ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-งานกับชีวิต.jpg

หากคุณอยู่ในสถานการณ์ที่งานทำให้สมดุลในชีวิตลดลง คุณภาพชีวิตโดยรวมลดลง ถึงเวลาแล้วที่คุณควรแก้ไข ไม่ใช่การเปลี่ยนหรือการออกจากงาน แต่เป็นการบริหารจัดการ การเปลี่ยนแปลงบางเรื่องเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น

 

เคล็ดลับที่อาจช่วยให้ชีวิตสมดุลยิ่งขึ้น

  • หากลุ่มเพื่อนที่สามารถสนับสนุนชีวิตของคุณ การปลีกตัวอยู่เพียงลำพัง เป็นแหล่งสะสมความเครียด ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรจะเชื่อมโยงกับคนรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าสภาพแวดล้อมการทำงานของคุณเต็มไปด้วยความเครียดหรือภาวะเป็นพิษ คุณจะต้องหากลุ่มเพื่อนที่สามารถสนับสนุนชีวิตของคุณ เช่น คุณอาจพิจารณาเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน การพบปะเพื่อนฝูงดื่มกาแฟกัน เข้าอบรมคอร์สต่าง ๆ คุณสามารถเข้ากลุ่มคนรักสุขภาพและนันทนาการ
  • เรียนรู้ที่จะพูดว่า “ไม่” บางครั้งความเครียดมาจากการไม่สามารถกำหนดขอบเขตและขีดจำกัดของตัวเองได้ เมื่อได้รับการร้องขอในเรื่องต่างๆ คุณอาจรู้สึกผิดที่จะพูดว่า “ไม่” โดยติดกับคำพูดว่า “ใช่” ซึ่งอาจทำให้คุณติดกับดักได้ ดังนั้น ถึงเวลาที่จะคิดใหม่กับคำว่า “ไม่ได้” เริ่มต้นสัปดาห์นี้เพื่อสร้างความสมดุลในชีวิต หัดพูดว่า “ไม่” กับการถูกขอร้องหรือทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่รู้ว่ามันจะทำให้เกิดความเครียดและความไม่สมดุลในชีวิต
  • มองเข้าไปข้างในตัวเอง คุณไม่สามารถแยกสุขภาพกาย ออกจากสุขภาพใจได้ โดยถ้าสุขภาพใจไม่ดี ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย แม้ว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนหลับให้เพียงพอก็ตาม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องสังเกตใจ อารมณ์ของตนเอง ถ้าพบว่ามันไม่ดีหรือเปลี่ยนแปลงไป มีวิธีแก้ไขได้หลายวิธี เช่น ระบายสี วาดภาพ การออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ เป็นต้น โดยสามารถติดตามได้จากหน้ากิจกรรมและกลุ่มคนรักสุขภาพและนันทนาการ
  • ปรับไลฟ์สไตล์ให้ดูแลตัวเอง คุณควรปรับไลฟ์สไตล์ของคุณให้ส่งเสริมการสร้างสมดุลในชีวิต เมื่อมีแล้วก็ทำจนชิน ให้ติดเป็นนิสัย เช่น ทำอาหารกินเองสัปดาห์ละครั้ง นวดแผนโบราณเดือนละครั้ง  ฟังเพลงสไตล์ที่ชอบ 2 – 3 วันครั้ง  พูดคุยกับเพื่อนๆอย่างน้อยเดือนละครั้ง อ่านหนังสือทุกวัน เป็นต้น
  • จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรม บ่อยครั้งการรีบร้อน ทำให้เกิดความเครียด แนะนำให้จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรม โดยใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ทำกิจกรรมที่สำคัญที่สุด มีเทคนิคในการจัดเวลาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะใช้แบบไหน ล้วนเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น

 

คุณควรมีแนวทางในการใช้ชีวิต ให้ได้ความสมดุลกับความคาดหวังหรือเป้าหมายในชีวิตของคุณ แต่ต้องมั่นใจว่าเป้าหมายนั้น อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แล้วอย่าลืมฝึกทักษะการรับมือกับเรื่องที่ไม่คาดหมายอีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.articles.mercola.com
ภาพประกอบ : www.cdn.pixabay.com


-ให้ชีวิตไม่วิกฤติ-2.jpg

หลายๆคนคงจะเคยได้ยิน การพูดถึงเรื่องของ “วิกฤติวัยกลางคน” แต่ไม่รู้ว่า คำ ๆ นี้หมายถึงอะไร ครอบคลุมขนาดไหน ที่สำคัญใกล้ตัวเรามากน้อยจนส่งผลกระทบได้หรือไม่ หรือแม้แต่ว่าใช่ตัวเราเองไหม มาติดตามเรื่องของวิกฤติวัยกลางคนกัน

 

วิกฤติวัยกลางคน คืออะไร

หุนหันพลันแล่น ทำเรื่องไม่คาดคิด เบื่อชีวิตที่คุ้นเคย ไม่ยอมอยู่เฉย ไม่ทน!! นี่อาจเป็นนิยามหนึ่งของภาวะที่เรียกว่า วิกฤติวัยกลางคน

เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชายจะเริ่มคิดทบทวน ประเมินชีวิตของตัวเองอย่างจริงจัง ทั้งในเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน ความสำเร็จ  ความสุข ไปจนถึงชีวิตครอบครัว และเมื่อไตร่ตรองถึงวันข้างหน้าที่เหลืออยู่อีกไม่นาน บางคนจึงตัดสินใจ ลุกขึ้นมาทำอะไรที่ไม่คาดคิดอย่างฉับพลัน

วิกฤติวัยกลางคนนี้ไม่ใช่โรค ไม่ใช่ความผิดปกติทางการแพทย์ เป็นแค่เพียงปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นได้ในวัยที่ก้าวเปลี่ยนผ่าน จากวัยทำงานสู่วัยกลางคน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่สามารถก้าวผ่านไปโดยใช้ชีวิตอย่างราบรื่น แต่สำหรับบางคน เมื่อถึงวัยนี้ อาจตัดสินใจในบางเรื่องอย่างหุนหันพลันแล่น รุนแรง จนส่งผลวิกฤติกับชีวิต

 

ทำไมวัยกลางคน จึงมักเกิดวิกฤติ

เมื่อชีวิตล่วงเข้าสู่สู่วัยกลางคน เป็นช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้าน สุขภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถอย มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ รูปลักษณ์ เช่น อ้วนลงพุง หัวล้าน ในเรื่องหน้าที่การงาน มาถึงจุดที่ต้องการความสำเร็จ ความมั่นคง ความก้าวหน้าอย่างมาก  ยิ่งใกล้เกษียณ ยิ่งคิดถึงเวลาข้างหน้าที่เหลืออยู่อีกไม่มาก กระตุ้นให้อยากรีบทำบางอย่างที่ไม่เคยทำ และยังถูกซ้ำเติมด้วยความสูญเสียของคนใกล้ชิด เพื่อนฝูง ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว  ที่ค่อย ๆ ทยอยจากไป จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ คือปัจจัยที่สร้างความสั่นคลอนทางใจ ให้ชายวัยกลางคนมากขนาดไหน

 

สัญญาณเตือนว่าชีวิตกำลังเข้าสู่วิกฤติวัยกลางคน

แม้การผ่านเข้าสู่วัยกลางคนจะไม่ใช่วิกฤติสำหรับทุกคน แต่ไม่ควรปล่อยผ่าน เมื่อมีสัญญานต่อไปนี้

  • รู้สึกไม่พอใจในเรื่องต่างๆอย่างรุนแรง ทั้งเรื่องงาน สุขภาพ ชีวิตคู่  ไม่มีความสุขในชีวิต ความคิดสับสน ชอบคิดวกวน
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย  หรือซึมเศร้า 
  • ตัดสินใจทำอะไรหุนหันพลันแล่น เช่น ขอหย่ากับภรรยาเพราะเบื่อหน่ายชีวิตคู่ ตัดสินใจลาออกจากงาน ทิ้งชีวิตแบบเดิมๆเอาดื้อๆ

 

วิกฤติวัยกลางคน นำมาซึ่งเรื่องดีและร้าย

อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้น วิกฤติวัยกลางคนอาจเป็นเรื่องที่ดี สำหรับบางคนที่สามารถหาสาเหตุของความรู้สึกแย่ ๆ และทำการปรับแก้อย่างสอดคล้อง แต่สำหรับบางคนกลับเป็นเรื่องที่ร้าย โดยเปลี่ยนไปทำพฤติกรรมที่ร้ายกว่าแต่ก่อน เช่น มีคู่ขาใหม่ ซื้อรถที่กำลังซื้อของตัวเองมีไม่ถึง

 

ผ่านวัยกลางคนอย่างไร ให้ชีวิตไม่เจอวิกฤติ

วิกฤติวัยกลางคน เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ ขอเพียงมีความรู้ความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติในชีวิตดังนี้

  • มองให้ออกว่า ความรู้สึกแย่ เป็นเพียงแค่ความรู้สึกในชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช่คำสั่ง ไม่มีอิทธิพลในการบังคับตัวเรา จริงอยู่ว่าบางเรื่องอาจจะต้องแก้ที่สาเหตุ แต่ในส่วนของความรู้สึกแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
  • นึกถึงเรื่องดี ๆ ที่ผ่านมาในชีวิต และขอบคุณในสิ่งเหล่านั้น ขณะที่นึกถึงการกระทำที่หากทำแล้ว อาจทำให้สิ่งดี ๆ เหล่านั้น สูญหายไป
  • ลดโอกาสตัดสินใจผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิต ยิ่งต้องพยายามคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ หรือปรึกษาพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ คนที่ไว้ใจ เพื่อให้มองเห็นทางออกอื่นๆ หลายด้านประกอบกัน
  • วิเคราะห์สิ่งที่อยากจะทำว่า มีความเป็นไปได้จริง ๆ หรือไม่ เป็นจริงที่ว่าผู้ชายในวัยนี้ ยังสามารถประสบความสำเร็จในเรื่องใหม่ ๆได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การเล่นกีฬา การเริ่มต้นธุรกิจ เพียงแต่ต้องแน่ใจว่าเป้าหมายใหม่นั้น เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์และคุณเข้าใจเป็นอย่างดี
  • หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือน คนที่เรารัก ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด ให้หลีกเลี่ยงหนทางที่จะนำมาซึ่งความเสียหายกับคนที่คุณรัก

 

และที่สำคัญอีกเช่นกัน การกลับสู่เรื่องพื้นฐานของทุกคน

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกาย สามารถช่วยลดความเครียดความวิตกกังวล ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายลดอาการซึมเศร้า 
  • หาเวลาทำกิจกรรมใหม่ ๆ หาโอกาสลองทำสิ่งใหม่ ๆ ได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ ซึ่งจะลดความเบื่อหน่าย คลายความเครียด

 

การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยกลางคน เป็นภาวะปกติที่ทุกคนต้องเจอ หากเราเข้าใจสภาวะและหาวิธีป้องกันแก้ไข ทุกคนก็จะสามารถผ่านวิกฤติไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.webmd.com
ภาพประกอบ: www.pixabay.com

 


10-เทคนิคคลายเครียดฉบับด่วนจี๋.jpg

แต่ละวันเราต้องเผชิญร้อยแปดพันเรื่องราว ที่สร้างผลกระทบหลากหลายต่ออารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากงานหรือปัญหาต่าง ๆ ก็แก้ไขเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ด้วยเคล็ดลับแสนสะดวกที่คุณอาจจะไม่รู้ รีบอ่านแล้วลองทำตามกันเลย สุขภาพจิตที่ดีอยู่ไม่ไกลแน่นอน

 

คลายเครียดได้ไม่ยาก

  1. นั่งสมาธิ
    การนั่งสมาธิคลายเครียดไม่กี่นาทีต่อวันสามารถช่วยทำให้จิตใจสงบลงได้ เพียงนั่งขัดสมาธิ ทำหลังให้ตรง โฟกัสกับการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เมื่อทำทุกวันเป็นประจำจะช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียดลงไปได้เยอะเลย
  2. หายใจเข้าลึก ๆ
    ระหว่างการทำงานที่ตึงเครียด คุณสามารถหยุดพักคลายเครียดซักหน่อยและโฟกัสที่การหายใจ โดยเริ่มจากการนั่งตัวตรง ปิดตาลง นำมือไปไว้บริเวณหน้าท้อง หายใจเข้าอย่างช้า ๆ จนรู้สึกเต็มตื้นไปทั่วปอด แล้วค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาทางปาก การทำแบบนี้จะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและความเครียดได้ทันตา
  3. ตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน
    ตระหนักรู้และใส่ใจอยู่เสมอไม่ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ อย่าปล่อยให้ความเร่งรีบมาทำลายความเพลิดเพลินของปัจจุบัน คลายเครียดด้วยการค่อย ๆ ทำทุกอย่างอย่างมีสติ จะทำให้เรื่องที่รู้สึกตึง ๆ เบาลงได้เช่นกัน
  4. สร้างความสัมพันธ์
    การพูดคุย พบปะสังสรรค์กับผู้คนที่สนิทใจอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการคลายเครียด ผ่อนคลายอารมณ์ระหว่างช่วงวัน โดยคุณอาจจะเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ แลกเปลี่ยนความคิด ซึ่งคุณอาจจะได้มุมมองใหม่ ๆ หรือพลังในแง่บวกกลับมาก็ได้
  5. สำรวจร่างกาย
    พยายามเฟ้นหาว่าความเครียดส่งผลอย่างไรบ้างต่อร่างกาย โดยการนอนเอนหลังหรือนั่งขัดสมาธิที่พื้น สำรวจความรู้สึกตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงหนังศรีษะ ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 นาทีสำหรับขั้นตอนนี้ จินตนาการว่าลมหายใจกำลังหมุนวนในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยความตั้งใจและสงบ
  6. คลายกล้ามเนื้อ
    นำแผ่นประคบร้อนมาประคบบริเวณคอและไหล่ ประมาณ 10 นาที ปิดตาและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และอาจจะใช้ตัวช่วยอย่างลูกบอกหรือลูกกลิ้งเพื่อนวดไปตามจุดที่แข็งเกร็ง และคุณยังสามารถกดจุดคลายเครียดได้ด้วยการนำบอลมาขั้นระหว่างร่างกายกับผนัง ดันลูกบอลติดผนังประมาณ 15 วินาทีก่อนย้ายไปยังจุดถัดไป
  7. หัวเราะออกมาดัง ๆ
    การหัวเราะออกมาดังๆ นอกจากจะช่วยในคลายเครียด ลดความกดดันแล้ว การทำแบบนี้ยังช่วยให้ฮอร์โมน Cortisol ลดลง เพิ่มสาร Endorphins ที่ทำให้มีความสุข โดยคุณอาจจะดูหนังตลก อ่านเรื่องขำขันเพื่อหัวเราะออกมาดัง ๆ ก็ได้
  8. ฟังเพลง
    การฟังเพลงหรือเสียงที่ผ่อนคลาย สามารถลดความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและแม้แต่ความวิตกกังวลได้ จากการที่จิตใจของคุณจะโฟกัสอยู่กับโน๊ตดนตรี หรือเสียงต่าง ๆ ที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นรีบจัดการลิสท์เพลงโปรด หรือเลือกเสียงจากธรรมชาติอย่างเสียงฝน น้ำตก นกร้อง มาฟังคลายเครียดกันให้ไว
  9. ขยับร่างกาย
    แม้แต่การเดินเล่นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ช่วยคลายเครียดได้ ขยับนิดขยับหน่อยในแต่ละวันจะช่วยลดความเศร้าซึม วิตกกังวล โดยสมองจะปล่อยสารที่เกี่ยวเนื่องกับความสุขออกมา ให้เราได้มีวันที่ดีและปลอดโปร่งง่าย ๆ ทุกวัน
  10. เห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
    การขอบคุณในพร ความอยู่ดีมีสุข ความพึงพอใจในชีวิต สามารถช่วยต้านความคิดทางลบและความกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณอาจจะเริ่มด้วยการบันทึกสิ่งที่ทำให้รู้สึกดี ซาบซึ้ง มีความสุขในแต่ละวันและเก็บไว้อ่านในเวลาที่รู้สึกตึงเครียดก็ดีเช่นกัน

ทั้ง 10 เทคนิคนี้สามารถนำไปรับมือกับความเครียดได้ไม่อยากเลย อีกทั้งยังเหมาะสมต่อการคลายเครียดอย่างด่วนจี๋ในระหว่างวันที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาได้ด้วย ลองนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสถานที่และสถานการณ์ เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลกับความเครียด พลังลบตัวร้ายอีกแล้ว!

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.webmd.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


-1.jpg

ความสัมพันธ์หลาย ๆ ลักษณะ ที่ดูเหมือนว่าจะไปได้ดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่ข้อมูลจาก แอนิต้า เอ. ชลิพาลา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องครอบครัวและการสมรส และผู้เขียนหนังสือเรื่อง First Comes Us The Busy Couple’s Guide To Lasing Love ได้กล่าวถึงลักษณะของความสัมพันธ์  8 ข้อ ที่ดูว่าจะไปได้ดี แต่อาจไม่ใช่

 

การใช้เวลาด้วยกันมาก ๆ

ในตอนแรกของความสัมพันธ์ การใช้เวลาศึกษา เรียนรู้ ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นเวลานาน เป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคุณหยุดพบปะเพื่อน ๆ หรือจะตอบตกลงกับเพื่อนในแต่ละครั้ง ต้องรอเขาหรือเธอติดต่อมาเสียก่อน ในความเป็นจริง คุณจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่สนใจ งานที่ทำเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้ แม้กระทั่งการยอมรับข้อตกลงระยะยาว อย่างเช่นการแต่งงาน

 

การไม่เคยทะเลาะกันเลย

อันที่จริง ทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องที่ดีต่อความสัมพันธ์แม้ว่าคุณจะพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยไม่พูดในบางเรื่อง เพื่อไม่ให้ทะเลาะกัน แต่ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นคือ การไม่พอใจในความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่  เพราะว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ดังนั้น ควรมีการโต้แย้งกันบ้าง และควรรับรู้ถึงการใช้น้ำเสียง ในการแสดงความรู้สึกและแสดงความเห็นของกันและกัน

การที่จะให้คนสองคนคิดอะไรเหมือนกัน ทั้งที่มีความแตกต่างกันทั้งบุคลิกภาพ ภูมิหลัง ความชอบ ฯลฯ ย่อมเป็นไปไม่ได้ บางครั้งทางออกคือ ต้องยอมรับที่จะขัดแย้งกัน และทำความเข้าใจคู่ของคุณโดยไม่ต้องเห็นด้วยกับเขา นั่นเพราะข้อขัดแย้งเป็นสิ่งดี ช่วยให้คู่รักไม่มองข้ามความสำคัญของกันและกัน และทำให้มั่นใจด้วยว่า ทั้งคู่ยังคงบริหารความสัมพันธ์ในแบบที่พวกเขาต้องการได้อย่างดี

 

การคิดว่าแค่ “ขอโทษ” ก็เพียงพอ

หลายคนมักจะยึดหลักเหตุผลว่า การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” หรือ “เสียใจ” ทุกอย่างก็ลงตัว แต่ถ้าคุณและคนรักขัดแย้งกันบ่อย ๆ แล้ว การขอโทษก็ไม่เพียงพอต่อการรักษาความสัมพันธ์ นอกจากคำกล่าวขอโทษแล้ว  คุณจำเป็นต้องลงมือทำเพื่อให้คู่ของคุณเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นจริงๆ

 

การมีเซ็กส์มาก ๆ

การมีเซ็กส์มาก ๆ อาจดีหากว่าทั้งคู่ยังไม่มีปัญหาอะไรซ่อนอยู่ แต่ถ้าวันใดที่เซ็กส์เป็นช่องทางเดียวในการสื่อสารในเรื่องความสัมพันธ์ขึ้นมา นั่นแหละคือปัญหา ดังนั้นเซ็กส์เป็นสิ่งดี ตราบที่ทั้งคู่ได้ตกลงปลงใจร่วมกัน และการสื่อสารความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น ๆ ยังมีอยู่

 

การบอกกล่าวเรื่องที่ตนเองสนใจทุกเรื่อง

มีงานวิจัยที่บ่งชัดว่า ความสนใจในเรื่องที่เหมือน ๆ กันของคู่รัก ส่งผลไม่มากต่อความสัมพันธ์แบบที่น่าพอใจ ในทางกลับกัน ความสนใจในเรื่องต่างกันกลับช่วยเติมรสชาติและทำให้แรงปรารถนาที่จะสานความสัมพันธ์ยังคงอยู่  ดังนั้น แม้ว่าหลายๆคู่ที่ชอบอะไรคล้ายกัน แต่การสนใจในเรื่องที่ต่างกันบ้าง ก็เป็นเรื่องดีต่อคนทั้งคู่ เพราะมันจะเป็นการเสริมเพิ่มเติมสิ่งใหม่ ๆ ให้แก่คู่รักและคงไว้ซึ่งปริศนาที่คุณได้พบกันในครั้งแรก

การบอกทุกเรื่องกับคู่ของคุณ

ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมีสำนึกของความรับผิดชอบ คุณอาจจะอยากบอกทุกเรื่องกับคู่ของคุณ แต่บางเรื่องอาจส่งผลลบกับคู่ของคุณเป็นอย่างมากได้ ในทางตรงข้าม บางเรื่องการบอกให้คู่ของคุณรับรู้ เป็นการสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นร่วมกัน ดังนั้นก่อนบอกหรือแชร์ประสบการณ์ในเรื่องต่างๆกับคู่ของคุณ ควรพิจารณาถึงผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นด้วยความรับผิดชอบ

การคิดไปเองเรื่องรักเดียวใจเดียว

แม้มันไม่ง่ายนักสำหรับคู่รัก ที่จะคุยกันในเรื่องของ “รักเดียวใจเดียว” กับ “การนอกใจ” แต่จากข้อมูลปัจจุบันที่พบว่าการนอกใจ เกิดขึ้นมากในสังคม และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่แต่ละคู่ต้องพูดคุย เพื่อกำหนดนิยามของเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน ก่อนที่ปัญหาจากการนิยามไม่ตรงกันจะตามมา

การรับไม่ได้กับเรื่องหึงหวง

การที่คู่ของคุณเป็นที่ต้องการของคนอื่น อาจจะทำให้คุณรู้สึกหึงหวงได้ แต่ถ้าคุณจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง มันอาจเป็นสิ่งที่ดี เพราะอย่างน้อยการแสดงออกอย่างหมาะสมเพื่อให้คู่ของคุณรู้ จะทำให้เขาหรือเธอรู้สึกมีคุณค่า มีความสำคัญ แต่ต้องมั่นใจว่าการแสดงออกนั้น ไม่ใช่การรุกราน

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.yahoo.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com

 


9-วิธีปรับปรุงชีวิตคู่.....ให้ดีขึ้น-2.jpg

ชีวิตคู่ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป วันนี้มาดูข้อแนะนำ จากนักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาการใช้ชีวิตสมรสกัน ว่าเขาแนะนำให้ทำอะไรมากที่สุด อ่านแล้วรีบปรับใช้ได้ทันที ทั้งกับผู้ที่สมรสแล้วหรือยังโสดอยู่

 

1. เปิดใจรับฟังคู่ของคุณ

คู่สมรสส่วนใหญ่ไม่มีวิธีการจัดการกับข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ความสัมพันธ์ในเวลาต่อมาดียิ่ง ๆ ขึ้น  ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูก และยึดติดกับจุดยืนของตัวเอง หลายๆครั้งปัญหาอยู่ที่เพียงการต้องการให้อีกฝ่ายรับฟังความเห็นของตนบ้างเท่านั้น นักจิตวิทยาจึงแนะนำว่า ให้ทั้งสองฝ่ายรับฟังซึ่งกันและกัน พร้อมตอบสนองด้วยอากัปกริยาที่เหมาะสม

 

2. เพิ่มช่วงเวลาคุณภาพที่มีให้กันมากขึ้น

บางคู่ที่ทั้งสามีและภรรยา ต่างต้องแบ่งเวลาเพื่อการทำงาน เพื่อพ่อแม่ เพื่อเพื่อนฝูง ทำให้เหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยลง อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นในการหาเวลาว่าง อยู่ด้วยกันมากขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่แค่การนั่งดูทีวี หรือนั่งบนโซฟา แล้วต่างคนต่างทำกิจกรรมของตนเอง สิ่งที่ควรทำคือ การเพิ่มช่วงเวลาที่มีคุณภาพสร้างบรรยากาศโรแมนติก คุยกันกระหนุงกระหนิง มีงานอดิเรกสนุกๆทำด้วยกัน ร้อยทั้งร้อย “รักกันมากขึ้น”

 

3. อย่าเอาอารมณ์มาอยู่เหนือทุกสิ่ง

ความสัมพันธ์ของคู่รักมักดีขึ้น เมื่อสื่อสารพูดคุยเข้าใจกัน แต่ต้องแน่ใจว่าเลือกใช้คำพูดที่เป็นภาษาเดียวกัน ที่สำคัญอย่าพูดอะไรออกไปด้วยอารมณ์ เพราะนั่นจะทำให้ยิ่งแย่ ปรับใช้คำพูดที่ให้ความรู้สึกดี เช่น เลือกพูด “ผมรู้สึกว่า…” แทนคำว่า “คุณก็เป็นแบบนี้เสมอๆ” ซึ่งเหมือนคุณตัดสินไปแล้ว แต่ถ้าถูกคู่รักตำหนิ ก็พยายามฟังให้จบก่อน แม้ว่าคุณอยากจะโต้เถียงในทันทีก็ตาม และเมื่อได้โอกาสพูดแล้ว “อย่าใช้อารมณ์”

 

4. แสดงความชื่นชมคู่ของคุณ

การเป็นคู่รักกันมานาน บางทีก็ทำให้ลืมเรื่องเล็กๆน้อยๆไป เช่น การพูดคำว่า “ขอบคุณ” หรือแสดงความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่คู่รักทำให้ เช่น “ขอบคุณครับที่เตรียมอาหารเช้าให้ ผมรู้นะว่าคุณยุ่งๆและต้องรีบไปทำงาน แต่คุณก็ทำให้ผม” คิดดูซิว่า ใครได้ยินประโยคนี้ ก็ต้องละลายและยิ้มแก้มปริทีเดียว ดังนั้น อย่าปล่อยให้การชื่นชมและพูดคำว่า “ขอบคุณ” ห่างหายไปจากกันและกัน

 

5. เปลี่ยนจากเรื่องน่าเบื่อ เป็นเรื่องน่าเรียนรู้

การจดจำแต่ว่าพฤติกรรมอะไรที่คู่ของคุณทำแล้ว ทำให้คุณแทบจะบ้าคลั่ง ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ เป็นการ เรียนรู้พฤติกรรมนั้น จะดีกว่ามั้ย แค่คิดที่จะเรียนรู้ ก็พาคุณออกนอกกรอบ การเรียนรู้นิสัยและพฤติกรรมของคนที่เรารัก และเข้าใจถึงนิสัยและพฤติกรรมนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายนะ เพราะเมื่อเข้าใจ คุณก็อาจจะยิ้มได้กับพฤติกรรมแปลกๆของคนรัก อีกทั้งยังเป็นการไม่ทำให้คนรักรู้สึกแย่ ที่พฤติกรรมของเขาถูกรังเกียจ

 

6. หันหน้าออกจากสมาร์ทโฟน

การใช้เวลาอยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟน บางทีมันทำให้เพลินกับโลกโซเชียลจนลืมตัวไปว่า ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว หรือบางกรณี กว่าที่คู่รักจะหาเวลาว่างมาดินเนอร์กัน แต่เมื่อได้ดินเนอร์ กลับก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์โฟน นี่คืออีกหนึ่งต้นเหตุของปัญหาชีวิตคู่ นักจิตบำบัดหลายท่านบอกว่า จริงๆมันง่ายมากเลยนะที่จะหันหน้าออกจากสมาร์ทโฟน แล้วหันหน้าไปหาคนรัก เพราะต้องยอมรับความจริงข้อนึงว่า ทุกคนต้องการการเอาใจใส่และการได้รับความสนใจ

 

7. ค้นหาความมหัศจรรย์เกี่ยวกับเซ็กส์

โลกมีอะไรให้ค้นหามากมาย คนก็มีอะไรให้ค้นหาเช่นกัน การเป็นคู่รักกันมานาน ไม่ได้หมายความว่า จะค้นเจอความมหัศจรรย์ของคนรัก โดยเฉพาะในเรื่องเซ็กส์ ดังนั้น อย่าปล่อยให้ชีวิตคู่จืดชืด พูดคุยกันบ่อยขึ้น ค้นหาความมหัศจรรย์ของเรื่องเซ็กส์ให้เจอ อย่างน้อยทำให้คู่ของคุณเห็นว่า คุณยังให้ความสำคัญและต้องการจะทำมันให้ดีขึ้น

 

8. แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ร่วมกัน

การใช้ชีวิตทุกวัน ย่อมเจอเรื่องราวที่นำมาแบ่งปัน เล่าสู่กันฟังได้ นักจิตวิทยาบอกว่า มันเป็นความท้าทายและน่าซาบซึ้ง ที่คนสองคนจะแชร์เรื่องราว แบ่งปันเรื่องราว เล่าสู่กันฟัง เพราะนั่นคือการเปิดใจ ส่งผลดีให้คู่รักสนิทกันมากขึ้น หัวเราะด้วยกันมากขึ้น มีโมเม้นท์ดีๆน่ารักๆให้จดจำ

 

9. กำหนดขอบเขตและความคาดหวัง

ปัญหาของความสัมพันธ์ หลายๆครั้งมาจากขอบเขตและความคาดหวังของทั้งคู่ที่ต่างกัน ลองนึกดูว่าถ้าอีกฝ่ายอยากแต่งงาน แต่อีกฝ่ายต้องการแค่ความเป็นเพื่อน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ ปัญหาในอนาคตอาจเกิดขึ้น ลองหาเวลาพูดคุยแบบสบายๆ สำรวจให้เข้าใจถึงขอบเขต และความคาดหวังของทั้ง 2 ฝ่าย แน่นอนว่าทุกคนไม่อยากผิดหวัง ทุกคู่กลัวการหย่าร้าง ทุกคู่อยากให้ความสัมพันธ์ราบรื่น ดังนั้นการคุยกัน ตกลงกัน มีข้อกำหนด มีขอบเขต ซึ่งทั้งคู่ยอมรับได้ นั่นก็จะช่วยลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

 

คุณโชคดีแค่ไหน ที่มีคนรัก ให้หวานใส่กัน แบ่งปันเรื่องราวกัน เป็นห่วงกัน สร้างอนาคตร่วมกัน ขณะที่คนอื่นไม่มีแบบคุณ ดังนั้น แม้ชีวิตคู่จะเจออุปสรรค เจอปัญหา เจอความขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง แต่ให้คิดว่านั่นคือ โอกาสที่จะได้ศึกษากัน เพื่อปรับจูนกันใหม่ ไม่มีใครหรอกที่อยากเลิกรา หย่าร้าง 9 วิธีข้างต้น ช่วยคุณได้

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.womansday.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com


-ที่ทำลายความสัมพันธ์-.jpg

หลาย ๆ คนอาจแปลกใจว่า ทำไมความสัมพันธ์กับคู่ของคุณ ถึงได้แย่ลง ทั้งๆที่บางคู่อาจไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน บทความนี้เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษากายและความสามารถพิเศษ รวมถึงนักบำบัดด้านจิตวิทยาร่วมกันแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว

 

เมื่อพูดถึงนิสัยที่ไม่ดี ทุกคนคงยอมรับว่ามีกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และถ้าถามว่าเมื่อมีแล้วจะทำยังไง ถึงตอนนี้หลายๆคนคงจะตอบว่า ถ้าแก้ไขแล้วดีขึ้นได้ก็จะทำ แต่ทำอย่างไรกับบางเรื่องที่คุณไม่รู้ และบางครั้งถึงรู้ ก็อาจคิดว่า ไม่สำคัญ ในชีวิตประจำวัน เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์แบบซึมลึกได้ เรามาดูความเห็นจากนักวิชาการกันเลย

 

1. เข้าและออกจากบ้าน โดยไม่ทักทายคู่ของคุณ

ความประทับใจครั้งแรก เป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าความสัมพันธ์นั้นจะมีมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่หลายๆคู่กลับพบว่าถ้าละเลยไปแล้ว มันอาจสร้างปัญหาในเวลาต่อมาได้ เช่น ไม่ได้ทักทาย พูดคุย สัมผัส หรืออื่น ๆ กับคู่ของคุณ ตอนออกจากบ้านหรือกลับเข้าบ้าน ถ้าตารางเวลาของคุณไม่ตรงกัน หรือคุณพบว่าตัวเองต้องรีบไป แนะนำให้หาทางทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่จะแสดงให้คู่ของคุณรู้ว่า คุณกำลังคิดถึงเขาอยู่บ้าง

 

2. นำเหตุผลเรื่องงาน มาปนกับเรื่องคู่หรือครอบครัว

ในยุคดิจิตอลนี้ มันเป็นการยากที่จะแยกระหว่างเรื่องงานกับชีวิตในบ้าน เวลามีข้อขัดแย้งขึ้นคุณอาจจะกลายเป็นผู้เติมเชื้อเพลิงให้สถานการณ์ มันแย่ลง มีข้อแนะนำว่า ในกรณีที่เกิดปัญหาที่บ้าน คุณควรพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้เหมือนกับเป็นงานของคุณอีกงานหนึ่ง โดยคู่ของคุณคือเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นคุณจำเป็นต้องสร้างกลยุทธ์สำหรับการทำงานร่วมกับคู่ของคุณด้วยเพื่อให้ความสัมพันธ์ทุกอย่างดีขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

 

3. ไม่ตั้งใจฟังคู่ของคุณ อย่างแท้จริง

วันว่าง ๆ ลองนับคำตอบในการสนทนากับคู่ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องละคร หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจำนวนครั้งที่คุณตอบ “อืม” “อือ” หรืออะไรก็แล้วแต่ประมาณนี้ คำลักษณะนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณไม่ได้ฟังมันจริง ๆ  คู่ของคุณอาจมองว่าคุณกำลังฟังอยู่ แต่ในความเป็นจริง มันบอกได้เลยว่าคุณไม่ได้สนใจกับเรื่องที่เล่าอยู่เลย บางครั้งมันอาจส่งผลเสียในเวลาต่อมา

 

4. อึดอัดที่จะพูดถึงเรื่องเงิน

ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากน้อยแค่ไหน มันสำคัญที่ว่าคุณควรต้องพูดคุยกับคู่ของคุณอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ตรงไป ตรงมา ไม่ว่าคุณจะมีบัญชีร่วมกับคู่ของคุณหรือไม่ “การวางแผนทางการเงิน” เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการแต่งงานที่มีความสุข แต่ต้องแน่ใจว่าการพูดคุยในเรื่องดังกล่าวเป็นการพูดคุยในรูปแบบหลักการบริหารไม่ใช่พูดเป็นในประเด็นการใช้เงินส่วนตัวของแต่ละคน

 

5. ออกเสียงในลำคอหรือกระแอมบ่อย

เราทุกคนมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่สะดวก ที่พูดกันบ่อย ๆมากคือ กระแอมในลำคอ หลายๆคนกระแอมในลำคอเหมือนเป็นคำตอบให้กับสิ่งที่พวกเขากำลังพูดหรือได้ยินในเรื่องไม่ดี ไม่ถูกใจ “สิ่งนี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าคุณใช้พฤติกรรมที่แสดงออกเวลาเครียด มาเป็นพฤติกรรมปกติในการสื่อสารกับคู่ของคุณ”

 

6. ไม่สนใจในความต้องการของกันและกัน

ลองปรับมาคิดแบบนี้ในทุกๆเรื่อง “ถ้าคุณเข้าไปหาน้ำดื่มสักแก้วในครัว คุณควรถามคู่ของคุณว่าต้องการน้ำด้วยหรือไม่” ในความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งคู่ควรพยายามเติมเต็มความต้องการของกันและกัน อย่าลืมว่า ถ้าคุณกระหายน้ำก็มีโอกาสที่คู่ของคุณกระหายน้ำด้วยเช่นกัน

 

7. เครียดแล้วชวนทะเลาะ

คุณไม่สามารถนำความเครียดของคุณ ไปจุดชนวนทำให้ทะเลาะกันกับคู่ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่หลับ เจ้านายดุ หมุนเงินไม่ทัน พ่อป่วย แม่เจ็บ หรืออื่นๆ ความจริงคือไม่มีเหตุผลใดที่คุณจะนำแรงกดดันในเรื่องเหล่านี้ ไปเป็นชนวนให้เกิดการทะเลาะกับคู่ของคุณ ในทางกลับกัน คุณมีสิทธิที่จะสื่อสารให้เขาหรือเธอได้รับรู้ คิด พิจารณาร่วมกัน  และมีปฏิสัมพันธ์อย่างเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น

 

8. ต่างคนต่างอยู่

แม้ว่าความเป็นอิสระในการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ แต่การใช้ชีวิตคู่ จำเป็นที่จะต้องมีการแบ่งปันกัน การแบ่งปันเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี สมมติว่าคุณกำลังดูทีวีกับคู่ของคุณ คำถามคือ “คุณจะเก็บผ้าห่มไว้ห่มตัวเอง คุณจะให้เขาหรือเธอห่ม คุณจะใช้การแบ่งกันห่ม” อาจฟังดูง่าย แต่การกระทำเล็ก ๆ นี้บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของคุณปกติ หรือคุณอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล: www.yahoo.com
ภาพประกอบ: www.freepik.com


-1.jpg

ม่ว่าจะกับใคร ไม่ว่าจะเมื่อไร ไม่ว่าจะที่ไหน ต้องมีคนพูดให้ฟังเสมอเกี่ยวกับการทำงานหนัก ความเครียดและปัญหาต่าง ๆ ของการทำงาน วันก่อนผมมีโอกาสอ่านบทความเกี่ยวกับการรับมือกับงานหนักเรื่องหนึ่ง ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลาย ๆ คนที่กำลังคิดว่าตนเองหรือ คนใกล้ตัวกำลังทำงานหนักอยู่ จึงขอนำมาเล่าให้ฟัง

 

สิ่งแรกที่เขาแนะนำคือการวางแผนและจัดลำดับความสำคัญของงาน แน่นอนว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่ตลอดเวลา และทำให้เป็นนิสัยด้วย ไม่ใช่พอเริ่มรู้สึกว่างานหนัก มีแรงกดดันจากคนรอบข้างมากขึ้น แล้วจึงค่อยลงมือทำ

การวางแผนและจัดลำดับความสำคัญนั้น เริ่มต้นจากการวินิจฉัยว่า งานที่ทำเป็นงานที่สามารถทำได้คนเดียว หรือต้องทำร่วมกันเป็นทีม ถ้าเป็นงานที่ทำได้คนเดียว การวางแผนและจัดลำดับความสำคัญอาจสับสนวุ่นวายน้อยกว่ากรณีที่ต้องทำกันเป็นทีม

หากงานที่ได้รับต้องทำกันเป็นทีม สิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นหัวหน้าทีมด้วยแล้ว โปรดอย่าคิดเอาเองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทุกคนในทีมคงเข้าใจงานที่ต้องทำตรงกัน เพราะประสบการณ์และสถิติยืนยันว่ามัน ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ควรมีการประชุมทีมเสมอ ๆ ทั้งการประชุมรวมกันทั้งทีม และการแยกประชุมกับสมาชิกในทีมแต่ละคน อย่างน้อยให้ได้สักสัปดาห์ละครั้ง ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบความคืบหน้า รับทราบปัญหา หาทางแก้ไขและป้องกัน รวมทั้งเตรียมตัวรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า

และหากงานของทีมกำลังอยู่ ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มด้วยแล้วละก็ การประชุมและพูดคุยกันยิ่งต้องถี่มากขึ้น บางทีอาจต้องประชุมกันวันละครั้งในตอนเช้าก็เป็นไปได้…เชื่อผม ผมไม่เคยเห็นองค์กรไหนหรือทีมงานใด มีการสื่อสารมากเกินไปเลย ส่วนใหญ่มีปัญหาสื่อสารกันน้อยเกินไป ทั้งนั้น

ดังนั้น หากคุณกำลังเริ่มกังวลว่า การพูดคุยกันบ่อย ๆ จะทำให้สื่อสารกันมากเกินไปหรือไม่…อันนี้ไม่ต้องกังวล ผมให้ความมั่นใจกับคุณได้ว่ามากไปย่อมดีกว่าน้อยไปแน่นอน

ที่ผ่านมาบางคนมองว่าการทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันเป็นสิ่งที่ดี ผมไม่เถียงถ้า หากสามารถทำให้ผลงานออกมาดีได้ โดยไม่หลุดเลยด้วย แต่ผลการวิจัยเกี่ยวกับการทำงานของสมองคนเรา พบว่าการทำอะไรหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ทำให้มีข้อมูลจำนวนมากวิ่งเข้ามาในสมอง ซึ่งสมองของคนเราไม่สามารถรองรับข้อมูลได้ทั้งหมด ผลที่ตามมาคือการเลือกรับข้อมูลบางส่วน และไม่รับข้อมูลส่วนที่เหลือ ปัญหาก็คืองานหลุด หรือขาดรายละเอียดที่ควรมี เป็นต้น

ผมไม่ได้ห้ามคุณทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน เพียงแค่ต้องการชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เท่านั้น อย่างไรก็ดี เป็นที่เข้าใจได้ว่าการต้องทำงานหนักและทำหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน อาจไม่ใช่สิ่งที่เราเลือก แต่เกิดจากการถูกสั่ง หรือเหตุการณ์บังคับให้ต้องทำ และหากโชคร้าย เผอิญคุณตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จริง ๆ ผมมีข้อแนะนำสัก 4-5 ข้อดังนี้

 

คนเราอาจรู้สึกดีขึ้น

ถ้าได้รู้ว่า เรา ไม่ได้เป็นคนคนเดียวที่ต้องทำงานหนักและมีความเครียด ลองมองไปรอบ ๆ ตัว แล้วจะพบว่า หลาย ๆ คนที่คุณเห็นก็กำลัง ลงเรือลำเดียวกันกับคุณอยู่

 

กระจายออกหรือกำจัดไป

หลังจากที่ได้จัดลำดับความสำคัญของงานแล้ว อาจพบว่ามีงานบางอย่างที่สามารถส่งต่อให้คนอื่นทำได้ และอาจจะมีงานบางอย่างที่สามารถกำจัดทิ้งไปได้เลย สิ่งสำคัญคือคุณต้องทำให้คนอื่นเห็นว่างานที่กระจายหรือกำจัดไปนั้น เป็นงานที่ ไม่จำเป็นต้องทำ หรือเป็นงานที่ไม่สามารถทำได้ หรือเป็นงานที่ทำได้ แต่อาจจะไม่ดีเท่าให้คนอื่นทำ หรือหากคุณใช้เวลาในการทำงานชิ้นนั้นไปทำงานอย่างอื่น จะได้ผลลัพธ์ในภาพรวมที่ดีกว่า เป็นต้น

 

ตัวคุณเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด

เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ที่จะสามารถทำงานได้ตลอดเวลา ดังนั้น จึงควรเรียนรู้ที่จะดูแลตนเอง เรียนรู้จังหวะของชีวิต หาเวลาสักนิดในการออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะการออกกำลังกาย และอาหารที่ดีจะทำให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรง และเพิ่มพลังในการทำงานให้กับตัวคุณเองได้

 

มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เสมอ

แม้ในตอนนี้อาจจะยังไม่เห็น หรือยังไม่เชื่อ แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากคุณเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้ ทัศนคติเกี่ยวกับงานของคุณจะดีขึ้น

 

จงมองว่างานที่ทำอยู่กำลังสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับตัวเอง

แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายใต้ เงื่อนไขและข้อจำกัดมากมายได้อย่าง ไม่ยากเย็นนัก

 

ผมจึงหวังว่าเทคนิคหรือวิธีคิดในการรับมือกับงานมากและหนักนี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น…หรือผมกำลังเข้าใจผิด คุณไม่ได้มีงานเยอะขนาดนั้น !

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา.(2014).เทคนิคการรับมือกับงานหนัก.21 ธันวาคม 2557.
แหล่งที่มา: https://slingshot.co.th/resources/library/เทคนิคการรับมือกับงานหนัก/1031>
ภาพประกอบจาก: www.54040733lmc.blogspot.com


.jpg

การหย่าร้างนั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีของการสิ้นสุดการสมรส และถือเป็นหนทางสุดท้ายของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ซึ่งเมื่อคู่สมรสไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขอีกต่อไป ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะทนอยู่ แต่ก่อนที่จะด่วนตัดสินใจอะไรลงไปนั้น

 

การจดทะเบียนหย่า

การจดทะเบียนหย่า นั้นมีวิธีปฏิบัติได้ 2 วิธี ดังนี้

  • การหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย กระทำได้ 2 กรณี คือ การจดทะเบียนหย่าในสำนักทะเบียน และการจดทะเบียนหย่าต่างสำนักทะเบียน
  • การหย่าโดยคำพิพากษาของศาลสำหรับเอกสาร ที่ใช้ในการติดต่อขอจดทะเบียนหย่าทั้งในสำนักทะเบียนและต่างสำนักทะเบียน ก็ใช้เพียงแค่บัตรประจำตัวประชาชน ใบสำคัญการสมรส และหนังสือหย่า หรือหนังสือสัญญาหย่า

 

ขั้นตอนในการติดต่อเพื่อขอจดทะเบียนหย่าโดยความยินยอม

แบ่งเป็น 2 กรณี คือ

  • กรณีจดทะเบียนหย่าในสำนักทะเบียน คู่หย่าต้องตกลงเรื่องทรัพย์สิน การปกครองบุตร  หรือเรื่องอื่นๆ (ถ้ามี) โดยทำเป็นหนังสือหย่าและยื่นคำร้องพร้อมหนังสือหย่าต่อนายทะเบียน
  • กรณีจดทะเบียนหย่าต่างสำนักทะเบียนคู่หย่าต้องตกลงเรื่องทรัพย์สิน การปกครองบุตร หรือเรื่องอื่นๆ (ถ้ามี) โดยทำเป็นหนังสือหย่า พร้อมทั้งตกลงกันก่อนว่า ฝ่ายใดจะเป็นผู้ยื่นคำร้องก่อนหลัง และแต่ละฝ่ายจะยื่นคำร้อง ณ สำนักทะเบียนใด เสร็จแล้วก็ไปยื่นคำร้องพร้อมหนังสือหย่าต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียนตามที่ได้ตกลงกันไว้ ส่วนขั้นตอนในการติดต่อขอจดทะเบียนหย่า กรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาลนั้น หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วคู่หย่าไม่ต้องเดินทางไปจดทะเบียนหย่าอีก แต่หากศาลมีคำสั่งให้คู่สมรสหย่าขาดจากกันโดยมีเงื่อนไขให้ไปจดทะเบียนการหย่าตามกำหนดวันเวลาที่ศาลสั่งแล้ว กรณีนี้คู่หย่าจะต้องไปจดทะเบียนหย่าต่อนายทะเบียนการสมรสจึงจะสิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม ขอฝากไว้ว่า แต่ละคนต่างมีเหตุผลของตนเอง ซึ่งการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น ไม่สามารถใช้เหตุผลแต่เพียงอย่างเดียวได้ ควรจะใช้ความรักและความเข้าใจควบคู่กันไปด้วย แต่ถ้าหากใช้ความพยายามในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างถึงที่สุดแล้ว ก็ขอให้การหย่าร้างเป็นหนทางสุดท้ายในการตัดสินใจจบความสัมพันธ์ และนี่เป็นอีกหนึ่งสาระเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการทะเบียน ซึ่งพี่น้องประชาชนทุกท่านสามารถนำไปใช้ในการติดต่อราชการได้ และในโอกาสหน้าจะได้นำเสนอความรู้ในด้านอื่นๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป

 

ผลของการหย่า

ผลของการหย่าโดยความยินยอม การหย่าโดยความยินยอมนั้น ถ้าการสมรสเป็นการสมรสที่ไม่ต้องจดทะเบียน (การสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย) การหย่าโดยความยินยอมก็มีผลทันทีที่ทำเป็นหนังสือถูกต้อง และลงลายมือ ชื่อทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมทั้งมีพยานรับรอง 2 คน แต่ถ้าการสมรสนั้นเป็นการสมรสที่ต้องจดทะเบียน (ตามบรรพ 5) การหย่าโดยความยินยอมนั้นนอกจากจะต้องทำเป็นหนังสือแล้ว ยังต้องไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภออีกด้วย การหย่าจึงจะมีผลตามกฎหมาย

1.1 ผลของการหย่าต่อบุตร คือ

ใครจะเป็นผู้ปกครองบุตร ตามกฎหมาย ให้ตกลงกันเองได้ ถ้าตกลงกันไม่ได้ หรือไม่ได้ตกลง ก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ใครจะเป็นคนจ่ายก็เช่นกันคือให้ตกลงกันเองว่า ใครจะเป็นผู้จ่ายถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด

1.2 ผลเกี่ยวกับสามีภริยา 

ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาสิ้นสุดลงทันที และไม่มีหน้าที่ใด ๆ ต่อกันเลย

1.3 ผลเกี่ยวกับทรัพย์สิน 

ให้แบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างสามีภริยาคนละครึ่ง โดยเอาจำนวนทรัพย์ที่มีอยู่ในเวลาจดทะเบียนหย่าเป็นเกณฑ์

 

ผลของการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล

การหย่าโดยคำพิพากษาของศาลนั้นมีผลตั้งแต่เวลาที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จะยังไม่จดทะเบียนหย่าก็ตาม ดังนั้น ความเป็นสามีภริยาจึงขาดลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป

2.1 ผลเกี่ยวกับบุตร

  • ใครเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ปกติแล้วฝ่ายชนะคดีจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง แต่ศาลอาจกำหนดเป็นอย่างอื่นก็ได้
  • เรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู ศาลเป็นผู้กำหนด

2.2 ผลเกี่ยวกับคู่สมรส 

แม้กฎหมายจะถือว่า การสมรสสิ้นสุดลงนับแต่ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดก็ตาม แต่ในระหว่างคู่สมรสก็เกิดผลทางกฎหมายบางประการคือ

มีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้

  • ค่าทดแทนจากสามีที่อุปการะหญิงอื่นหรือจากภริยาที่มีชู้และ จากชายชู้หรือหรือหญิงอื่นแล้วแต่กรณี
  • ค่าทดแทนเพราะเหตุหย่าตามข้อ 3.2 (3), (4), (8) โดยเป็นเพราะความผิดของอีกฝ่ายหนึ่ง

มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ ต้องเข้าหลักเกณฑ์คือ

  • เหตุแห่งการหย่านั้นเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงอย่างเดียว
  • การหย่านั้นทำให้อีกฝ่ายยากจนลง เพราะไม่มีรายได้จากทรัพย์สิน หรือการงานที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส แต่อย่างไรก็ตาม สิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพนี้กฎหมาย กำหนดว่า จะต้องฟ้องหรือฟ้องแย้งมาในคดีที่ฟ้องหย่าด้วย มิฉะนั้นก็หมดสิทธิ

เอกสารประกอบการจดทะเบียนหย่า

  1. บัตรประจำตัวประชาชนฝ่ายชาย/ฝ่ายหญิงที่ยังไม่หมดอายุ
  2. ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านของคู่หย่า ใบสำคัญการสมรสทั้ง 2 ฉบับ เอกสารการเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี)
  3. พยานบุคคล 2 คน พร้อมบัตรประจำตัวประชาชน ข้อตกลงการหย่า
  4. สูติบัตรหรือทะเบียนบ้านของบุตร (กรณีมีบุตร)
  5. คำร้องจดทะเบียนการหย่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: whatiknow.(2010).การจดทะเบียนหย่า.20 ธันวาคม 2559.
แหล่งที่มา: http://whatiknow.wordpress.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


BannerQuiz-สุขภาพใจ.jpg

แบบทดสอบ สุขภาพใจ

 

เลือกคำตอบที่ถูกต้อง จากเนื้อหาที่อยู่ในหมวดหมู่ สุขภาพใจ

แนะนำให้ "คลิก" กลับไปที่เรื่อง หลังตอบครบทุกข้อ

1. ข้อใดต่อไปนี้เป็นอาการซึ่งเป็นผลเสียของการนิ่งเงียบเมื่อไม่พอใจ
2. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
3. ข้อใดเข้าข่ายวิกฤติวัยกลางคน
4. วิกฤติวัยกลางคน มักจะเกิดกับคนอายุเท่าไหร่
5. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
6. ข้อใดเป็นสัญญาณเตือนว่าชีวิตกำลังเข้าสู่วิกฤติวัยกลางคน
7. ทำไมการสนใจในเรื่องที่ต่างกันบ้าง จึงเป็นเรื่องดีต่อคู่รักทั้งคู่
8. ข้อใดเป็นเรื่องที่ดีต่อความสัมพันธ์
9. ในขณะที่คู่รักยังมีปัญหากันนั้น ข้อใดกล่าวถูกต้อง
10. เส้นทางความเกลียดที่ภรรยามีต่อสามี ที่นักบำบัดค้นพบเป็นอย่างไร

 

 

 

 

 

 

 


.jpg

ในชีวิตคู่นั้น ความขัดใจ ไม่พอใจ เกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่วิธีจัดการอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้ หลายคนอาจคิดว่าเมื่อไม่พอใจ ก็ใช้วิธีนิ่งเงียบเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะไม่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกจริงๆออกมาได้หรือไม่อยากพูด ไม่อยากมีเรื่อง “ไม่พอใจ แต่ไม่พูด” ถือเป็นวิธีที่เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร

การนิ่งเงียบ เมื่อไม่พอใจ เป็นอันตรายต่อผู้หญิง

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่า ผู้หญิงที่ไม่สามารถแสดงออกอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่ใจต้องการได้ จะมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพมากกว่าผู้หญิงที่ได้แสดงความรู้สึกนึกคิดถึง 4 เท่า ขณะที่ผู้ชายที่ใช้วิธีเงียบในการสงบศึกจะไม่เป็นอันตรายเหมือนผู้หญิงเพราะผู้ชายไม่ค่อยคิดอะไร มักปล่อยให้ผ่านเลย ผู้ชายจึงไม่กดดันต่างจากผู้หญิงที่จะมีปัญหาสุขภาพ เช่น เป็น โรคซึมเศร้า มีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ หรือเป็น โรคหัวใจ

การที่ผลของการนิ่งเงียบเมื่อไม่พอใจของผู้ชายผู้หญิงต่างกันนั้นเป็นเพราะผู้หญิงจะรู้สึกกดดัน รู้สึกเครียด รู้สึกผิดได้ง่ายกว่าผู้ชาย ซึ่งคนที่อยู่กับความรู้สึกผิดและเครียดนานๆ จะมีอาการทางกายแสดงออกมาที่เรียกว่า อาการจิตสรีระแปรปรวน (phychosomatic disorder) บางคนเป็น ไมเกรน ปวดหัวข้างเดียว หรือปวดหัวสองข้าง คลื่นไส้อาเจียน แผลในกระเพาะอาหาร บางคนย้ำคิดย้ำทำ ย้ำกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ยิ่งเครียดยิ่งกิน คนฝรั่งจะเน้นกิน คนเอเชียจะซึมเศร้า น้อยเนื้อต่ำใจ มีอารมณ์เศร้าหมองตลอด ซึ่งโรคหัวใจจะตามมาเพราะเกิดจากความดันโลหิตสูง เวลาเครียดหัวใจจะบีบตัวแรง นำไปสู่การเป็นโรคหัวใจเรื้อรังได้

 

ทำไมผู้ชายไม่มีปัญหา 

ผู้ชายไม่มีปัญหากับความเงียบเพราะผู้ชายมีทางออกมากกว่า เช่น ไปกินเหล้า ไปเที่ยวกับเพื่อน ได้ปลดปล่อยทางอื่น หรือคิดว่าเสียเปรียบเมียบ้างก็ไม่เป็นไร อีกอย่างกลไกชีวิตก็ต่างกัน ผู้ชายเป็นฝ่ายล่า เวลาโกรธก็จะแก้แค้นเอาคืนได้ง่ายกว่า แต่ผู้หญิงเป็นฝ่ายสมยอม เช่นเวลามี sex ไม่เต็มใจแต่ก็ยอมได้ ขณะที่ผู้ชายเวลาโกรธก็ยังมี sex ได้ อาจจะทำไปด้วยเพราะความโกรธและความไม่พอใจบางอย่าง ดังนั้น กลไกทางจิตในการแก้ไขความเครียดของผู้ชายมีทางระบายออกได้ดีกว่าผู้หญิงแม้ในเรื่องเพศ

จะพูดอย่างไร ถ้าเราไม่พอใจ

ควรพูดกับเขาดีๆพูดอย่างเป็นมิตร มีความเมตตา แสดงให้เห็นว่าเราอยากอธิบายให้ฟัง พูดช้าๆ ชัด ๆ ย่อความสั้น ๆ พูดในแง่บวก ไม่มีน้ำหูน้ำตา ไม่ทะเลาะ ไม่ตะโกน ทำความเข้าใจกับคำพูดที่เราคิดว่า “เขาว่าเรา” ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจไม่ใช่ก็ได้ เมื่อเราพูดก็เท่ากับเราได้แสดงความจริงใจแล้ว แต่เขาจะเชื่อหรือไม่ ก็ขึ้นกับพื้นฐานบุคลิกของเขา แต่การเงียบนั้นไม่ดีแน่ เพราะเงียบแปลได้หลายอย่าง เช่น โกรธ หรือ ยอมรับ อีกฝ่ายก็อาจตีความผิดพลาด ผู้ที่เก็บความรู้สึกติดลบกับตัวเอง ไม่พูด ไม่แสดงออก ไม่อธิบาย อาจทำให้อีกฝ่ายมองเราผิดได้

 

เชื่อว่าเขารักฉัน เพื่อที่เราจะได้รักกันนาน ๆ

บางครอบครัวทะเลาะกันบ่อย แต่ถ้าเรารักกัน มองกันและกันในแง่ดี ไว้เนื้อเชื่อใจกันก็จะทะเลาะกันน้อยลง พอไม่รัก ก็จะรำคาญและรังเกียจ พอไม่เชื่อใจก็จะระแวง ทำให้ทะเลาะกัน แต่ถ้ารักกันก็จะให้อภัยกัน ทำอะไรผิดไปบ้างก็มองข้าม เพราะเราคิดว่าเรารักกัน มีสมการอยู่ว่า ถ้าฉันรักเขา แต่เขาไม่ค่อยรักฉัน เราจะหาเรื่องเขาได้ง่าย เพราะคิดว่าเราขาดทุน แต่ถ้าคิดว่าเขารักฉัน (เพราะว่าวันนั้นเขายิ้มให้ ยังซื้อขนมมาฝาก วันนั้นเขายังจ่ายเงินค่ารองเท้าให้) ความเชื่อนี้จะทำให้ฉันรักเขาตอบ แล้วธรรมชาติของมนุษย์จะรักคนที่รักเรา ถ้ามีการแสดงความรักทั้งท่าทางกิริยาวาจา อีกฝ่ายก็จะรู้สึกถึงความรักและรักตอบ จะทำให้รักกันได้นาน ลองมองหาพฤติกรรมดีๆ ที่จะทำให้เรามั่นใจว่าเขารักเรา

ความรักก็เหมือนขนม จะหวานมากหวานน้อยก็เป็นขนม ขึ้นอยู่กับว่าบางคนจะแสดงความรักอย่างไร แต่ยังไงก็หวาน ถ้ายอมรับได้ก็จะอยู่กันได้นาน เขาให้เราแล้ว เราจำในสิ่งดีๆ คำว่าขาดทุนก็จะไม่มี แต่ถ้าเขาไม่รักเราจริงๆ เขาเปลี่ยนไป ไม่ปกติ มองเห็นชัดว่าหลอกเรา ถ้าไม่ไหวก็ลาจาก ความรักต้องทำให้เบิกบาน สดชื่น แจ่มใส และสร้างสรรค์ คนที่อยากได้คู่ที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างคงหาได้ยาก เพราะแม้แต่ตัวเราเองก็ยังดี ยังทำอะไรได้ไม่ถูกใจตนเองเลย

 

ความรักทำให้เราแข็งแรงก็ได้ ทำให้เราเจ็บป่วยก็ได้ ถ้าเราวางใจไม่ถูก ปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกพาไป เราเองนั่นแหละที่จะตามใจตนเองไม่ทัน และปัญหาก็อาจจะเกิดขึ้นได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นพ.วิทยา นาควัชระ .(2009). อันตรายของความนิ่งเงียบในชีวิตคู่ .24 พฤศจิกายน 2558.
แหล่งที่มา: http://www.familynetwork.or.th/content/“ไม่พอใจ-แต่ไม่พูด”-อันตรายของความนิ่งเงียบในชีวิตคู่
ภาพประกอบจาก: www.onlineloveastrologysolution.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก