ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

banner-mammogram-breast-ultrasound.jpg


“ก้อนที่เต้านม” ภัยใกล้ตัวที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้

หากถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตสำหรับทุกคนคืออะไร คำตอบคงแตกต่างกันออกไป แต่เชื่อว่าหนึ่งในนั้นคงมีเรื่องของ “สุขภาพ” เป็นอันดับต้น ๆ แน่นอน ถึงกับมีประโยคที่สะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพที่อาจส่งผลต่อชีวิต เช่น “การมั่งมีที่แท้จริงคือการมีสุขภาพที่ดี ไม่ใช่เงินทอง” หรือ “เงินซื้อสิ่งของได้ แต่ซื้อเวลาและสุขภาพที่ดีไม่ได้” 

โดยปกติแล้ว เราทุกคนไม่มีใครอยากเจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด เพราะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่โรคภัยบางครั้งก็มาหาเราอย่างไม่ทันตั้งตัวแม้จะดูแลเป็นอย่างดี ทั้งชายหญิงสามารถเผชิญโรคต่าง ๆ ได้เหมือนกัน แต่มีบางโรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย หรือพบได้บ่อยในเพศหญิง เดี๋ยวหมอจะอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมค่ะ

โรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย ได้แก่ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก เช่นเดียวกับสุขภาพผู้หญิงที่มักสัมพันธ์กับระบบเจริญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ช่องคลอด มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ รวมถึงฮอร์โมนเพศหญิงที่สลับกันขึ้นสูงและลดต่ำลงตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่ช่วงวัยเจริญพันธุ์จนถึงช่วงหลังวัยเจริญพันธุ์ 

และปัญหาที่พบบ่อยสุดคือ “ก้อนที่เต้านม” ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูง และไม่ได้เกิดกับเพศหญิงเท่านั้น เพศชายก็อาจเผชิญโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน โรคของเต้านมที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งเต้านม ที่เกิดจากก้อนเนื้อบริเวณเต้านม และเราจะทราบได้อย่างไรว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นปัญหาที่พบบ่อย และพบว่า มีเพียง 80 – 90% ที่เป็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำชนิดไม่ร้ายแรง แต่อีก 10 – 20% ที่พบว่าเป็นก้อนเนื้อชนิดรุนแรงสามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 ของผู้ที่ป่วยเลยทีเดียว 


“มะเร็งเต้านม”

พบผู้ป่วยรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก ตรวจก่อน เจอก่อน มีผลลัพธ์การรักษาที่ดี โดยข้อมูลของ Global Cancer 2020 พบว่า มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่สูงถึง 2.26 ล้านคนต่อปี ถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังพบว่า มะเร็งเต้านมถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่มากที่สุดในผู้หญิงไทยที่ 22,158 รายต่อปี และในจำนวนนี้มีการเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว 

สำหรับสาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด  ยุทธวิธีในการควบคุมที่สำคัญจึงเป็นการตรวจคัดกรอง เพื่อหามะเร็งเต้านมให้เจอตั้งแต่ระยะแรก ๆ และทำการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี มีภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตต่ำ ที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะไม่สูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังการรักษา 

หากอยากรู้ว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย เบื้องต้นเราสามารถตรวจคัดกรองด้วยตัวเองโดยการสังเกตและคลำก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นประจำ หากพบความผิดปกติสามารถไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลวินิจฉัย 

ในการตรวจเต้านมด้วยตัวเองนั้น หลายคนอาจสงสัยว่า คลำเจอก้อนแบบไหนแล้วควรรีบไปปรึกษาแพทย์ ในความเป็นจริงเมื่อคลำเจอก้อนที่เต้านม ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้แม้ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ โดยก้อนเนื้อที่มีความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นมะเร็งเต้านมจะมีลักษณะแข็งกว่าก้อนเนื้อธรรมดา และมักมีอาการอื่นๆ ให้สังเกตพบด้วย เช่น มีการดึงรั้งของผิวหนังและหัวนม หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะเริ่มฉุกคิดและหันมาใส่ใจร่างกายตัวเองมากขึ้นนะคะ และถ้าใครสนใจเข้ารับการตรวจเต้านม โดยอาจจะเป็นผู้ที่คลำเจอความผิดปกติของเต้านม เจ็บเต้านม รูปทรงเต้านมเปลี่ยน สนใจตรวจสุขภาพเต้านม รวมไปถึงผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมหรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ทีมงานขอแนะนำ “ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ซึ่งเป็นศูนย์เต้านมที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเต้านมอย่างครบวงจร โดยทีมแพทย์และทีมสหวิชาชีพที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการดูแลรักษาโรคทางเต้านมโดยเฉพาะ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน การตรวจวินิจฉัยและการรักษา เช่น การตรวจคัดกรองด้วยวิธีแมมโมแกรมระบบดิจิตอลและอัลตราซาวนด์ และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (กรณีมีความเสี่ยงสูง MRI) 

Mammogram-Breast-Ultrasound

การตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอลเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องตรวจแมมโมแกรม วิธีนี้รวดเร็ว สะดวก และให้ภาพที่มีรายละเอียดสูงกว่าการตรวจแบบเอกซเรย์ทั่วไป ส่วนการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ เป็นการสร้างภาพภายในเต้านมด้วยคลื่นความถี่ทำให้เห็นภาพในมุมมองที่ยากต่อการมองเห็นด้วยวิธีการตรวจแมมโมแกรม สนใจคลิก แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

ส่วนการรักษามะเร็งเต้านม ที่บำรุงราษฎร์มีศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านเต้านม และมีประสบการณ์ในการผ่าตัดโรคที่เกี่ยวกับเต้านม ทั้งที่เป็นมะเร็งและกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับเต้านมทั้งหมด รวมถึงการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม เพื่อคงคุณลักษณะของความเป็นผู้หญิงและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ และยังมีการประชุม Multidisciplinary Team Breast Conference ของทีมแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อการรักษาที่ตรงจุด แม่นยำ เกิดผลข้างเคียงน้อย ให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น 

Mammogram-Breast-Ultrasound

ทั้งนี้ ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีการบริการในระดับศูนย์ที่มีความเป็นเลิศด้านการแพทย์ (Center of Excellence) ใน 3 ลักษณะ 
  • Fast Diagnosis ทราบผลตรวจวินิจฉัยภายใน 72 ชั่วโมง ว่าเป็นหรือไม่เป็นมะเร็ง นับตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ส่งเจาะชิ้นเนื้อ และพบศัลยศาตร์แพทย์เต้านม มากกว่า 98% (Eusoma Benchmark 95%) 
  • Fast Treatment เป็นความรวดเร็วในการรักษาของผู้ป่วย โดยที่ศูนย์ฯ สามารถวางแผนการรักษา และส่งเข้ารับการผ่าตัดได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • Excellent Outcome มีผลลัพธ์ด้านการรักษา และความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม โดยมีอัตราการรอดชีวิตสูง อัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ
    • การติดเชื้อหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมต่ำ
    • อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องผ่าตัดซ้ำภายใน  72 ชั่วโมง น้อยกว่า 1%
    • สามารถเคลื่อนไหวข้อไหล่ หัวไหล่หลังผ่าตัดได้ทันที* เพื่อให้ข้อไหล่มีการเคลื่อนไหวได้ มากกว่า 90 องศา เพื่อทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น วิธีที่จะป้องกันมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลาม คือการตรวจคัดกรองด้วยตัวเองอยู่เสมอและหากพบความผิดปกติก็ควรรีบเข้ารับการวินิจฉัย เพราะหากพบเร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้ 

 

ถึงเวลาที่ “เต้านม” ต้องได้รับการดูแล…เป็นพิเศษ
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เต้านม รพ.บำรุงราษฎร์ โทร 02 011 3680
หรือสนใจซื้อแพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม คลิก
แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

 

 

 


-UV-ตัวอันตราย-ทำร้ายผิว.jpg

รังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี (UV) แท้จริงแล้วจะมีประโยชน์ในส่วนของการกระตุ้น ให้ร่างกายของเราผลิตวิตามินดี และสามารถใช้ในการรักษาโรค อาทิ ด่างขาว สะเก็ดเงิน และโรคกระดูกอ่อนในเด็ก แต่หากได้รับรังสียูวีเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราได้ โดยเฉพาะผิวพรรณของผู้หญิง เราเลยจะเล่าให้ทุกคนฟังถึงอันตรายจากรังสี UV กันค่ะ

 

ผลกระทบของรังสี UV

อย่างที่กล่าวไปนะคะว่ารังสี UV หากได้รับติดต่อกันเป็นเวลานาน จะให้โทษต่อร่างกายของเราได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเลย ดังนี้

  1. ผิวหนัง ผิวหนังเป็นผลกระทบโดยตรงที่เกิดจากการได้รับรังสี UV โดยอาจทำให้ผิวของเรามีริ้วรอย คล้ำ ไปจนถึงอาการแพ้ ผิวไหม้ จนถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนังได้เลยนะคะ
    • ผิวคล้ำแดด เป็นปัญหาหนักของสาว ๆ เลยค่ะ ในเรื่องของผิวคล้ำแดด ซึ่งเจ้ารังสี UV เมื่อสัมผัสกับผิวหนัง ร่างกายของเราจะสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้สีผิวของเราคล้ำขึ้น โดยรังสียูวีเอ (UVA) นั้นจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีชั้นนอก หากอยากได้สีผิวเดิมกลับมาจะใช้เวลาไม่นาน แต่รังสียูวีบี (UVB) จะไม่ทำให้สาวๆ คล้ำขึ้นในทันที และใช้เวลานานกว่าสีผิวของเราจะกลับมาเป็นปกติ
    • ผิวไหม้ ผิวไม้เกิดจากเราได้รับรังสียูวีบี (UVB) ในปริมาณสูง จนทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกถูกทำลาย ในคนที่แพ้อาจมีการผิวลอก เป็นแผลพุพอง นอกจากนั้นอาการผิวไหม้จากแดดทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
    • ริ้วรอย เมื่อรังสียูวีเอทะลุผ่านผิวหนังของเรามาถึงชั้นหนังแท้ มันจะเข้าไปกระทบโครงสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวของเราสูญเสียความยื่นหยุ่น ทำให้เรามีริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยได้
    • อาการแพ้แดด ผู้ที่มีผิวไวต่อแสงหากโดนรังสียูวีในปริมาณเพียงน้อยนิด อาจทำให้เกิดอาการแพ้คล้ายผิวไหม้ได้
    • มะเร็งผิวหนัง มีงานวิจัยอ้างว่ารังสี UV ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย และเข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนังได้โดยตรง ซึ่งทำให้เป็นมะเร็งได้
  1. ดวงตา ผู้ที่เผชิญกับรังสี UV ในปริมาณที่สูงอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อดวงตาของเราได้ โดยเฉพาะ การเกิด กระจกตาอักเสบและเยื่อบุตาอีกเสบ ต้อกระจก และต้อเนื้อด้วย ดังนี้
    • กระจกตาอักเสบและเยื่อบุตาอักเสบ อาการนี้เกิดจากเราได้รับรังสี UV ในปริมาณสูงเพียงไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดตาแดง แสบ คัน และระคายเคือง โดยอาจมีอาการรุนแรงไปจนถึงขั้นเซลล์ผิวชั้นนอกของลูกตาถูกทำลายจนมองไม่เห็นชั่วคราว
    • ต้อกระจก เกิดจากการมีโปรตีนสะสมปกคลุมเลนส์แก้วตา ทำให้การมองเห็นภาพขุ่นมัว และรังสียูวีบีก็ป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดต้อกระจกได้
    • ต้อเนื้อ เป็นอาการที่เป็นผลมาจากการได้รับรังสียูวีต่อเนื่องเป็นเวลานาน เกิดขึ้นเมื่อมีเนื้อยื่นเข้าไปในตาดำ บดบังการมองเห็นจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
  2. ระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ว่ารังสียูวีเป็นอันตรายต่อ DNA และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเป็นปัจจัยให้ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ทั้งหากได้รับรังสียูวีในปริมาณสูงยังส่งผลให้วัคซีนทำงานได้ไม่เต็มที่

 

การป้องกันตัวเองจากรังสีอัลตราไวโอเลต

  1. หลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วง 9.00 – 14.00 น. เนื่องจากมีความเข้มข้นของรังสี UV สูงมากทั้งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากออกกลางแจ้งเราต้องทาครีมกันแดดทุกครั้งด้วยนะคะ หรือสวมเสื้อแขนยาว
  2. สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว และสวมหมวก ถ้าให้การสวมเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวมีประสิทธิภาพมากที่สุดต้องเป็นผ้าทอและมีสีเข้ม เนื่องจากมีประสิทธิในการปกป้องร่างกายได้มากกว่าสวมเสื้อผ้าสีอ่อน หรือเสื้อผ้าที่ใช้สารเคลือบวัสดุสิ่งทอที่มีคุณสมบัติดูดซับรังสี UV
  3. แว่นกันแดด เลือกแว่นกันแดดที่มีเลนส์ขนาดใหญ่และมีคุณสมบัติป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้ 99 – 100%
  4. ครีมกันแดด ควรเลือกครีมกันแดดที่ปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม (Broad-Spectrum) ค่า SPF30 ขึ้นไป กันน้ำได้ (Water Resistant) และไม่มีสารเคมีที่ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้

เพียงเพื่อน ๆ ปฏิบัติตามได้ดังต่อไปนี้รังสี UV ปริมาณและเข้มข้นมากมายแค่ไหน ก็ทำอะไรเราไม่ได้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิง “ครีมกันแดด” นับว่ามีความจำเป็นเป็นอย่างมาก และเท่าที่เราสังเกตมาครีมกันแดดของผู้หญิงยังมีการเพิ่มเติมในส่วน “การทาทับเมคอัพ” “การควบคุมความมัน” และยังสามารถ “ปกป้องผิวของเราจากมลภาวะต่างๆได้” เราเลยขอนำเสนอเพื่อนถึงครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติครบจบในอันเดียวคือ Valani Sun Gel เจลกันแดดเนื้อเจลใส

 

กันแดดอย่างไรให้หน้าเรายังเป๊ะ ต้อง “Valani Sun Gel”

เป็นประสบการณ์ใหม่ของครีมกันแดดเลยนะคะ สำหรับ Valani Sun Gel ครีมกันแดดเนื้อเจลใส ที่สามารถกันแดดได้ ควบคุมความมันด้วย ทำให้เมคอัพติดทนนานตลอดทั้งวัน ไม่เกิดปัญหาหน้าไหล หน้าเละ และหน้าลื่นแน่นอน โดยครีมกันแดดมีคุณสมบัติ ดังนี้

  • สามารถดูดซับรังสี UVA/UVB และรังสีอื่น ๆ ได้
  • ปกป้องผิวจากมลภาวะแวดล้อมได้อย่างครอบคลุม
  • Gum-4 เจลให้เนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม ละมุนผิว อ่อนโยนและไม่ทำอันตรายต่อผิวสาวของเราแน่นอน
  • สามารถทาทับเมคอัพได้ เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ
  • มี Bisabolol เพิ่มความนุ่ม ชุ่มชื้น ลดการระคายเคืองผิว ดูแลปลอบประโลมผิวที่แพ้ง่าย

คุณสมบัติครบถ้วนขนาดนี้เพื่อน ๆ จะพลาดกันได้อย่างไรล่ะคะ ต้องลองใช้สักครั้ง แล้วเพื่อน ๆ จะไม่เปลี่ยนใจแน่นอนค่ะทุกคน แล้วเพิ่มประสบการณ์คุณค่าของผิวสวยยิ่งกว่านั้น หากใช้ควบคู่กับ Valani Opuntia Gold Shower gel ครีมอาบน้ำเนื้อทองคำ ที่สกัดจากต้นแคคตัสแดงที่หาได้จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น สามารถทำความสะอาดผิวให้กระจ่างใส ล็อคความชุ่มชื้นทำให้ผิวของแรงแข็งแรง และบำรุงได้อย่างล้ำลึก

 

Valani sun gel & Valani Opuntia Gold Shower gel สองสิ่งที่ช่วยในการปกป้องผิวและบำรุงผิว ที่สามารถทำให้ผิวพรรณของเรามีสุขภาพผิวที่ดีไปตลอดกาล

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Dr.Somsak Cosmetic Surgery Clinic
รัชดา 24 สามเสนนอก ห้วยขวาง กทม. 10320
โทร. 095 292 3249
https://www.facebook.com/valaniofficial

 


-UV-อันตรายกว่าที่คุณคิด.jpg

ใกล้เข้าเดือนเมษายน กรมอุตุฯ มีการคาดการณ์ไว้ว่าอุณหภูมิในประเทศไทยจะสูงเกิน 45 องศา แน่นอนว่าสิ่งที่มาพร้อมอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ก็คือ  แสงแดด และรังสี UV ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับร่างกายของเรา

 

รังสี UV ส่งผลกระทบโดยตรงกับร่างกายของเรา ได้แก่

  1. เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย เนื่องจากรังสี UV ส่งผลกระทบทำให้เม็ดเลือดขาวกระจายตัว ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ร่างกายติดเชื้อโรคได้ง่าย
  2. โรคผิวหนัง จริง ๆ แล้วแสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง โดยทำให้เกิดโรคเอสแอลอี โรคติดเชื้อเริม และลมพิษจากแสงแดดอีกด้วยค่ะ
  3. กระจกตาอักเสบและต้อกระจก ซึ่งรังสี UV มีส่วนทำให้ตาของเราอักเสบ อาการที่เห็นได้ชัดคือแพ้แสงและน้ำตาไกล และอาจทำให้เกิดโรคต้อกระจกในที่สุดค่ะ และที่ร้ายแรงกว่านั้นอาจทำให้ตาบอดได้เลยค่ะ
  4. ผิวมีกระแดด และฝ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณผู้หญิงหลายคนค่อนข้างกังวลใช่ไหมเอ่ย เพราะว่ารังสี UV และ Visible Light มีส่วนทำให้เกิดการผลิตเซลล์เม็ดสีเมลานิน หากเมลานินมีจำนวนมากขึ้น ผิวของเราจะมีความเข้มขึ้น ยังทำให้สีผิวของเราไม่เท่ากัน เกิดกระ เกิดฝ้าตามมาได้
  5. ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย เพราะว่ารังสี UV นั้นจะเข้าไปลำลายคอลลาเจนที่ชั้นผิวหนังของเรา ทำให้เกิดริ้วรอย หมองคล้ำ และเกิดจุดด่างดำที่ไม่พึงประสงค์ได้ค่ะ

 

วิธีการรับมือกับแสงแดด

  1. ทาครีมกันแดด
  2. ใช้ร่ม ใส่หมวก และแว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
  3. ใส่เสื้อมีแขนเพื่อปกปิดผัวหนัง
  4. พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10:00 – 16:00 น.

 

วิธีการทาครีมกันแดดอย่างถูกต้อง

  • ควรทาเป็นประจำทุกวันให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
  • ควรทาแต่ละครั้งอย่างน้อย 2 มิลลิกรัมต่อตร.ซม. ของผิวหนัง โดยความถี่ขึ้นอยู่กับความโอกาสในการสัมผัสแสงแดด
  • เลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวและลักษณะการดำเนินชีวิต

 

SPF คืออะไร

โดยรังสี UV ในแสงแดดมีทั้ง UVA และ UVB โดย UVB จะมีผลกับ ผิวหนังชั้นตื้น ทำให้ไหม้เกรียม และ UVB จะลงสู่ผิวหนังชั้นลึกกว่า ทำให้ของเราผิวคล้ำขึ้น

สำหรับ SPF (Sun Protection Factor) เป็นหน่วยวัดประสิทธิภาพในการกันแดดของแสง UVB เท่านั้น ปกติผิวที่ตากแดดนาน 15 นาทีจะมีอาการแดง หากทาครีมกันแดดที่มี SPF10 ก็จะทำให้ผิวทนแดดได้นานขึ้น 10 เท่าเป็น 150 นาที ผิวจึงจะแดง ส่วนความสามารถในการป้องกัน UVA ของครีมกันแดดจะดูจากระดับของ PA เป็นหลัก ได้แก่

  • PA+ จะป้องกัน UVA ได้ 2 – 4 เท่า
  • PA++ จะป้องกัน UVA ได้ 4 – 8 เท่า
  • PA+++ จะป้องกัน UVA ได้ 8 – 12 เท่า
  • PA++++ จะป้องกัน UVA ได้มากกว่า 12 เท่า

 

รับมือแสงแดด หยุดให้รังสี UV ทำร้ายผิว ด้วย Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ ปกป้องผิวถึงชั้นคอลลาเจน

จากการทดสอบเมื่อนำ เม็ดเจลไว้ในแก้วแล้วปิดด้วยฟิล์มใสและทากันแดดไว้ที่ด้านบน ก่อนจะแปะแผ่น Smart Sun ที่ทากันแดดแล้วพบว่า  ผลลัพธ์ที่ได้ Biore UV Essence เซฟได้สูงสุด ขนาดเม็ดเจลในแก้ว นั้นยังคงปริมาณเท่าเดิม ปกป้อง UV ได้ประสิทธิภาพสูงสุด แทบไม่เผยรอยเหี่ยวย่นที่ซ่อนอยู่เลยค่ะ

ซึ่งเป็นครั้งแรกของ Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ กันน้ำกันเหงื่อ แต่เนื้อบางเบาพิเศษจนสามารถทาทับเมคอัพได้ เติมได้ระหว่างวัน  และที่นำ เทคโนโลยี Micro Defense ซึ่งเป็น Micro UV Cut Capsule อนุภาคขนาดเล็กระดับไมโคร ป้องกันผิวได้อย่างไร้ช่องว่างถึงร่องผิวลึก แตกต่างจากกันแดดสูตรเดิม ครอบคลุมทั่วทุกตารางผิวแม้ร่องผิวลึก หรือบริเวณร่องผิวที่มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน เสมือนเกราะป้องกันไม่ให้รังสี UV แทรกผ่านผิวชั้นนอกเข้าไปทำร้ายคอลลาเจน รวมถึงการผสานคุณค่าของ Hyaluronic Acid, Royal Jelly Extract และ Butylene Glycol ที่ช่วยคงความชุ่มชื่นของผิวไว้อีกด้วย

Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++

 

คุณสมบัติ

  • Very High Level UVB/UVA Protection: ปกป้องขั้นสุด ได้อย่างทั่วถึงแม้ร่องผิวลึก ด้วยเทคโนโลยี Micro UV-Cut Capsule อนุภาคขนาดเล็กระดับไมโคร ช่วยป้องกันผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และผิวแก่ก่อนวัยจากแสงแดดที่ทำลายชั้นคอลลาเจน ด้วย SPF+PA++++
  • Very Water Resistance: กันแดดติดทนนาน ด้วยสูตรกันน้ำกันเหงื่อ
  • Moisture Essence: เนื้อเอสเซ้นส์สัมผัสบางเบาพิเศษ ไม่เหนอะหนะ ทาทับเมคอัพได้ผสาน HyaluronicAcid, Royal Jelly Extract คุณค่าการบำรุงของ Butylene Glycol ช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น
  • Skin Tested: ผ่านการทดสอบระคายเคืองผิว (Allergy Tested) ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดสิว (Nin – comedogenic Tested)

บอกได้เลยว่า Biore UV Aqua Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ สามารถป้องกันผิวแก่ก่อนวัยได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่เนื้อบางเบามาก “ไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดด”

 

ข้อมูลอ้างอิง : www.biorethailand.com

 

 

 


-cyst-โรคภายในที่ผู้หญิงควรรู้.jpg

ช็อกโกแลตซีส โรคภายในที่ผู้หญิงควรรู้ นับวันผู้หญิงหลายคนก็เริ่มที่จะคุ้นหูกับคำว่า “ช็อกโกแลตซีส” หรือโรคที่ทางการแพทย์เรียกว่า “เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิด” (endometriosis) กันมากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้ หันไปทางไหนก็ต้องเจอใครสักคนในบรรดาเพื่อนพ้องสาวโสด เป็นโรคฮิตโรคนี้กันเยอะเหลือเกิน

 

ที่มาของชื่อ ถุงน้ำช็อกโกแลต ช็อกโกแลตซีส ก็คือ ถุงน้ำของรังไข่แบบหนึ่ง ซึ่งลักษณะของถุงน้ำชนิดนี้ภายใน จะมีของเหลวที่คล้ายกับช็อกโกแลตเหลว ซึ่งความจริงก็คือถุงเลือด คือจะมีเลือด อยู่ในถุงนั้น เมื่อเลือดหยุดไหลน้ำก็ถูกดูดซึม กลับทำให้เลือดในถุงเข้มขึ้น และเมื่อเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนาน ๆ ก็กลายเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะเหมือนช็อกโกแลต จึงเรียกเป็นถุงน้ำช็อกโกแลต สำหรับสาเหตุของการเกิดถุงน้ำช็อกโกแลต

ในทางการแพทย์เชื่อว่า เกิดจากเลือดระดู หรือเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ คือ แทนที่เลือดนั้นจะออกมาทางช่องคลอดของผู้หญิงตามปกติ อาจจะมีเลือดระดู ส่วนหนึ่งมีการไหลย้อนกลับเข้าไปผ่านทางหลอดมดลูก แล้วก็เข้าไปในช่องท้อง ไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขึ้น และเนื่องจากลักษณะเซลล์ของถุงน้ำ เป็นเนื้อเยื่อ บุโพรงมดลูกอันหนึ่ง เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน (คือ การที่เยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัวออกมา) ถุงน้ำดังกล่าวก็จะมีเลือดออกในถุงด้วย

ดังนั้น ในแต่ละเดือนที่ผ่านไปถุงน้ำ ก็จะมีเลือดออกเพิ่มขึ้น ๆ นั่นหมายถึง ถุงน้ำก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และการที่ถุงน้ำนี้จะใหญ่เร็วมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ของคนคนนั้นว่า จะดูดน้ำกลับได้เร็วเท่าไหร่ ถ้าร่างกายดูดน้ำกลับได้เร็ว ถุงน้ำนั้นก็จะโตขึ้นแบบช้า ๆ

 

ทำไมหญิงยุคใหม่เป็นโรคนี้กันมากขึ้น ?

ถ้านำผู้หญิง 100 คนมาทำการส่องกล้องเข้าไปดูในขณะที่มีประจำเดือน ผู้หญิงเกือบทั้ง 100 คน จะมีภาวะเลือดระดูไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้องทุกคน ทำไมบางคน เกิดอาการเป็นถุงน้ำ ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดมากมาย แต่บางคนไม่เป็น คำตอบคือ คนไข้กลุ่มที่เป็นถุงน้ำมักจะมีปัญหาในเรื่องภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่อง ซึ่งไม่สามารถจะทำลาย เยื่อบุโพรงมดลูกที่เติบโตผิดที่นี้ได้ ในขณะที่ผู้หญิงปกติทั่วไปจะมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญเติบโตผิดที่ได้ ส่วนที่ดูเหมือนกับว่าผู้หญิงในปัจจุบันเป็นโรคนี้กันมาก ก็เพราะความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี

 

อาการที่น่าสงสัยว่า จะเป็นถุงน้ำช็อกโกแลต ? 

เมื่อมีประจำเดือน เยื่อบุโพรงมดลูก นี้ก็จะมีเลือดออกด้วยและการที่มีเลือดออกในช่องท้อง ก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งการระคายเคืองนี้เองเป็นตัวที่ ทำให้เกิดความเจ็บปวด เพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ว่าผู้หญิงที่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ จะมีอาการปวดท้องมาก เวลาที่มีประจำเดือน

 

แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าอาการปวดท้องเป็นอาการปวดปกติ หรือเป็นอาการปวดท้อง ที่เกิดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ ?

เรื่องนี้คุณหมอสมชายให้รายละเอียดว่า “การที่จะแยกว่าอาการปวดท้อง เมื่อมีประจำเดือนจะเป็นอาการที่บ่งบอกว่าสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง คือ เรื่องอายุ นั่นคือถ้าอายุยังไม่มาก แล้วปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการ ปวดท้องธรรมดา แต่กรณีที่ไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อน พออายุ 30 ปีขึ้นไปอยู่ ๆ ก็มีอาการปวดประจำเดือนขึ้นมา และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป อาการดังกล่าวค่อนข้างบ่งชี้ว่าน่าจะเป็น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่”

 

ถุงน้ำช็อกโกแลตเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ ?

ผู้หญิงหลายคนที่เป็นโรคถุงน้ำช็อกโกแลต ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำออก และหลาย ๆ กรณีแพทย์บางคนผ่าตัดเอามดลูก และรังไข่ออกไปด้วยในคราวเดียวกันด้วย

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: www.sanook.com.(2010).ช็อกโกแลตซีส โรคภายในที่ผู้หญิงควรรู้.9 ตุลาคม 2559.
แหล่งที่มา: www.sanook.com/women/2433/
ภาพประกอบจาก: www.beautyharujournal.blogspot.com


-เรื่องน่ารู้ของผู้หญิง-h2c.jpg

หากคุณผู้หญิงมีอาการปวดเต้านม รู้สึกปวดตุบ ๆ เจ็บแน่น  บวม หรือแสบร้อน มันก็ไม่แปลกที่จะฉุกคิดและสงสัย ว่าอาการที่กำลังเป็นอยู่นั้นมันเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง หรือเป็นแค่การเจ็บป่วยธรรมดา

 

การหมั่นติดตามและคอยเฝ้าสังเกตอาการปวดเต้านม (Mastalgia) จะช่วยให้คุณผู้หญิงสามารถจำแนกอาการที่กำลังเป็นออกในเบื้องต้น บทความนี้ได้คัดเลือกหัวข้อใหญ่ ๆ ของอาการปวดเต้านมที่พบบ่อย

 

ปวดเต้านมแบบที่สัมพันธ์กับประจำเดือน

อาการปวดแบบนี้จะสัมพันธ์กับการมีประจำเดือน (Cyclical Breast Pain) โดยขณะที่มีการตกไข่ (Ovulation) ฮอร์โมนในเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงทั้งช่วงก่อน และหลังการตกไข่ จึงทำให้คุณรู้สึกปวดบริเวณเต้านม ลักษณะของการปวดเป็น ดังนี้

• รู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ บริเวณเต้านม
• รู้สึกหน้าอกบวมขึ้น
• รู้สึกเจ็บเต้านมเมื่อถูกสัมผัส บางครั้งอาจจะเจ็บใต้รักแร้ร่วมด้วย
• คุณจะรู้สึกปวดบริเวณเต้านมประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนที่ประจำเดือนจะมา และจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากนั้น
• อาการปวดเหล่านี้ จะมีเมื่อคุณอยู่ในวัยที่มีประจำเดือนหรือวัยที่ใกล้หมดประจำเดือนเช่นกัน

เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้คุณทานยาคุม งดกินคาเฟอีน หรือทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการในช่วงดังกล่าว

 

ปวดเต้านมจากระดับของฮอร์โมน

อาการปวดเต้านมนั้นส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับระดับของฮอร์โมน 2 ชนิด คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในร่างกายของคนเรา แพทย์ยังไม่แน่ใจถึงกลไกที่ก่อให้เกิดอาการปวดบริเวณเต้านม โดยการปวดสามารถเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ แต่ช่วงเวลาที่พบบ่อย คือ

• ช่วงย่างเข้าสู่วัยรุ่น
• ช่วงมีประจำเดือน หรือกำลังตั้งครรภ์
• ช่วงที่ให้นม บางครั้งอาจเกิดการติดเชื้อในท่อน้ำนม เป็นเต้านมอักเสบ อาการนี้จำเป็นต้องพบแพทย์ เพื่อรับยาปฎิชีวนะ
• ช่วงหมดประจำเดือน

 

ปวดเต้านมจากเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (Fibrocystic Breast Changes)

เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงของเต้านม พบสูงถึง 80% ของก้อนที่เต้านมทั้งหมด โดยเป็นภาวะที่พังผืด ต่อมและท่อน้ำนมมีปฏิกิริยาจากการกระตุ้นของฮอร์โมนระหว่างการตกไข่มากเกินไป ทำให้เกิดพังผืดเกาะตัวและมีถุงน้ำเล็ก ๆ จำนวนมากปะปนอยู่ อาการโดยรวมจะมีก้อนโตขึ้นและเจ็บเต้านมก่อนจะมีประจำเดือน แล้วค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อประจำเดือนหมด

อาการเหล่านี้อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้คุณรู้สึกปวดเต้านม ซึ่งไม่ร้ายแรง อย่างไรก็ตามกรณีที่มีเนื้องอกที่เต้านม แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย วางแผนการดูแลที่ถูกต้องต่อไป

 

ปวดเต้านมจากความไม่สมดุลของกรดไขมัน

กรดไขมัน (Fatty acid) พบได้ในน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์ เมื่อใดก็ตามที่เกิดความไม่สมดุลของกรดไขมัน ภายในเซลล์ เต้านมของคุณจะไวต่อฮอร์โมนมากขึ้น และตามาด้วยอาการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวด ควรงดอาหารที่มีไขมันสูง และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อคุณเห็นว่าจำเป็น

 

ปวดเต้านมแบบที่ไม่สัมพันธ์กับประจำเดือน

อาการปวดเต้านมสามารถมาจากเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับประจำเดือน (Noncyclical Breast Pain) ได้ โดยดูได้จากอาการต่างๆ เช่น อาการปวดมีความรุนแรงกว่าปรกติ เจ็บแปลบ แสบร้อน แน่น หรืออาการปวดแบบไม่เฉพาะเจาะจง ปวดบริเวณจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ หรือการปวดเต้านมทั้งๆที่คุณหมดประจำเดือนแล้ว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทันที

 

อาการปวดภายนอกเต้านม

บางครั้งคุณอาจรู้สึกเหมือนปวดเต้านม แต่ความจริงแล้วสาเหตุอาจไม่ใช่เต้านม โดยมาจากส่วนอื่นๆที่อยู่ภายนอก ที่พบบ่อยเช่น เจ็บผนังอก (Chest wall pain) หรือเจ็บกล้ามเนื้อที่อยู่ข้างใต้หรือรอบ ๆหน้าอก ซึ่งอาจเกิดจากการที่คุณยกของหนัก เล่นเวท เทรนนิ่ง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการอักเสบได้เช่นกัน โดยปรกติแล้วอาการปวดในลักษณะนี้จะดีขึ้นได้ด้วยการพักผ่อน หรือทานยาในกรณีที่จำเป็น

 

ปวดเต้านมจากการติดเชื้อ

ส่วนใหญ่เต้านมอักเสบ (Mastitis) มักจะเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตร อย่างไรก็ตาม เต้านมอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเสื้อผ้าของคุณสกปรก และเสียดสีกับหัวนมมากจนเกิดแผลถลอก สามารถนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียได้

 

ปวดเต้านมจากแผลผ่าตัด

ถ้าคุณเคยมีบาดแผลหรือร่องรอยจากการบาดเจ็บต่าง ๆ บริเวณเต้านมของคุณ เช่น แผลจากการผ่าตัด หรือการปลูกถ่ายต่าง ๆ ก็สามารถทำให้คุณมีอาการปวดเต้านมขึ้นมาได้

 

ปวดเต้านมจากผลข้างเคียงของยา

ยาหลาย ๆ ชนิดมีผลข้างเคียง (Side effect) ต่อฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทำให้เกิดอาการปวดเต้านมขึ้นได้ ยารักษาโรคหัวใจและยาที่ใช้สำหรับอาการทางจิตก็รวมอยู่ด้วยเช่นกัน

 

ปวดเต้านมเกี่ยวเนื่องกับบราที่สวม

การใส่บราผิดขนาด ผิดไซส์ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวด ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่ ความหนักของเต้านม อาจทำให้รู้สึกเจ็บตึงที่หลัง คอ และไหล่ การเลือกบราที่เหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง หรือการเล่นกีฬา ก็จะมีบราที่เฉพาะสำหรับการเล่นกีฬาแต่ละประเภท ซึ่งถ้าเลือกได้ถูกต้องแล้วก็จะสามารถลดอาการปวดที่เกิดขึ้นได้

 

รู้จักอาการปวดเต้านมที่มาจากสาเหตุต่าง ๆ กันไปแล้ว หากยังคงกังวลหรือไม่แน่ใจ การไปพบแพทย์จัดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอีกทางหนึ่ง

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.webmd.com
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


5-สิ่งที่คุณอาจจะไม่รู้-เกี่ยวกับการมีประจำเดือน-.jpg

ทั้ง ๆ ที่คุณผู้หญิงโดยทั่วไปจะต้องอยู่กับประจำเดือน (Period) ถึง 450 รอบตลอดช่วงชีวิตเลยทีเดียว แต่ยังมีความลับ ที่มาที่ไป และเหตุผลของบางสิ่งบางอย่าง ที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงการมีประจำเดือน เรามาใช้เวลาที่มีค่าเรียนรู้กันเลย

 

1. รู้หรือไม่ คุณสามารถตั้งครรภ์ได้ระหว่างที่คุณกำลังมีประจำเดือน

การมีประจำเดือน ไม่ได้ป้องกันคุณจากการตั้งครรภ์ได้เลย เพราะผู้หญิงบางคนอาจมีเลือดออกในช่วงการตกไข่ (Ovulation) และเข้าใจผิดว่านั้น คือ ประจำเดือน (Period) ช่วงเวลาตกไข่เป็นช่วงที่พร้อมมากสำหรับการปฏิสนธิ ดังนั้น หากคุณมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงมีโอกาสสูงในการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ อสุจิยังอยู่ในร่างกายคุณได้ 3 วัน ดังนั้น การใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น

 

2. รู้หรือไม่ การมีประจำเดือนระหว่างใช้ยาอาจจะไม่ใช่ประจำเดือนจริง ๆ

โดยปกติร่างกายจะมีการตกไข่ (Ovulation) ในช่วงกลางของประจำเดือน ซึ่งถ้าไข่ที่อยู่ในรังไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ (Fertilization) ฮอร์โมนของคุณจะลดลง ทำให้เยื่อบุมดลูกเกิดการหลุดลอก และถูกขับออกมาเป็นประจำเดือน

การใช้ยาคุมกำเนิดจะเป็นการที่คุณได้รับฮอร์โมนเป็นเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ และเว้นฮอร์โมนเป็นเวลา 1 อาทิตย์ แม้ว่ายาคุมกำเนิดจะทำให้คุณไม่มีการตกไข่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายของคุณหยุดสร้างเยื่อบุผนังมดลูก เพราะฉะนั้น การมีเลือดออกในสัปดาห์ที่ 4 ของการกินยาคุมกำเนิด จึงไม่ใช่ประจำเดือน แต่เป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อขาดฮอร์โมนเท่านั้น

 

3. รู้หรือไม่ รอบประจำเดือนของคุณจะเปลี่ยนไปตลอดชีวิต

ประจำเดือนที่มาสม่ำเสมอเป็นเรื่องดี แต่ในบางครั้งการที่รอบประจำเดือนมาเร็วไป หรือช้าไปบ้าง อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ โดยเป็นเพียงผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่จะเกิดขึ้นตลอดชีวิตของคุณเท่านั้น

ในช่วงแรกของการมีประจำเดือน รอบอาจจะยาวนานได้ถึง 21 – 45 วัน ก่อนการมีประจำเดือนครั้งถัดไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเด็กสาววัยรุ่น แต่เมื่อโตขึ้นรอบความห่างของการมีประจำเดือนก็จะสั้นลง โดยเฉลี่ย คือ ประมาณ 21 – 35 วัน และท้ายที่สุดเมื่อถึงวัยใกล้หมดประจำเดือน เมื่อร่างกายของคุณเริ่มสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลง ฮอร์โมนที่แปรปรวนจะทำให้การมาของประจำเดือนไม่แน่นอนยิ่งกว่าเดิม มีเลือดออกมาก หรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง ช่วงสถานการณ์แบบนี้สามารถยาวนานถึง 10 ปี ก่อนที่ประจำเดือนของคุณจะหยุดมาอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนแปลงของรอบเดือนมักจะค่อยเป็นค่อยไป แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน หรือเลือดออกมามากผิดปกติ ก็ควรพบแพทย์ทันที

 

4. รู้หรือไม่ การรับมือกับประจำเดือน ไม่ได้มีแค่ผ้าอนามัยแบบแผ่น และสอดเท่านั้น

ปัจจุบันมีการทำถ้วยสำหรับรองรับประจำเดือน (Menstrual cup) ใช้กันในหลายประเทศ ข้อดี คือ ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย โดยสามารถใช้ได้สูงสุดถึง 12 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป อย่าลืมลองวิธีใหม่ ๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับตัวเอง

 

5. รู้หรือไม่ กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ยังคงเป็นเรื่องลึกลับ

1 – 2 สัปดาห์ก่อนการมีประจำเดือน อาการต่าง ๆ ที่หาสาเหตุไม่ได้ก็เริ่มเกิดขึ้น เช่น สิวที่ผุดขึ้นมา ความรู้สึกเกียจคร้าน ความอยากอาหารมากผิดปกติ รู้สึกบวม ท้องอืดและอารมณ์แปรปรวน มีการเรียกอาการเหล่านั้นว่ากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome: PMS)  ซึ่งผู้หญิงแต่ละคนก็จะมีอาการที่แตกต่างกันไป

แม้แต่แพทย์ยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น โดยเหตุผลจะเหมือนเป็นสิ่งที่ผสม ๆ กัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างรอบการมีประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกอื่น ๆ เช่น บางคนมีภาวะซึมเศร้าที่อาจส่งผลให้กลุ่มอาการดังกล่าวแย่ลงไปได้อีก

และเมื่อถึงช่วงเวลาการมีประจำเดือนจริง ผู้หญิงบางคนยังต้องทนกับอาการที่น่าหนักใจนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นอาการปวด  เกร็ง เป็นตะคริว ท้องอืด  ปวดหลัง  และปวดหัว ซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับชีวิตและการทำงาน

โดยวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมอาการก่อนมีประจำเดือน คือ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เริ่มที่การออกกำลังกายประมาณ 30 นาทีในแต่ละวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หรือประมาณ 8 ชั่วโมงต่อคืน และงดการสูบบุหรี่ กินผักผลไม้และธัญพืชให้มากขึ้น พยายามจำกัดปริมาณเกลือ โซเดียม รวมทั้งน้ำตาล คาเฟอีน และแอลกอฮอล์

ไปพบแพทย์หากอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) เริ่มทำให้คุณรู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตอย่างไม่ปกติ การมีอาการซึมเศร้า หรือวิตกกังวล ซึ่งเป็นอาการทางใจร่วมด้วย เป็นสัญญาณว่าคุณอาจเป็นกลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual dysphoric disorder: PMDD) ซึ่งอาการในกลุ่มนี้คุณควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาทันที

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล: www.webmd.com
ภาพประกอบ: www.freepik.com


10-เรื่องไม่ลับ-เกี่ยวกับช่องคลอดของสาวๆ-h2c.jpg

หลาย ๆ คนอาจไม่สะดวกนักในการพูดถึงช่องคลอด (Vagina) และพยายามเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทน ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคน ไม่ว่าจะเพศชาย หรือเพศหญิง ต้องอยู่กับอวัยวะของร่างกายในส่วนนี้ไปอีกนาน เรามาดูกันว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่

 

1. “ช่องคลอด” อาจไม่ใช่อวัยวะส่วนที่คุณคิด

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยคิดว่าช่องคลอด (Vagina) เป็นการเรียกอวัยวะเพศของผู้หญิงทั้งหมด ไม่ว่าจะภายใน หรือภายนอก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วคำว่าช่องคลอดใช้เรียกส่วนของกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อจากปากมดลูก (Cervix) ออกมาจนถึงบริเวณแคม (Labia) และปุ่มคลิตอริสเท่านั้น

 

2. ผ้าอนามัยแบบสอดไม่สามารถหลุดหายเข้าไปในช่องคลอดได้

ผ้าอนามัยแบบสอด (Tampon) ไม่สามารถจะหลุดหายเข้าไปภายในช่องคลอดของคุณได้ แต่อาจติดอยู่ได้บ้าง ซึ่งถ้าความพยายามในการหยิบออกเองไม่สำเร็จ ควรไปพบแพทย์เพื่อนำออก การปล่อยผ้าอนามัยแบบสอดไว้ภายในร่างกายนาน ๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

 

3. คุณสามารถออกกำลังกายบริเวณช่องคลอดได้

การออกกำลังกายในส่วนของอุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่าการออกกำลังกายแบบ Kegel หรือการฝึกขมิบช่องคลอด นอกจากจะช่วยให้ช่องคลอดกระชับขึ้น ยังช่วยบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ด อาการหลวมหย่อนคล้อย และยังสามารถช่วยเรื่องการเพิ่มความพึงพอใจทางเพศ และทำให้ให้ถึงจุดสุดยอด (Climax) ง่ายขึ้น

 

4. ช่องคลอดของคุณเป็นเหมือนไวน์

สาเหตุเพราะค่า pH ปกติของช่องคลอดจะอยู่ต่ำกว่า 4.5 ซึ่งคล้ายกับค่า pH ของไวน์ และยังมี Lactobacilli ซึ่งเป็นแบคทีเรีย “ดี” ที่อาศัยอยู่ภายในช่องคลอด ช่วยในการรักษาค่า pH ในระดับดังกล่าว ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียอื่น ๆ กรณีที่ Lactobacilli ลดต่ำลง จะทำให้ค่า pH ในช่องคลอดเพิ่มขึ้นได้สูงถึง 4.5 ซึ่งเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้อย่างง่ายดาย

 

5. หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดมากหรือบ่อยเกินไป

เหตุผลที่เราควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่หอม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเข้มข้นสูง ในการทำความสะอาดช่องคลอด เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สามารถขัดขวางสมดุลตามธรรมชาติของแบคทีเรียในช่องคลอด ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย จากเหตุผลในข้อ 4 คุณแทบไม่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดลึกเข้าไปในช่องคลอดเลย เพราะมีกลไกของสารคัดหลั่ง ที่ช่วยรักษาความสะอาดและกำจัดสิ่งสกปรกออกมา ในทางปฏิบัติการใช้น้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว

 

6. สิ่งที่คุณกินมีผลต่อกลิ่นในช่องคลอด

ถ้าคุณกังวลว่าการไม่ใช้สบู่ที่มีกลิ่นหอม อาจทำให้ช่องคลอดของคุณมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ก็เปลี่ยนมาดูแลในด้านอาหารที่รับประทานได้ เพราะอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น หัวหอม กระเทียม พริก สามารถทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นที่ไม่ค่อยสดชื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ยกเว้นการที่ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หรือความผิดปกติภายใน กรณีนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อปรึกษาทันที

 

7. คลิตอริสมีเส้นประสาทอยู่จำนวนหลายพันเส้น

ถึงคลิตอริสจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของช่องคลอด แต่ถือเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงมีความสุขทางเพศ เพราะแค่เพียงส่วนปลายก็มีเส้นประสาทมากกว่า 8,000 เส้นอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเส้นประสาทในอวัยวะเพศชายกว่าสองเท่า ทำให้คลิตอริสถือได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุดแห่งหนึ่งของผู้หญิง และยังมีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าคลิตอริสสามารถเพิ่มขนาดได้ถึง 300 เปอร์เซ็นต์ เมื่อได้รับการกระตุ้นทางเพศอีกด้วย 

 

8. ช่องคลอดของคุณ “ตด” ไม่ได้

การปล่อยอากาศออกทางช่องคลอด ที่เรียกว่า “เสียงลม หรือ Queefing” นั้น  แม้ว่าจะคล้ายการผายลม (Fart) แต่ความต่าง คือ การผายลมเป็นการปล่อยก๊าซ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์จากภายในร่างกาย ขณะที่เสียงลมจากช่องคลอดเป็นแค่อากาศที่พุ่งออกจากช่วงคลอดเท่านั้น

 

9. ความเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยงระหว่างช่องคลอดกับปลาฉลาม

สารหล่อลื่นที่เกิดจากช่องคลอด มีสารประกอบที่เรียกว่าสควอลีน (Squalene) ซึ่งเป็นสารประกอบเดียวกับที่พบในตับปลาฉลาม และยังเป็นสารที่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจำนวนมาก เช่น โลชั่นที่เพิ่มความชุ่มชื้น ครีมกันแดด และผลิตภัณฑ์บำรุงผม อีกด้วย

 

10. ที่จริงแล้ว มันไม่ได้มีแค่จุด G-spot เพียงอย่างเดียว

หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยิน G-spot ซึ่งเมื่อกระตุ้นอาจทำให้เกิดความตื่นตัวทางเพศ และช่วยให้บรรลุจุดสุดยอด แต่ปัจจุบันมีการกล่าวถึงจุด A-spot (Annix Erogenous Zone) ซึ่งเป็นจุดที่พบได้ในช่องคลอด บริเวณระหว่างปากมดลูก และกระเพาะปัสสาวะ

A-spot เป็นการค้นพบที่ค่อนข้างใหม่ โดยนักวิจัยชาวมาเลเซีย Dr. Chua Chee Ann ที่ออกมาเผยผลการศึกษาว่า การกระตุ้นที่ A-spot ด้วยเวลาราว ๆ 10 – 15 นาที ในกลุ่มผู้หญิงที่มีอาการเจ็บปวด และช่องคลอดแห้ง ขาดน้ำหล่อลื่นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ สามารถช่วยในการถึงจุดสูงสุด และมีการหล่อลื่นในช่องคลอดได้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นแล้วนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เลยนะคะ

 

เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา: www.medicalnewstoday.com
ภาพประกอบ: www.freepik.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก