มะเดื่อแห้ง อัลมอนด์ ผักโขม ผักคะน้า เป็นต้น
  • วิตามิน D ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่าง ๆ และยังช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องทานอาหารที่มีวิตามิน D หรือเสริมวิตามิน D พร้อม ๆ กับการออกไปรับวิตามิน D จากแสงแดดด้วย
  • กรดไขมัน Omega-3 ซึ่งเป็นกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ที่จำเป็นต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นต่อสุขภาพหัวใจ สายตา และสมอง จัดเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากการทานอาหาร ทั้งนี้ โอเมก้า 3 แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ กรดไขมัน EPA กรดไขมัน DHA และกรดไขมัน ALA โดยกรดไขมัน EPA ไม่มีในอาหาร “มังแบบวีแกน” และกรดไขมัน ALA เป็นตัวสร้างกรดไขมันชนิดอื่นขึ้นมา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเสริมกรดไขมัน ALA และ DHA โดยทานอาหารจำพวกน้ำมันพืช เมล็ดพืช  ถั่ว วอลนัท ถั่วเหลือง ผักใบเขียว รวมทั้งน้ำมันสกัดจากเมล็ดกัญชง เป็นต้น
  • ธาตุสังกะสี จำเป็นต่อการทำงานของปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระดับเซลล์ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถทดแทนได้ด้วยการทานธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี พืชตระกูลถั่ว และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นต้น

การทานอาหารมังสวิรัติไม่ว่าจะเป็น “กินมังแบบวีแกน” หรือ “กินมังแบบเวจจี้” มีข้อดี หากร่างกายยังได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ร่างกายของทุกคนไม่เหมือนกัน ในรายที่พบความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคเรื้อรัง การปรึกษาแพทย์ก่อนการทานมังสวิรัติเป็นสิ่งจำเป็น

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.medicalnewstoday.com   www.healthline.com   www.pobpad.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก