ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-มีประโยชน์อย่างไร-พบมากที่ไหน.jpg

กวาวเครือ ที่พบในประเทศไทยนั้นมี 4 ชนิด คือ

  1. กวาวเครือขาว (Pueraria mirifica Airy Shaw et Suvatab) เป็นไม้เถา ขึ้นกับต้นไม้ หรือเลื้อยไปบนดิน ก้านใบหนึ่งมี 3 ใบ ใบเล็กกว่าชนิดแดง หัวคล้ายมันแกว การใช้ทำยาให้เลือก หัวแก่ เอามีดปาดดูจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม เนื้อเปราะมีเส้นมาก
  2. กวาวเครือแดง (Butea superba) เมื่อสะกิดเปลือกหัวจะมียางสีแดงคล้ายเลือดไหลออกมา เมื่อใช้ทำเป็นยา ชนิดแดงแรงกว่าชนิดขาว
  3. กวาวเครือดำ (Mucuna macrocarpa Wall.) ลำต้นและเถาเหมือนกวาวเครือแดง แต่ใบและหัวมีขนาดเล็กกว่า มียางสีดำ ใช้ทำเป็นยามีฤทธิ์แรงมาก ขนาดที่ใช้จึงน้อยมาก
  4. กวาวเครือมอ ทุกส่วน ต้น เถา ใบ หัว เหมือนกับชนิดดำ แต่เนื้อในหัวและยางมีสีมอ ๆ

 

ประโยชน์ของกวาวเครือที่กล่าวไว้ ในตำรายาไทยหลวงอนุสารสุนทร ได้กล่าวถึงสรรพคุณต่าง ๆ ดังนี้

  • เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุ ใช้ได้ทั้งหญิงและชาย (คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน)
  • ทำให้กระชุ่มกระชวย
  • ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นกลับเต่งตึงมีน้ำมีนวล
  • ช่วยเสริมอก กระตุ้นเต้านมขยายตัว โดยเฉพาะกวาวเครือขาว
  • ช่วยทำให้เส้นผมที่หงอกกลับดำ และเพิ่มปริมาณเส้นผม
  • แก้โรคตาฟาง ต้อกระจก
  • ทำให้ความจำดี
  • ทำให้มีพลังการเคลื่อนไหวการเดินเหินจะคล่องแคล่ว
  • ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยทำให้รับประทานอาหารอร่อย

นอกจากนี้ ในการใช้กวาวเครือขาวเพื่อประโยชน์ทางยานั้น ควรมีการศึกษาข้อมูลอย่างแน่ชัด เพราะจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะกวาวเครือที่กำลังได้รับความนิยม คือ กวาวเครือขาวนั้นมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่พบในเพศหญิง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ดังนั้น การใช้ประโยชน์ทางยา จึงไม่ควรใช้ในปริมาณมาก ๆ และติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงได้ คือ ในเพศหญิงจะทำให้เต้านมโตเกินไป เต้านมแข็งเป็นก้อน และทำให้เป็นเนื้องอก หรือมะเร็งที่เต้านมได้ ส่วนเพศชายจะมีเยื่อหุ้มที่อัณฑะหนาตัวขึ้น และนำไปสู่การเป็นมะเร็งที่อัณฑะได้

ส่วนแหล่งที่พบกวาวเครือนั้น ส่วนใหญ่จะพบในป่าเต็งรัง ป่าผลัดใบผสมป่าใบ ป่าเบญจพรรณ ป่าก่อเชิงเขาหินปูน ริมห้วย หรือลำธารที่มีน้ำไหลตามฤดูกาล และมักจะมีหินปูน ทับทราย หรือดินลูกรังผสมอยู่ พบมากในภาคเหนือลงมาจนถึงเทือกเขาตะนาวศรีในภาคตะวันตก และในแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ ทางฝั่งขวาของแม่น้ำป่าสัก จากจังหวัดเลยลงมาจนถึงจังหวัดลพบุรี สระบุรี และนครราชสีมา

 

ภาพประกอบจาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th


1.jpg

ฝ้า เป็นปัญหาทางผิวหนังที่พบได้บ่อย มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน หรือสีน้ำตาลเข้ม ส่วนมากจะขึ้นที่บริเวณใบหน้าส่วนที่ถูกแสงแดดมาก ๆ เช่น หน้าผาก โหนกแก้มทั้งสองข้างและดั้งจมูก นอกจากนี้ อาจพบได้ที่คอ และแขนด้านนอก มักเป็น 2 ข้างเท่า ๆ กัน บางคนอาจมีรอยดำที่หัวนม รักแร้ ขาหนีบ หรืออวัยวะเพศร่วมด้วย พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในระหว่างตั้งครรภ์ และในวัย 30 – 40  ปีขึ้นไป

 

ประเภทของฝ้า

ฝ้ามี 2 ชนิด คือ 1) แบบตื้น (Superficial type)  ลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด ขึ้นเร็ว หายเร็ว รักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อน ๆ และยากันแดด 2) แบบลึก (Deep type) ลักษณะเป็นสีม่วง ๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัดเจน ไม่หายขาด การทายาฝ้าอ่อน ๆ และยากันแดดพอทำให้ดีขึ้นได้

 

การรักษาฝ้าด้วยสมุนไพร

ไม่มีสมุนไพรที่รักษาฝ้าได้ แต่มีสมุนไพรที่ช่วยป้องกันและลดการเกิดฝ้า ดังนี้

  1. ว่านหางจระเข้ ช่วยลดการอักเสบเนื่องจากแดด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า
  2. ขมิ้นชันและขมิ้นอ้อย ช่วยบำรุงผิวให้สดใส ลดริ้วรอย รักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวหนังอักเสบ ฟื้นฟูสภาพผิว
  3. ว่านสากเหล็ก ช่วยทำให้ผิวขาวสดใส กัดฝ้า ควรใช้แต่พอดี เพื่อความเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละท่าน
  4. แตงกวา แก้หน้าเป็นฝ้า โดยหั่นเป็นแว่นบาง ๆ ใช้แปะไว้ให้ทั่วใบหน้า
  5. หัวไชเท้า หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ถูบริเวณที่เป็นฝ้า เช้าและเย็น วันละ 2 ครั้ง ช่วยแก้หน้าเป็นฝ้าได้
  6. แครอท ช่วยบำรุงผิว มีคุณสมบัติในการช่วยดูดซับแสง UV และกระชับรูขุมขน
  7. ไพล แก้ผิวหนังอักเสบ บำรุงผิว

อย่างไรก็ตาม ฝ้าเป็นสิ่งที่รักษาให้หายจนผิวเนียนเรียบเสมอกันไม่ได้ แต่ทำให้ผิวค่อย ๆ จางลงจนเกือบเป็นปกติได้ วิธีที่ดีที่สุด คือ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า ที่สำคัญ คือ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด อย่าถูกแดดมาก (เวลาออกกลางแจ้ง ควรใส่หมวก หรือกางร่ม) ควรหลบแสงไฟแรง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม และเครื่องสำอาง พักผ่อนให้เพียงพอและอย่าให้อารมณ์เครียด

 

ภาพประกอบจาก: www.lovepik.com


-มีประโยชน์อย่างไร.jpg

ว่านชักมดลูก หรือว่านทรหด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma xathorrhiza จัดอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกับขมิ้นชัน และส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ทางยา คือ เหง้า หรือหัว จากการทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์ พบว่า ว่านชักมดลูกออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่พบมากในเพศหญิง แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า

 

ดังนั้น การนำมาใช้ประโยชน์ทางยาจึงเหมาะกับสตรีวัยหมดประจำเดือน สตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ สตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก หรือสตรีหลังคลอดบุตร เพราะมีสรรพคุณทางยาตามที่มีการบันทึกไว้ในตำรายาไทยว่า ว่านชักมดลูกเมื่อมีการนำมาฝานตากแดดให้แห้ง นำไปบดเป็นผง ปรุงเป็นยาทั้งในรูปแบบยาเดี่ยว หรือยาตำรับ แก้มดลูกพิการ แก้มดลูกปวดบวม ชักมดลูกให้เข้าอู่ในสตรีหลังคลอดบุตร ขับน้ำคาวปลา แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย แก้ริดสีดวงทวาร แก้มะเร็ง และแก้ฝีต่าง ๆ นอกเหนือจากการรับประทานเป็นยาแล้ว ก็ยังมีสตรีบางกลุ่มที่นิยมทานว่านชักมดลูกเพื่อประโยชน์ในเรื่องความสวยความงาม บำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง

 

ผลข้างเคียงจากการรับประทานว่านชักมดลูก

หากใช้ในปริมาณที่สูง หรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ คือ มีเลือดออกในช่องคลอด มีอาการปวดท้อง และจากการศึกษาทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่า สารสกัดจากว่านชักมดลูกนั้นจะมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำดี และเกลือน้ำดี ส่งผลให้ลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลได้ จากฤทธิ์ในการกระตุ้นการหลั่งน้ำดี จึงไม่ควรใช้ในผู้ที่มีปัญหาท่อน้ำดีอุดตัน หรือเป็นนิ่วในถุงน้ำดี และเนื่องจากออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศ รายใดที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวกับการเจริญ หรือการก่อกลายพันธุ์ของเนื้อร้าย เช่น มะเร็ง ซีสต์ หรือเนื้องอก จึงไม่ควรที่จะรับประทานยาที่ปรุง หรือสกัดจากว่านชักมดลูก เพราะอาจจะส่งผลให้อาการของผู้ป่วยรุนแรงมากขึ้นก็ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาดังกล่าวควรปรึกษาผู้รู้ หรือแพทย์ก่อน

 

ภาพประกอบจาก: www.medherbguru.gpo.or.th


-และมีอันตรายหรือไม่.jpg

การอบสมุนไพร เป็นการนำสมุนไพรหลาย ๆ ชนิดมารวมกัน ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย และสมุนไพรรักษาตามอาการ นำมาต้มจนเดือด เพื่อให้ไอน้ำน้ำมันหอมระเหย และสารระเหยต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ในสมุนไพร จะออกมาสัมผัสถูกผิวหนังทำให้มีผลเฉพาะที่ และเมื่อสูดดมเข้าไปกับลมหายใจ จะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ

 

ประโยชน์ของการอบสมุนไพรมีดังนี้

  1. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น คลายความตึงเครียด
  2. ช่วยชำระล้าง และขับของเสียออกจากร่างกาย
  3. ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น บรรเทาอาการปวดเมื่อย
  4. ช่วยทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น ช่วยบำรุงผิวพรรณ บรรเทาอาการคัน รักษาผดผื่น
  5. บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ โรคผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรงและไม่ติดเชื้อ อาการปวดบวม เหน็บชา ลมพิษ โรคหืด ยอก โรคเกาต์ และอัมพฤกษ์ เป็นต้น
  6. ช่วยทำให้น้ำหนักร่างกายลดลงได้ชั่วคราว
  7. บรรเทาอาการปวดประจำเดือนที่ไม่มีไข้ร่วม และหญิงหลังคลอดบุตร ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น
  8. เป็นการส่งเสริมสุขภาพ อาจใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

 

อันตรายจากการอบสมุนไพร อาจพบปัญหาต่าง ๆ ดังนี้

  1. การอบสมุนไพรในห้องที่ทึบและแคบ จะส่งผลให้ร่างกายเกิดการขาดออกซิเจนในการหายใจ ซึ่งจะมีอันตรายต่อสุขภาพถึงขั้นเสียชีวิตได้
  2. ระยะเวลาการอบสมุนไพร ถ้านานเกินไปอาจส่งผลให้ร่างกายเกิดการช็อกได้ เนื่องจากร่างกายสูญเสียเหงื่อและน้ำในปริมาณสูง
  3. การติดเชื้อโรค เมื่ออบสมุนไพรร่วมกับผู้ป่วยโรคติดต่อร้ายแรง เช่น วัณโรค

 

เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายจากการอบสมุนไพร

ผู้มีปัญหาดังต่อไปนี้จึงไม่ควรอบสมุนไพร

  1. มีไข้สูง (มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) เพราะร่างกายอ่อนแอ ส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย
  2. โรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด
  3. โรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต หัวใจ หอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายในระยะรุนแรง หรือรายที่มีความดันโลหิตสูง
  4. สตรีมีประจำเดือน ร่วมกับมีอาการไข้และปวดศีรษะร่วมด้วย
  5. มีการอักเสบจากบาดแผลต่าง ๆ
  6. อ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานใหม่ ๆ
  7. มีอาการปวดศีรษะชนิดเวียนศีรษะ คลื่นไส้

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


-edit-1.jpg

การใช้ยาสมุนไพรแล้วเกิดอาการแพ้พบน้อยมาก เนื่องจากสมุนไพรมีผลข้างเคียงน้อย ถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกใช้สมุนไพรที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐานทั้งในส่วนของสมุนไพรเดี่ยว และสมุนไพรตำรับ แต่ถ้ามีการเลือกใช้สมุนไพรที่ไม่มีคุณภาพ หรือใช้ในปริมาณที่สูง หรือใช้ไม่ถูกกับอาการของโรค มีการนำมาใช้เชิงความสวยความงาม หรือเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศในปริมาณมาก ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน

 

ซึ่งอาการที่จะปรากฏให้เห็นและสังเกตได้ด้วยตนเอง เช่น มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ตาอาจบวมปิด ริมฝีปากเจ่อ หรือผิวหนังเป็นดวงสีแดง ๆ ถ้ามีอาการแพ้รุนแรงอาจจะมีอาการอาเจียน หูอื้อ ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง ประสาทรับรู้ทำงานผิดปกติ ถ้ารับประทานยาสมุนไพรแล้วมีอาการดังกล่าว ต้องพบแพทย์ทันที

 

เมื่อถามว่าใครจะรับผิดชอบ

ต้องถามก่อนว่ายาสมุนไพรนั้นได้มาจากแหล่งใด ถ้ายาที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด ระบุสถานที่ผลิต แหล่งผลิต เราก็สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้ แต่การใช้ยาสมุนไพรอาจจะขึ้นกับตัวบุคคลด้วย เพราะบางคนก็ทานได้ บางคนก็เกิดอาการแพ้ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเจาะลึกลงไปอีก และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ สิ่งที่ควรจะกระทำก่อนที่จะซื้อยาสมุนไพรมารับประทาน เราต้องมีหลักการเลือกซื้อยาสมุนไพรเช่นเดียวกับยาแผนปัจจุบัน คือ เลือกซื้อยาที่มีการจดทะเบียนรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ระบุไว้ข้างกล่องบรรจุภัณฑ์ เพราะการที่จะวางยาสมุนไพรจำหน่าย หรือโฆษณาได้ในท้องตลาดนั้น ต้องมีการไปขอขึ้นทะเบียนยากับทางหน่วยงานดังกล่าวก่อนทั้งสิ้น นอกจากนั้น บรรจุภัณฑ์ต้องมีมาตรฐาน ไม่มีรอยบุบ รอยรั่ว ส่วนประกอบ หรือส่วนผสมทุกอย่างต้องมีการระบุไว้ข้างฉลากยาอย่างชัดเจน เช่น ยาสมุนไพรที่มีเหล้าผสมหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทาน เป็นต้น และถ้ามีการปรุงยาใช้เอง เราต้องยึดหลักการเลือกใช้ยาสมุนไพรอย่างปลอดภัยดังนี้

  1. ใช้ให้ถูกต้องกับต้น สมุนไพรหลายชนิดจะมีชื่อพ้อง หรือชื่อซ้ำกันมาก แต่ละภาค หรือแต่ละท้องถิ่นอาจจะเรียกชื่อแตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นพืชชนิดเดียวกัน แต่บางครั้งชื่อเหมือนกันแต่ก็อาจจะคนละชนิดก็ได้ ดังนั้น ควรจะเลือกใช้สมุนไพรให้ถูกกับต้นจริง ๆ
  2. ใช้ให้ถูกส่วน พืชสมุนไพรแต่ละชนิดไม่ว่าจะเป็นลำต้น ใบ ราก ดอก หัว เปลือกต้น ผล จะมีฤทธิ์ในการรักษาโรคแตกต่างกัน จึงต้องใช้ให้ถูกส่วน
  3. ใช้ให้ถูกขนาด สมุนไพรหากใช้น้อยไปก็ไม่ได้ผล ใช้มากไปก็อาจเกิดอันตรายได้
  4. ใช้ให้ถูกวิธี สมุนไพรใช้ได้ทั้งแบบสด แห้ง ดองกับเหล้า หรือทำเป็นชาชง จึงควรใช้ให้ถูกวิธี เพื่อจะทำให้ได้ผลการรักษาดีขึ้น
  5. ใช้ให้ถูกกับโรค เพื่อให้ผลการรักษาได้ดีและมีประสิทธิภาพ

 

ภาพประกอบจาก: www.freepik.com


.jpg

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง มีสาเหตุมาจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีความสำคัญกับร่างกาย คือ ถ้าเรารับประทานอาหารเข้าไป เมื่อมีการเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสแล้วจะมีอินซูลิน เป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าไปสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานใช้ในการดำเนินชีวิต แต่เมื่อร่างกายขาดอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ไม่ดี ร่างกายก็ไม่สามารถใช้น้ำตาลที่เกิดจากการกินอาหารเข้าไปได้ ส่งผลให้มีน้ำตาลในเลือดสูง และเกิดโรคเบาหวานตามมา การตรวจเบาหวานแพทย์แผนปัจจุบันจะใช้วิธีเจาะเลือด

 

อาการที่มักเกิดกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือ

  1. มีการปัสสาวะบ่อยในเวลาดึก เนื่องจากมีน้ำตาลในเลือดมากจึงมีการปัสสาวะบ่อย ทำให้สูญเสียน้ำในร่างกายตามมา ทำให้หิวน้ำบ่อย และปัสสาวะมีมดมาตอมด้วย
  2. มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด เนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ จะมีการย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนออกมา
  3. กินเก่ง หิวเก่ง และมีอาการอื่น ๆ ร่วม เช่น คันตามผิวหนัง ถ้าแผลมีการติดเชื้อ จะหายยาก
  4. ตามีอาการพร่ามัว และอาจมีอาการอาเจียน หรือชาตามร่างกายร่วมด้วย

 

ในส่วนของการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาโรคเบาหวานนั้น ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดในการรักษาโรคเบาหวานให้หายขาด แต่จะมีข้อมูลศึกษาในเรื่องของการนำสมุนไพรมาใช้ เพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งสมุนไพรที่ช่วยลดน้ำตาล และมีงานวิจัยยืนยัน ได้แก่

  • เพ็ญโฉม พึ่งวิชา, 2530 ศึกษาฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของรากเตยหอมในหนูที่เป็นเบาหวาน พบว่า ถ้าหนูเป็นเบาหวานปานกลาง เมื่อให้น้ำสกัดรากเตยหอมในขนาด 2 และ 4 กรัม/กก.น้ำหนักหนู ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยออกฤทธิ์หลังป้อนยา 1 ชั่วโมง และคงฤทธิ์อยู่นานไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง และถ้าหนูเป็นเบาหวานรุนแรงจะออกฤทธิ์หลังป้อนยา 2 – 3 ชั่วโมง ด้วยน้ำสกัดรากเตยหอม 4 กรัม/กก.น้ำหนักหนู
  • วิฑิต อรรถเวชกุล และชูสิทธิ์ พาณิชวิทิตกุล, 2522 ศึกษาฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของต้นไมยราบ พบว่า น้ำสกัดจากไมยราบ ขนาด 20 กรัม ต่อกระต่าย 1 ตัว จะออกฤทธิ์ลดน้ำตาลได้เท่ากับ Tolbutamide ขนาด 100 มก./กก.น้ำหนักกระต่าย และยาเริ่มออกฤทธิ์ 1 ชั่วโมง หลังได้รับยาและฤทธิ์สูงสุดในชั่วโมงที่ 5 ระดับน้ำตาลในเลือดสูงสุด 51.3 % ระยะเวลาที่ออกฤทธิ์มากกว่า 5 ชั่วโมง
  • ถวัลย์ จรดล และบัณฑิต ธีราทร, 2541 ศึกษาฤทธิ์รักษาโรคเบาหวานของผักตำลึง พบว่า น้ำยาสกัดตำลึงสามารถออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกับ Tolbutamide แต่มีฤทธิ์ประมาณครึ่งหนึ่งของยาชนิดนี้ จะออกฤทธิ์หลังได้รับยา 1 ชั่วโมง และฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดนี้มีอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง

 

 


-รักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือ..jpg

หญ้าปักกิ่ง หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หญ้าเทวดา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdannia loriformis (Hassk.) Rolla Rao et Kammathy จัดอยู่ในวงศ์ Commelinaceae ในด้านสรรพคุณทางยาจากข้อมูลยืนยันทางด้านวิทยาศาสตร์ พบว่า ในน้ำคั้นสดหญ้าปักกิ่งมีสารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี1บี) ที่มีชื่อทางเคมีว่า 1B-O-D-glucopyranosy 1-2-(2,-hydroy-6,-ene-cosamide)-sphingosine (G1b) ซึ่งเมื่อนำไปทดลองทางห้องปฏิบัติการ จะแสดงฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งไม่ให้เซลล์มะเร็งก่อกลายพันธุ์ และรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

 

นอกจากนี้ ยังต้านการก่อกลายพันธุ์ของยีน ที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่าง ๆ ได้ ซึ่งการออกฤทธิ์ดังกล่าวไม่แสดงถึงการรักษาโรคมะเร็งให้หายขาด และเมื่อแพทย์แผนปัจจุบันได้นำมาร่วมกับการรักษาก็พบว่า มีผลในด้านของการลดความรุนแรงของโรค ลดอาการข้างเคียงจากการใช้รังสีบำบัด หรือเคมีบำบัด และการ กลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็ง นอกจากนั้น ในคนที่มีภาวะร่างกายปกติก็สามารถรับประทานเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ ในขณะสภาวะร่างกายอ่อนแอ เช่น เป็นไข้

 

การนำหญ้าปักกิ่งมาให้ประโยชน์ทางยา ควรมีข้อควรพึงระวัง คือ

  1. เราต้องรู้จักต้นของหญ้าปักกิ่งจริง ๆ เพราะหญ้าปักกิ่งเป็นพืชล้มลุก อาจเกิดร่วมกับหญ้าชนิดอื่น ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันได้ เช่น หญ้ามาเลเซีย ลักษณะทั่วไปที่สามารถสังเกตได้ คือ ใบจะอวบน้ำกว่า ใบนุ่ม หลังใบมีขนอ่อน ๆ โคนต้นทรงกระบอก สีออกขาว ดอกออกเป็นช่อที่ยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกสีฟ้า หรือสีม่วงอ่อน ส่วนที่เก็บมาปรุงเป็นยา คือ ทั้งต้น หรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นและใบ)
  2. ระยะเวลาในการเก็บที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้ให้หญ้าปักกิ่งมีการสร้างสารจี1บีครบ คือ ถ้าปลูกด้วยการชำกิ่งต้องเก็บเมื่อหญ้าปักกิ่งมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป และถ้าปลูกด้วยเมล็ดต้องมีอายุ 5 เดือนขึ้นไป
  3. ก่อนนำมาคั้นเอาน้ำ ควรมีการล้างให้สะอาดปราศจากการเจือปนของดินและสารอื่น นอกจากนั้น การปลูกหญ้าปักกิ่งที่ถูกหลักจึงไม่ควรใช้สารเคมีอื่น ๆ เช่น การใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารกำจัดวัชพืช
  4. ปริมาณในการดื่ม คือ ดื่มครั้งละ 30 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็นก่อนอาหาร ซึ่งขนาดที่แนะนำเหมาะสำหรับผู้ใหญ่น้ำหนักเฉลี่ย 60 กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นเด็กก็ควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง
  5. ระยะเวลาของการรับประทาน ควรรับประทานเป็นรอบ โดยรับประทาน 7 วันแล้วหยุด 4 วัน สลับกันไปแล้วจึงรับประทานรอบใหม่ ระยะเวลาก็ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการใช้ยา คือ
    • กรณีเสริมภูมิต้านทานในผู้ป่วยร่างกายปกติไม่ได้เป็นมะเร็ง ไม่ควรเกิน 6 – 8 สัปดาห์
    • กรณีลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัด หรือเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง การรับประทานยาควรหยุดเป็นช่วง ๆ เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน
    • กรณีป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง และการกลับเป็นซ้ำ ควรทานติดต่อกันประมาณ 1 ปี พร้อมทั้งตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง

ข้อควรระวัง อย่าใช้เกินขนาดและติดต่อกันนานหลายปี เพราะจะส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้

ภาพประกอบจาก: th.wikipedia.org


.jpg

มะกล่ำตาหนู (Abrus precatorius L.) หรือเรียกชื่ออื่น ๆ ว่า กล่ำเครือ กล่ำตาไก่ มะกล่ำเครือ มะแค็ก ไม้ไฟ มะกล่ำแดง เกมกรอม ชะเอมเทศ ตากล่ำ มะขามเถา จัดอยู่ในวงศ์ Papilionaceae มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ คือ เป็นพืชเดียวกับตระกูลถั่ว มีผลเป็นฝัก คล้ายถั่วลันเตา ภายในฝักมี 3 – 5 เมล็ด เมล็ดกลมรียาวขนาด 6 – 8 มม. เมล็ดมีเปลือกแข็ง สีแดงสดเป็นมัน มีสีดำตรงขั้วประมาณ 1 ใน 3 ของเมล็ด

 

มะกล่ำตาหนูมีประโยชน์และสรรพคุณ คือ

  • ใบ ต้มดื่มแก้เจ็บคอ แก้หลอดลมอักเสบ แก้ตับอักเสบ กระตุ้นน้ำลาย ขับปัสสาวะ แก้ปวดบวมตามข้อ ปวดตามแนวเส้นประสาท ตำพอกแก้ปวดบวม แก้อักเสบ แก้จุดด่างดำบนใบหน้า
  • เถาและราก ต้มดื่มแก้เจ็บคอ แก้หืด แก้ไอแห้ง แก้หลอดลมอักเสบ กัดเสมหะ แก้ร้อนใน แก้อาเจียน แก้ดีซ่าน ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ
  • เมล็ด มีส่วนประกอบสำคัญที่เป็นพิษสูง จึงควรใช้เป็นยาภายนอก โดยการบดผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้กลากเกลื้อน ฆ่าพยาธิผิวหนัง แผลมีหนอง บวมอักเสบ และใช้เป็นยาฆ่าแมลง

การใช้ประโยชน์ของมะกล่ำตาหนู ควรระมัดระวังในส่วนของการใช้เมล็ด เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง ห้ามใช้เป็นยาภายใน หรือกินเข้าไปเด็ดขาด แค่ปริมาณการกิน 1 – 2 เมล็ด หรือขนาด 0.01 มก./น้ำหนักตัว 1 กก. ก็ทำให้เสียชีวิต และหากเข้าตาก็สามารถทำให้ตาบอดได้ หรือถ้าโดนผิวหนังก็จะทำให้เกิดอาการผื่นคัน เพราะมีสารสำคัญที่มีอยู่ในเมล็ด คือ abrin สารดังกล่าวถ้าอยู่ข้างนอกจะสลายตัวง่ายเมื่อถูกความร้อน แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีความคงทนในระบบทางเดินอาหาร เมื่อรายใดที่มีการกินเมล็ดเข้าไปแล้ว สารพิษจะเข้าไปทำลายระบบต่าง ๆ ในร่างกาย คือ

    • ระบบหลอดเลือด ทำให้เกิดการช็อก ความดันโลหิตต่ำ และหัวใจเต้นเร็ว
    • ระบบเลือด มีผลต่อเม็ดเลือดแดงโดยตรง ทำให้โลหิตตกตะกอนและสลายตัว
    • ระบบทางเดินหายใจ ทำให้ขาดออกซิเจนและเกิดอาการขาดเลือด ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเขียว
    • ระบบประสาทส่วนกลาง มีอาการชักกระตุก ประสาทหลอนและมือสั่น
    • ระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดอาการอักเสบที่ลำไส้และกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง
    • ระบบปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ปัสสาวะเลย เกิดจากไตหรือท่อปัสสาวะถูกทำลาย
    • ระบบตา คอ หู จมูก ตับ มีเลือดออกที่เรตินา เกิดการระคายเคืองที่ตา
    • ระบบเมตาบอลิซึม เกิดอาการอาเจียน ท้องเสีย มีเลือดออก ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น ขนาดที่รับประทาน สภาวะร่างกาย และอายุขัยของผู้รับพิษ ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยต้องรีบนำส่งแพทย์ทันที

 

ภาพประกอบจาก : en.wikipedia.org


.jpg

ฟ้าทะลายโจร หรือที่เรียกอีกอื่น ๆ ว่า น้ำลายพังพอน หญ้ากันงู ฟ้าสาง ฟ้าสะท้าน เขยตายยายคลุม สามสิบดี หรือเมฆทะลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ Andrographis paniculata วงศ์ ACANTHACEAE ประโยชน์ทางยาในการรักษาโรคนั้น เนื่องจากเป็นยาที่มีรสขมเย็น จึงมีสรรพคุณทางยาไทย คือ แก้ไข้ ช่วยขับเสมหะหลังการผ่าตัดทอนซิลอักเสบ แก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ฝี แก้แผลบวมอักเสบ และใช้เป็นยาบำรุง ส่วนที่นำมาใช้ทำยา คือ ส่วนของใบและต้น และช่วงเวลาที่เก็บมาใช้เป็นยานั้น ต้องเก็บใบและลำต้นเหนือดิน ในช่วงที่เริ่มมีดอกซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือน แล้วนำมาล้างให้สะอาดและเก็บใบไว้ในที่แห้ง และการเก็บรักษาฟ้าทะลายโจรไม่ควรเก็บนานเกิน 1 ปี เพราะสารสำคัญต่าง ๆ จะหายไป

 

นอกจากนั้น เพื่อยืนยันสรรพคุณยาไทย ได้มีการทดลองทางห้องปฏิบัติการแล้ว และพบว่ามีสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของฟ้าทะลายโจร คือ กลุ่มแลคโตน ได้แก่ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) และอนุพันธ์ เมื่อนำสารสกัดแอลกอฮอล์จากใบไปทดลองในสัตว์ทดลอง พบว่า สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง ฝี และเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ที่ทำให้ท้องเสียได้ พร้อมทั้งมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้เล็กในสัตว์ทดลองได้อีกด้วย

และเมื่อนำสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรมาศึกษาทางคลินิก (ในคน) ผลการศึกษาสามารถรักษาอาการหวัด เช่น อาการอ่อนเพลีย หนาวสั่น เจ็บคอ ทอนซิลอักเสบ และปวดกล้ามเนื้อให้ลดลงได้ และเมื่อนำไปรักษาผู้ป่วยอาการท้องเสียเทียบกับยาแผนปัจจุบัน (เตตราไซคลีน) พบว่า ให้ผลการรักษาดีกว่า แต่ในกลุ่มผู้ป่วยอหิวาตกโรค พบว่า อาการไม่ดีกว่าการใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวก็เป็นที่ยืนยันได้แล้วว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาโรคหวัดและอาการท้องเสียได้จริง

 

ขนาดและวิธีใช้ยาฟ้าทะลายโจรเป็นยานั้นมี 3 รูปแบบ คือ

  1. นำใบฟ้าทะลายโจรสด 1 – 3 กำมือ ต้มกับน้ำ 10 – 15 นาที ดื่มก่อนอาหารวันละครั้ง
  2. ใช้ใบแห้งบดเป็นผงให้ละเอียด ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นยาลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 เซนติเมตร ผึ่งลมให้แห้งเก็บไว้ในขวดแห้งและมิดชิด รับประทานครั้งละ 3 – 6 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
  3. ในส่วนของยาฟ้าทะลายโจร (500 มก.) ทานครั้งละ 2 – 4 แคปซูล วันละ 4 ครั้งหลังอาหารและก่อนนอน


ข้อควรระวัง  
ผู้ที่ทานยาฟ้าทะลายโจรแล้วเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย เวียนศีรษะ ปวดเอว แสดงว่าแพ้ยา ให้หยุดยาทันทีแล้วเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น

 

ภาพประกอบจาก: www.lovepik.com


.jpg

เปราะหอม (Kaempferia galangal Linn) จัดอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae มีชื่ออื่น ๆ ว่า ว่านหอม ว่านตีนดิน (ภาคเหนือ) ว่านแผ่นดินเย็น (เชียงใหม่) ชู (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หอมเปราะ ว่านชะมดเปราะ (ภาคกลาง) เปราะป่า (ภาคใต้) ซึ่งเปราะหอมจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ เปราะหอมขาวและเปราะหอมแดง เปราะทั้ง 2 ชนิดจะแตกต่างกันที่สีของใบและดอกเท่านั้น การนำเปราะไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางอาหารและยา ดังนี้

 

ประโยชน์ด้านอาหาร

เหง้าเปราะหอมเป็นเครื่องเทศ โดยใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแกง เพื่อดับกลิ่นคาวปลา และใช้เป็นส่วนผสมในส่าเหล้า ส่วนใบรับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก

 

ประโยชน์ด้านยา

เปราะทั้ง 2 ชนิด มีสรรพคุณทางยาดังนี้

เปราะหอมแดง

  • ใบ  รสเผ็ดร้อน แก้เกลื้อนช้าง
  • ดอก  รสหอมร้อน แก้ตาอักเสบ ตาแฉะ
  • ต้น  รสเผ็ดขม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • หัว  รสเผ็ดขม ขับเลือดและหนองให้ตก แก้ไอ แก้ลมพิษ แก้ผื่นคัน แก้บาดแผล แก้เสมหะ เจริญไฟธาตุ แก้ลงท้อง


เปราะหอมขาว

  • ดอก  รสหอมร้อน แก้เด็กนอนสะดุ้ง ร้องไห้ ตาเหลือก ตาช้อนเหลือบดูสูง
  • ต้น  รสเผ็ดขม ขับเลือดเน่าของสตรี
  • หัว  รสเผ็ดขม แก้โลหิต ซึ่งเจือด้วยลมพิษ สุมศีรษะเด็กแก้หวัดคัดจมูก รับประทานขับลมในลำไส้ แก้เสมหะ เจริญไฟธาตุ แก้ลงท้อง

 

ภาพประกอบจาก: www.pixabay.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก