ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

banner-mammogram-breast-ultrasound.jpg


“ก้อนที่เต้านม” ภัยใกล้ตัวที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้

หากถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตสำหรับทุกคนคืออะไร คำตอบคงแตกต่างกันออกไป แต่เชื่อว่าหนึ่งในนั้นคงมีเรื่องของ “สุขภาพ” เป็นอันดับต้น ๆ แน่นอน ถึงกับมีประโยคที่สะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพที่อาจส่งผลต่อชีวิต เช่น “การมั่งมีที่แท้จริงคือการมีสุขภาพที่ดี ไม่ใช่เงินทอง” หรือ “เงินซื้อสิ่งของได้ แต่ซื้อเวลาและสุขภาพที่ดีไม่ได้” 

โดยปกติแล้ว เราทุกคนไม่มีใครอยากเจ็บป่วยไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด เพราะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่โรคภัยบางครั้งก็มาหาเราอย่างไม่ทันตั้งตัวแม้จะดูแลเป็นอย่างดี ทั้งชายหญิงสามารถเผชิญโรคต่าง ๆ ได้เหมือนกัน แต่มีบางโรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย หรือพบได้บ่อยในเพศหญิง เดี๋ยวหมอจะอธิบายให้ฟังเพิ่มเติมค่ะ

โรคที่พบได้บ่อยในเพศชาย ได้แก่ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก เช่นเดียวกับสุขภาพผู้หญิงที่มักสัมพันธ์กับระบบเจริญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ช่องคลอด มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ รวมถึงฮอร์โมนเพศหญิงที่สลับกันขึ้นสูงและลดต่ำลงตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่ช่วงวัยเจริญพันธุ์จนถึงช่วงหลังวัยเจริญพันธุ์ 

และปัญหาที่พบบ่อยสุดคือ “ก้อนที่เต้านม” ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูง และไม่ได้เกิดกับเพศหญิงเท่านั้น เพศชายก็อาจเผชิญโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน โรคของเต้านมที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งเต้านม ที่เกิดจากก้อนเนื้อบริเวณเต้านม และเราจะทราบได้อย่างไรว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นปัญหาที่พบบ่อย และพบว่า มีเพียง 80 – 90% ที่เป็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำชนิดไม่ร้ายแรง แต่อีก 10 – 20% ที่พบว่าเป็นก้อนเนื้อชนิดรุนแรงสามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 ของผู้ที่ป่วยเลยทีเดียว 


“มะเร็งเต้านม”

พบผู้ป่วยรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก ตรวจก่อน เจอก่อน มีผลลัพธ์การรักษาที่ดี โดยข้อมูลของ Global Cancer 2020 พบว่า มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่สูงถึง 2.26 ล้านคนต่อปี ถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่ต่อปีสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังพบว่า มะเร็งเต้านมถือเป็นมะเร็งที่พบรายใหม่มากที่สุดในผู้หญิงไทยที่ 22,158 รายต่อปี และในจำนวนนี้มีการเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว 

สำหรับสาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด  ยุทธวิธีในการควบคุมที่สำคัญจึงเป็นการตรวจคัดกรอง เพื่อหามะเร็งเต้านมให้เจอตั้งแต่ระยะแรก ๆ และทำการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี มีภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตต่ำ ที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะไม่สูง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังการรักษา 

หากอยากรู้ว่า ก้อนเนื้อแบบไหนอันตราย เบื้องต้นเราสามารถตรวจคัดกรองด้วยตัวเองโดยการสังเกตและคลำก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นประจำ หากพบความผิดปกติสามารถไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลวินิจฉัย 

ในการตรวจเต้านมด้วยตัวเองนั้น หลายคนอาจสงสัยว่า คลำเจอก้อนแบบไหนแล้วควรรีบไปปรึกษาแพทย์ ในความเป็นจริงเมื่อคลำเจอก้อนที่เต้านม ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้แม้ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ โดยก้อนเนื้อที่มีความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นมะเร็งเต้านมจะมีลักษณะแข็งกว่าก้อนเนื้อธรรมดา และมักมีอาการอื่นๆ ให้สังเกตพบด้วย เช่น มีการดึงรั้งของผิวหนังและหัวนม หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะเริ่มฉุกคิดและหันมาใส่ใจร่างกายตัวเองมากขึ้นนะคะ และถ้าใครสนใจเข้ารับการตรวจเต้านม โดยอาจจะเป็นผู้ที่คลำเจอความผิดปกติของเต้านม เจ็บเต้านม รูปทรงเต้านมเปลี่ยน สนใจตรวจสุขภาพเต้านม รวมไปถึงผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมหรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ทีมงานขอแนะนำ “ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ซึ่งเป็นศูนย์เต้านมที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาเต้านมอย่างครบวงจร โดยทีมแพทย์และทีมสหวิชาชีพที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการดูแลรักษาโรคทางเต้านมโดยเฉพาะ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน การตรวจวินิจฉัยและการรักษา เช่น การตรวจคัดกรองด้วยวิธีแมมโมแกรมระบบดิจิตอลและอัลตราซาวนด์ และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (กรณีมีความเสี่ยงสูง MRI) 

Mammogram-Breast-Ultrasound

การตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอลเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องตรวจแมมโมแกรม วิธีนี้รวดเร็ว สะดวก และให้ภาพที่มีรายละเอียดสูงกว่าการตรวจแบบเอกซเรย์ทั่วไป ส่วนการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ เป็นการสร้างภาพภายในเต้านมด้วยคลื่นความถี่ทำให้เห็นภาพในมุมมองที่ยากต่อการมองเห็นด้วยวิธีการตรวจแมมโมแกรม สนใจคลิก แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

ส่วนการรักษามะเร็งเต้านม ที่บำรุงราษฎร์มีศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านเต้านม และมีประสบการณ์ในการผ่าตัดโรคที่เกี่ยวกับเต้านม ทั้งที่เป็นมะเร็งและกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับเต้านมทั้งหมด รวมถึงการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม เพื่อคงคุณลักษณะของความเป็นผู้หญิงและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยไว้ และยังมีการประชุม Multidisciplinary Team Breast Conference ของทีมแพทย์และทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อการรักษาที่ตรงจุด แม่นยำ เกิดผลข้างเคียงน้อย ให้ผลการรักษาที่ดีขึ้น 

Mammogram-Breast-Ultrasound

ทั้งนี้ ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีการบริการในระดับศูนย์ที่มีความเป็นเลิศด้านการแพทย์ (Center of Excellence) ใน 3 ลักษณะ 
  • Fast Diagnosis ทราบผลตรวจวินิจฉัยภายใน 72 ชั่วโมง ว่าเป็นหรือไม่เป็นมะเร็ง นับตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ส่งเจาะชิ้นเนื้อ และพบศัลยศาตร์แพทย์เต้านม มากกว่า 98% (Eusoma Benchmark 95%) 
  • Fast Treatment เป็นความรวดเร็วในการรักษาของผู้ป่วย โดยที่ศูนย์ฯ สามารถวางแผนการรักษา และส่งเข้ารับการผ่าตัดได้ภายใน 1 สัปดาห์
  • Excellent Outcome มีผลลัพธ์ด้านการรักษา และความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม โดยมีอัตราการรอดชีวิตสูง อัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ
    • การติดเชื้อหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมต่ำ
    • อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องผ่าตัดซ้ำภายใน  72 ชั่วโมง น้อยกว่า 1%
    • สามารถเคลื่อนไหวข้อไหล่ หัวไหล่หลังผ่าตัดได้ทันที* เพื่อให้ข้อไหล่มีการเคลื่อนไหวได้ มากกว่า 90 องศา เพื่อทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น วิธีที่จะป้องกันมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลาม คือการตรวจคัดกรองด้วยตัวเองอยู่เสมอและหากพบความผิดปกติก็ควรรีบเข้ารับการวินิจฉัย เพราะหากพบเร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้ 

 

ถึงเวลาที่ “เต้านม” ต้องได้รับการดูแล…เป็นพิเศษ
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เต้านม รพ.บำรุงราษฎร์ โทร 02 011 3680
หรือสนใจซื้อแพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม คลิก
แพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมระบบดิจิตอล และอัลตราซาวด์

 

 

 


-Insole-เพื่อสุขภาพ.jpg

แผ่นรองรองเท้า (Insole) คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า แผ่นรองรองเท้าหรือ Insole นั้นคือ ส่วนประกอบของรองเท้าที่สัมผัสกับฝ่าเท้าของผู้สวมใส่โดยตรง หากซื้อรองเท้ามาจะอยู่ในส่วนของพื้นรองด้านในที่ส่วนใหญ่สามารถดึงออกได้ ซึ่งจะไม่ใช่พื้นรองเท้าชั้นกลางหรือ Midsole ที่แต่ละแบรนด์จะพัฒนาเป็นเทคโนโลยีของตัวเอง เช่น พื้นชั้นกลางแบบ Air sole, Lunar lon หรือ Boost เป็นต้น

ประเด็นก็คือว่า ฝ่าเท้าของแต่ละคนมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน หากแผ่นรองรองเท้าไม่เหมาะสมกับฝ่าเท้าผู้สวมใส่ โอกาสที่จะได้สัมผัสเทคโนโลยีที่แตกต่างกันของพื้นรองเท้าแต่ละแบรนด์ได้จริง ๆ ก็อาจเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยังอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวกับฝ่าเท้าภายหลังการสวมใส่ไประยะหนึ่งได้ เช่น ปวด ตึง บวมหรืออักเสบ ส้นเท้า ฝ่าเท้า เอ็นร้อยหวาย นิ้วหัวแม่เท้าผิดรูป รองช้ำ เป็นต้น จนถึงขั้นอุบัติเหตุขณะใช้งาน

 

ฝ่าเท้าคนมีกี่แบบ แบบไหนบ้างที่ควรใส่แผ่นรองรองเท้า หากไม่ใช้แผ่นรองมีข้อเสียอย่างไร

แยกตามประเภทของอุ้งเท้าได้เป็น 3 ประเภทหลัก อุ้งเท้าสูง (High arch) อุ้งเท้าปกติ (Normal arch) และอุ้งเท้าแบน (Flat arch) ทั้ง 3 แบบต้องเลือกใช้แผ่นรองที่แตกต่างกัน โดยปัญหาหลัก ๆ จะอยู่กับคนที่อุ้งเท้าแบน กับอุ้งเท้าสูง

ประเภทของอุ้งเท้า

ภาพจาก : www.luckyonegroup.net

 

ในรายที่อุ้งเท้าแบน หากไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาคือ เจ็บอุ้งเท้า ส้นเท้า ฝ่าเท้าด้านในบวม อาจกดเจ็บ ฝ่าเท้าแข็ง รู้สึกชา ปวดเอ็นร้อยหวาย น่อง ขา เคลื่อนไหวทรงตัวบนเท้าลำบาก บางรายมีอาการเจ็บหลัง

ในรายที่อุ้งเท้าสูง หากไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาคือ เจ็บฝ่าเท้าด้านหน้า ส้นเท้าซึ่งต้องรับน้ำหนักแทนส่วนกลางของอุ้งเท้า ข้อเท้าผิดรูป ข้อเท้าพลิกง่าย ข้อเท้าเสื่อม เป็นต้น

แผ่นรองรองเท้า ถือเป็นการแก้ปัญหาเบื้องต้นสำหรับคนที่มีฝ่าเท้าแบนและฝ่าเท้าสูง ทุกคนสามารถตรวจเช็กฝ่าเท้า และเลือกแผ่นรองรองเท้าที่เหมาะสมได้เลย

 

แผ่นรองรองเท้า (Insole) มีกี่ประเภท ใครเหมาะกับแบบไหน

แบ่งกว้าง ๆ ให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้สวมใส่ ได้ 2 แบบ คือ

  • แผ่นรองรองเท้าแบบทั่วไป เน้นประโยชน์ในการเพิ่มความหนาให้กับพื้นรองเท้าเดิม เพื่อซับแรงและให้สวมใส่ได้กระชับเท้ามากขึ้น ทั้งนี้รองเท้าเดิมอาจใส่มานานจนพื้นบางลง หรือเสริมพื้นรองเท้าใหม่ให้กระชับมากขึ้น โดยทั่วไปปรับใช้ได้กับรองเท้าหลายประเภทที่มีรูปทรงใกล้กัน
  • แผ่นรองรองเท้าเพื่อช่วยแก้หรือบรรเทาอาการจากความผิดปกติของฝ่าเท้า กรณีนี้จะคล้ายกับอุปกรณ์เสริมทางการแพทย์ โดยต้องมีการตรวจเช็กความผิดปกติของฝ่าเท้า และเลือกแผ่นรองรองเท้าที่ช่วยแก้ความผิดปกติดังกล่าว โดยบางรายอาจต้องรักษาอาการผิดปกติกับแพทย์ด้วยแผ่นรองเท้าประเภทนี้ แบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
    • แบบสำเร็จรูป แผ่นรองแบบนี้จะทำมาสำเร็จรูป โดยปรับองศาส้นเท้า กลางเท้า ปลายเท้า ให้เป็นไปตามอุดมคติของสรีระเท้า โดยมักจะทำการเสริมอุ้งเท้าขึ้นมา ซึ่งเหมาะกับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้มีปัญหาเท้ามาก รวม ๆ แล้วจะช่วยปรับสมดุลของแรงกระแทก ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการต่าง ๆ จากความผิดปกติของฝ่าเท้าได้
    • แบบทำเฉพาะคน แผ่นรองแบบนี้ มักมีแพทย์เป็นผู้ดูแล สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของฝ่าเท้าอย่างชัดเจน และต้องแก้ไข ซึ่งมีทั้งแบบใช้การหล่อและไม่หล่อฝ่าเท้า แต่จะได้แผ่นรองที่ใช้งานได้ตามสรีระของแต่ละคน.
      สำหรับแผ่นรองรองเท้าเฉพาะคน ยังมีแบบที่ทำสำหรับผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน รูมาตอยด์ ผู้ที่กระดูกผิดรูป ซึ่งมีปัญหาเรื่องการกดทับ ทำให้ต้องใช้แผ่นรองที่นุ่ม ยืดขยาย ตามขนาดของเท้า เพื่อลดแรงกด ลดอาการปวด ได้

ลักษณะเท้า 2

ภาพจาก : www.amazon.com

 

แผ่นรองรองเท้าที่ซื้อสำเร็จรูปตามร้านขายทั่วไป เป็นแบบไหน ทำไมราคาแตกต่างกันมาก

เบื้องต้น ถ้าเป็นแผ่นรองที่ติดมากับรองเท้าที่ซื้อ หรือแผ่นรองสำเร็จรูปที่หาซื้อได้ตามร้านขายทั่วไป มักจะเป็นแผ่นรองรองเท้าแบบทั่วไป ที่เน้นการเพิ่มความหนา ซับแรงกระแทกให้กับผู้สวมใส่ ราคาขายมักจะสูงต่ำตามประเภทของวัสดุ ความคงทนและแบรนด์สินค้า

และถ้าเป็นแผ่นรองรองเท้าแบบที่ช่วยแก้ปัญหาความผิดปกติของฝ่าเท้า จะต้องตรวจเช็กเท้าเพื่อตรวจสอบความผิดปกติ แล้วถึงดูรูปแบบของแผ่นรองรองเท้าที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว ในกรณีที่ผิดปกติไม่มาก สามารถใช้แผ่นรองแบบสำเร็จรูป ซึ่งมีความแตกต่างกันไปในรายละเอียดของแต่ละแบรนด์  กรณีที่ฝ่าเท้าผิดปกติมากหรือสำหรับเท้าผู้ป่วย ควรใช้แบบที่ทำขึ้นเฉพาะคน และมักจะมีการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เฉพาะทาง

 

แผ่นรองรองเท้า (Insole) ใช้ได้กับรองเท้าทุกประเภทไหม

โดยทั่วไปแผ่นรองรองเท้า สามารถปรับใช้ได้กับรองเท้าที่มีพื้นลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น สามารถใช้กับรองเท้ากีฬา รองเท้าคัทชู รองเท้าเดินเล่นทั่วไป  ยกเว้นรองเท้าที่มีส้นหรือรองเท้าที่มีรูปทรงแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามบางแบรนด์อาจทำแยกเพื่อกิจกรรมหรือกีฬาแต่ละประเภท แนะนำให้แจ้งวัตถุประสงค์ และลักษณะในการใช้งาน เพื่อเลือกรูปแบบแผ่นรองที่สอดคล้องกับความต้องการให้มากที่สุด

ลักษณะเท้า 3

ภาพจาก : www.freepik.com

 

มีไหมที่วัดความผิดปกติฝ่าเท้าอย่างถูกต้อง แต่ซื้อแผ่นรองรองเท้าแบบปรับแก้อาการไปแล้ว ยังไม่ดีขึ้น

เบื้องต้น ต้องแน่ใจว่าแผ่นรองที่ซื้อนั้นเป็นแบบปรับแก้อาการฝ่าเท้าผิดปกติ ไม่ใช่แผ่นรองรองเท้าแบบทั่วไป สังเกตง่าย ๆ ต้องมีการตรวจเช็กฝ่าเท้าถึงความผิดปกติด้วยเครื่องมือที่มีมาตรฐาน เมื่อมั่นใจและซื้อแผ่นรองที่ถูกต้องไปใช้งานจริง ในบางรายอาจยังไม่สบายเท้าเหมือนที่คิดไว้ หรือแก้ปัญหาไม่ได้ 100% กรณีนี้ต้องกลับไปยังร้านที่ซื้อ เพื่อตรวจสอบและอาจต้องมีการปรับแก้ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแผ่นรองแบบปรับแก้อาการแต่ละแบรนด์อาจมีวิธีการที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรซื้อจากร้านที่สามารถเป็นที่ปรึกษา ช่วยแก้ปัญหาภายหลังการใช้งานในเบื้องต้นได้

 

วัสดุและเทคโนโลยีที่ใช้ทำแผ่นรองรองเท้ามีอะไรบ้าง  แต่ละแบบอายุการใช้งานนานแค่ไหน

ในเกรดปานกลางถึงสูง หรือแผ่นรองประเภทที่แก้อาการ แต่ละแบรนด์ก็จะใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป วัสดุพื้น ส้นเท้า ฝ่าเท้าอาจเป็นคนละแบบกันก็ได้ วัสดุหลัก ๆ ที่นิยมใช้ก็จะมีโฟม คาร์บอน โพลิเมอร์ ซิลิโคนเจล ไมโครไฟเบอร์ รูปแบบหรือเทคนิคก็แตกต่างกัน เช่น มีโครงสร้างแบบรังผึ้ง  แบบมีผ้าไนล่อนหุ้มโครงพื้น แบบปรับระดับความสูงของส้นเท้า อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้ เช่น ใช้วิ่ง ใช้ออกกำลังกาย หรือใช้เดินทั่วไป รวมถึงความถี่ในการใช้ แต่เบื้องต้น 1 – 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลด้วย

  

หลักในการเลือกซื้อแผ่นรองรองเท้าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

ตอบแบบกระชับเลย อันดับแรก ต้องรู้ก่อนว่าฝ่าเท้าเราเป็นแบบไหน มี 3 แบบเบื้องต้น มีอุ้งเท้าสูง อุ้งเท้าปกติ หรืออุ้งเท้าแบน ถามว่าจะรู้ได้อย่างไร แนะนำให้ไปหานักกายภาพบำบัดทั้งที่เป็นคลินิกหรือโรงพยาบาล หรือไปร้านที่ขายแผ่นรองรองเท้าที่มีเครื่องสแกนเท้า มีเครื่องวัดเท้าที่บอกได้ว่า ฝ่าเท้าเราเป็นแบบไหน

ลักษณะเท้า 4

ภาพจาก : www.freepik.com

 

ต่อมาก็ต้องรู้วัตถุประสงค์ในการใช้ เช่น ใช้เดินทั่วไป ใช้เล่นกีฬา และถ้าสามารถลงลึกไปถึงกีฬาประเภทไหนด้วยจะดี เนื่องจากแผ่นรองรองเท้าบางแบรนด์มีแยกตามประเภทกีฬาอีก เช่น วิ่ง เตะฟุตบอล ขี่จักรยาน เป็นต้น เพราะแผ่นรองที่เหมาะกับกีฬาแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน พื้นคอร์ด พื้นหญ้า บันไดจักรยาน ถ้าเป็นไปได้ถือรองเท้ากีฬาที่จะใช้งาน หรือสเปคของรองเท้ารุ่นนั้นติดไปด้วยก็ได้ เพราะบางทีอาจต้องพิจารณาแผ่นรองประกอบกับพื้นจริง (Midsole) ของรองเท้าด้วย

มาถึงจุดที่เรารู้ประเภทเท้า วัตถุประสงค์ในการใช้ อาจจะเหลือไม่เกิน 3 แบรนด์ ก็ดูงบประมาณของเรา เทคโนโลยี ความทนทาน และบริการหลังการขาย  เช่น หากไปใส่แล้วมีปัญหามีทางเลือกในการปรับเสริมเติมแต่งอะไรได้บ้างไหม เป็นต้น

 

ฝากข้อแนะนำเรื่องการดูแลเท้าในชีวิตประจำวัน

ฝาก 3 ข้อ คือ กระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณเท้า เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ป้องกันข้อต่อต่าง ๆ ยึด ด้วยการยืดเหยียดเท้าเป็นระยะ ไม่แช่หรือกดทับอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ นวดผ่อนคลายบ้างตามโอกาส สำหรับคนที่มีฝ่าเท้าผิดปกติมากควรปรึกษานักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เฉพาะทาง หากต้องเล่นกีฬาใดเป็นประจำควรเลือกประเภทรองเท้า รวมถึงพื้นรองรองเท้าให้สอดคล้องกันด้วย

 

แนะนำแผ่นรองรองเท้า CurrexSole

CurrexSole เราเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาความสมดุลของเท้า ช่วยลดการบาดเจ็บ โดยได้รับการยอมรับจากแพทย์และนักกายภาพบำบัดทั้งในและต่างประเทศ โดยได้มีการจดสิทธิบัตรในเรื่องของเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งมีเรื่องของ Auto fit heel cup, Triple layer, Dynamic arch technology, Metatarsal cushioning

ที่เมืองไทยเรามีรุ่น Runpro สำหรับกีฬาวิ่งและเดินในชีวิตประจำวัน รุ่น Bikepro สำหรับกีฬาปั่นจักรยาน รุ่น Activepro สำหรับกีฬาบอลทุกชนิด แบดมินตัน เทนนิส ฟิตเนส และรุ่น Edgepro สำหรับกีฬากอล์ฟ

 

ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ คุณกิตติ์ธเนศ อัศวธนะสิริกุล Managing Director บริษัท ไซคลอลิค จำกัด
ติดต่อ Facebook : CurrexSoleThailand
แหล่งที่มา :
1. คู่มือดูแลสุขภาพเท้า กรมแพทย์ทหารเรือ
2. เท้าแบน ปัญหาของนักวิ่ง เว็บไซต์ www.samitivejhospitals.com
ภาพประกอบ : www.freepik.com


.jpg

เพิ่มฮอร์โมนเพศชายให้เป็นหนุ่มสุขภาพดี หนุ่มคนไหนอยากมีสุขภาพแข็งแรง เป็นหนุ่มนาน ๆ มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ต้องตาติดใจสาว ๆ เพียงทำตาม 10 วิธีนี้ที่จะทำให้ฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเทอโรน) ของคุณเพิ่มขึ้นค่ะ

1. ออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก

ซึ่งจะช่วยให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายออกมานานถึง 48 ชั่วโมง นั่นหมายถึงว่าคุณจะมีฮอร์โมนเพศชายมาช่วยดูแลร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญไขมันดีขึ้น สร้างกล้ามเนื้อดีขึ้นไปถึง 48 ชั่วโมง ต่อการยกน้ำหนัก 1 ครั้งเลย สำหรับการยกที่ดีคือการยกที่ใช้กล้ามเนื้อมากกว่ามัดเดียว อย่างเช่น ท่าที่ต้องใช้ทั้งหลัง แขน อก ไหล่ แต่ก็ควรระวังคือ ควรเริ่มการยกจากน้ำหนักน้อย ๆ แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ยกครั้งแรกก็ใช้น้ำหนักมากเลย เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้

 

2. ดูกีฬา

อาจจะงงว่าทำไมดูกีฬาแล้วฮอร์โมนเพศชายถึงสูงขึ้นได้ นั่นก็เพราะว่าการดูกีฬาโดยเฉพาะได้เชียร์ทีมที่คุณชอบจะทำให้ร่างกายเราตื่นเต้น มีความสุข และทำให้ฮอร์โมนเพศชายพุ่งสูงขึ้นประมาณ 15 – 20% ยิ่งถ้าทีมที่คุณเชียร์ชนะ และทำให้คุณเกิดอาการดีใจและมีความสุขมาจากจิตใต้สำนึก ฮอร์โมนเพศชายจะเพิ่มสูงขึ้นเกิน 20% แต่ถ้าทีมแพ้จะเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 10% แต่แม้ว่าทีมที่คุณเชียร์จะแพ้หรือชนะ ยังไงก็ยังช่วยเพิ่มฮอร์โมนให้คุณอยู่ดีนี่นา

 

3. กินไขมันดี

ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน ที่พบมากในน้ำมันมะกอกน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน และไขมันโอเมก้า 3 6 9 ที่พบในปลา ถั่ว อโวคาโด้ ไขมันพวกนี้สามารถกินเยอะได้ไม่อ้วน และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนเพศชาย ถ้ามีเยอะร่างกายก็ยิ่งพัฒนา และซ่อมแซมตัวเองได้ดี

 

4. กินไข่

คนชอบคิดว่ากินไข่แล้วไม่ดี มีคอเลสเตอรอลเยอะ ซึ่งไม่จริง เพราะคอเลสเตอรอลจากไข่เป็นคอเลสเตอรอลดี (HDL) ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพื่อใช้สร้างและซ่อมแซมร่างกาย แล้วในไข่ยังมีธาตุสังกะสี วิตามินบี ที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชายด้วย

5. ออกกำลังกายแค่พอเหมาะและผ่อนคลายบ้าง

บางคนชอบคิดว่าเราต้องออกกำลังกายเยอะ ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวอ้วน เดี๋ยวสุขภาพไม่ดี เดี๋ยวไม่มีกล้าม นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด ในทางกลับกันถ้าเราไม่พัก เอาแต่ออกกำลังกายหนักๆ ทุกวันร่างกายเราก็จะเครียด มีพลังงานไม่เพียงพอต่อการสร้างกล้ามเนื้อ และยังทำให้ฮอร์โมนไม่มีเวลาเพียงพอในการสร้างตัว ซ้ำร้ายยังทำให้ร่างกายเครียดเข้าไปอีก เพราะต้องรีบซ่อมแซม ดังนั้น อย่าออกกำลังกายมากเกินไป ควรออกประมาณ 3 – 5 ครั้ง/สัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว

 

6. นอนให้พอ

เคยมีพิสูจน์มาแล้วว่าคนที่นอนไม่พอฮอร์โมนจะตกไป 30% แล้วก็จะทำให้เก็บสะสมไขมันมากขึ้น ดังนั้น ควรนอนให้พอ ผู้ใหญ่อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ที่สำคัญควรนอนให้เป็นเวลา อย่างเคยนอน 3 ทุ่ม แล้วตื่น 6 โมงเช้า ก็ควรทำให้เป็นประจำ ซึ่งการนอนในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว

 

7. กินกะหล่ำ

ผลการวิจัยจาก Rockefeller University ในนิวยอร์กบอกไว้ว่าในกะหล่ำจะมีสารอินโด 3 คาร์มินอล (indole 3-carbinol) หรือ IC3 ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ขึ้นมาได้เยอะแล้วผลการวิจัยยังบอกอีกว่าคนที่เพิ่งได้รับสาร IC3 จะทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงลดลงไปถึง 50% ซึ่งสำหรับสาว ๆ แล้วอาจจะไม่ดี แต่สำหรับผู้ชายถือว่าดีมากเชียวละ

8. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

หรือดื่มให้น้อยที่สุด เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติโซนหลั่งออกมามากเป็นพิเศษ ซึ่งปกติแล้วฮอร์โมนคอร์ติโซนนี้จะหลั่งออกมาตอนที่เราเครียด แล้วส่งผลทำให้เกิดการเก็บไขมันมากขึ้น แถมยังลดกล้ามเนื้อ ดังนั้น ถ้าอยากมีกล้ามโต ๆ ไว้อวดใคร ๆ ก็ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ได้แล้ว

9. กินวิตามินอีเยอะ ๆ

วิตามินอีเป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่คอยปกป้องเซลล์ไม่ให้เกิดความเสียหาย และถ้ากินวิตามินอีในปริมาณ 1,300 IU/วันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมากการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น

10. โดนแดดบ้าง

อย่ามัวกลัวตัวดำแล้วหลบแดดอยู่แต่ในบ้าน ออกไปข้างนอกให้ร่างกายสัมผัสแดดบ้าง อย่างน้อยสักวันละ 15 – 20 นาที นอกจากจะได้รับวิตามินดีแล้ว ยังจะทำให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นมา 120 – 200% แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นแดดตอนเที่ยงนะ แดดช่วงเช้าหรือเย็นจะดีที่สุด อาจจะเลือกวิธีโดนแดดด้วยการวิ่งตอนเช้าก็จะทำให้สุขภาพดีควบคู่ด้วย

เห็นไหมล่ะ 10 วิธีการเป็นหนุ่มสุขภาพดีพลังแมนเกินร้อยไม่ยากอย่างดีคิด ทำแล้วรับรองว่าคุณจะกลายเป็นหนุ่มตลอดกาลที่สุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยากเลย

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : toptenthailand.(2007).10 อันดับ วิธี บิ้วด์ฮอร์โมนเพศชายให้เป็นหนุ่มสุขภาพดี แก่ช้า ไม่ลงพุง.19 มิถุนายน 2558.
แหล่งที่มา : http://www.toptenthailand.com/detail.php?id=20131127153606999
ภาพประกอบจาก : http://www.riskcomddc.com


.jpg

ใครว่าผู้ชายไม่เสี่ยงกระดูกพรุน คุณผู้ชายหลายคนเข้าใจว่าปัญหาเรื่องกระดูกพรุน กระดูกบาง เป็นปัญหาของคุณผู้หญิงเท่านั้น ทั้งนี้เพราะโดยธรรมชาติแล้วร่างกายของผู้หญิง จะมีแคลเซียมสะสมในร่างกายต่ำกว่า อีกทั้งคุณผู้หญิงจะมีกระดูกพรุนในวัยทองที่ชัดเจน แต่ความคิดนั้นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะผู้ชายเองก็มีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนมากขึ้นตามวัยที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับผู้หญิงค่ะ

 

ผู้ชายทำงานหนัก ชอบกินดื่มเที่ยว และโหมดออกกำลังกาย

ผู้ชายเองก็มีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนมากขึ้นตามวัยที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับผู้หญิง เพียงแต่ปัญหาของโรคกระดูกพรุนของผู้ชายจะเกิดในอายุที่มากกว่าผู้หญิง อย่างไรก็ตาม พบว่าปัจจุบันผู้ชายส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อกระดูกพรุนมากยิ่งขึ้น เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ นอนดึก ขาดการออกกำลังกาย อีกทั้งยังดื่มกาแฟและดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ทำให้อุบัติการณ์กระดูกพรุนที่เกิดขึ้นในผู้ชายสูงขึ้นกว่าในอดีตมากขึ้นกว่าเท่าตัว เพราะฉะนั้นคุณผู้ชายจึงควรหันมาใส่ใจกับสุขภาพกระดูก ป้องกันไว้ในวันนี้ก่อนที่จะสายเกินแก้ไข

 

ยิ่งทำงานหนัก กระดูกยิ่งอ่อนแอ

ผู้ชายทำงานหนักต้องใช้ร่างกายสูง ซึ่งการใช้ร่างกายหนักเกิน อาจทำให้ร่างกายไม่เหลือเวลาในการสร้างเสริม คุณผู้ชายจึงต้องมั่นใจว่าสารอาหารที่รับประทานเพื่อสร้างเสริมกระดูกมีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายต่อวัน และควรพักผ่อนให้เพียงพออยู่เสมอ

  • หลีกเลี่ยงการนอนดึกและนอนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง แมกนีเซียมสูง และวิตามินดีสูง เพื่อมั่นใจว่าได้รับสารอาหารครบถ้วนในแต่ละวัน
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มกาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ซึ่งมักมีกาเฟอีนสูง ทำให้ร่างกายเสียแคลเซียมได้ง่าย แนะนำให้ดื่มนม หรือน้ำผลไม้ ซึ่งเสริมสร้างพลังงานได้ไม่แพ้กัน

 

ผู้ชายกิน ดื่ม เที่ยว ยิ่งเสี่ยง

หนุ่ม ๆ กลุ่มนี้ จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมาก ข้อควรแนะนำคือพยายามลดพฤติกรรมเหล่านี้ให้มากที่สุด จะเป็นการช่วยเพิ่มอายุกระดูกให้แข็งแรง แต่หากหลายคนที่ยังรู้สึกว่าต้องมีบ้างสำหรับการเข้าสังคม ก็สามารถปฎิบัติตามข้อแนะนำดังนี้ได้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหากระดูกที่จะเกิดขึ้น

  • การดื่ม นอนดึก ทำให้ร่ายกายเสียแคลเซียม แร่ธาตุ
  • และวิตามินดีได้ง่ายอยู่เสมอ จึงควรพยายามจัดวันสำหรับวิถีชีวิตแนวนี้ ให้เหลือเพียงสุดสัปดาห์เท่านั้น วันธรรมดาควรงดดื่ม เข้านอนเร็วเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กระดูก และร่างกายทั้งหมดเสื่อมเร็วกว่าปกติ
  • รับประทานอาหารแคลเซียมสูงเป็นประจำ หรือรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมโดยเฉพาะวันที่ดื่ม เพื่อมั่นใจว่าได้รับสารอาหารครบถ้วน และป้องกันการสูญเสียแคลเซียมได้บ้าง
  • จัดเวลาออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นให้กระดูกเสริมสร้างตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ผู้ชายชอบออกกำลังกายหนักก็ต้องดูแลกระดูก

สำหรับผู้ชายที่รักการออกกำลังกายว่าการรักในการออกกำลังกายสำหรับผู้ชายที่ฟิตร่างกายอยู่เสมอ ถือว่ามีกำลังเสริมในการบำรุงกระดูกมากกว่าคนไม่ออกกำลังกายไปอีกขั้น ทั้งนี้เพราะฮอร์โมนในร่างกายที่หลั่งจากการออกกำลังกาย จะมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกอยู่เสมอ แต่อย่างไรก็ตามพบว่าคนออกกำลังกายหนัก อาจมีความต้องการแคลเซียม แมกนีเซียม รวมทั้งวิตามินดีสูงกว่าคนทั่วไป อีกทั้งอาจเสียแร่ธาตุสำคัญของกระดูกไปกับการเผาผลาญหนักและสูญเสียเหงื่อในปริมาณมาก

ข้อแนะนำในการบำรุงกระดูกให้แข็งแรงเสมอ มีดังนี้

  • มั่นใจว่าได้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงอยู่เสมอในแต่ละวัน
  • หากทานอาหารโปรตีนสูง หรือให้อาหารเสริมโปรตีน ร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ร่างกายอาจมีการเสียแคลเซียมมากขึ้น ทำให้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ควรรับประทานแคลเซียมเสริมร่วมด้วย
  • ออกแดดอย่างน้อยวันละ 15 นาที เพื่อให้ได้รับวิตามินดีสูง เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่เร่งการเผาผลาญ เนื่องจากจะทำให้ร่างกายเสียแคลเซียมได้มากกว่าปกติ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าลืมว่าร่างกายต้องการการพักผ่อนเพื่อเสริมสร้างเนื้อกระดูก

แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุดคือ การมีโภชนาการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกระดูกที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการต่อวันจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงนอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นคือ วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุอื่น ๆ ได้แก่ สังกะสี ทองแดง แมงกานีส เป็นองค์ประกอบรวมที่ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพกระดูกด้วยเช่นกัน และรวมไปถึงสารสกัดเข้มข้นอัลฟัลฟา ที่นอกจากจะมีแร่ธาตุแล้ว ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิดที่ให้ผลดีต่อเมตาบอลิซึมของสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูกอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงควรหันมาเสริมแคลเซียมและสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกตั้งแต่วัยเด็กหรือหนุ่มสาวในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละช่วงวัยอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อปกป้องกระดูกให้มีสุขภาพดีในระยะยาว

จากข้อมูลข้างต้น เห็นได้ว่าผู้ชายที่ดูร่างกายแข็งแรงบึกบึนนั้นก็เสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพกระดูกไม่แพ้ผู้หญิงการป้องกันต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ในขณะที่ยังมีกระดูกแข็งแรงอยู่ อย่ารอให้กระดูกมีปัญหา เพราะถึงเวลานั้นปัญหาอาจจะสายเกินแก้ไข เพราะกระดูกอาจไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้เช่นเดิมอีก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: mhthailand.(2010).ใครว่าผู้ชายไม่เสี่ยงกระดูกพรุน. 23 ธันวาคม 2558.
แหล่งที่มา : http://www.mhthailand.com/nutrition-weight
ภาพประกอบจาก : www.foodycare.com


12-ข้อง่ายๆ-ทำต่อเนื่องสุขภาพดีเลิศ.jpg

หลาย ๆ คนมองเห็นเพื่อน ๆ หรือคนที่มีสุขภาพดี ด้วยความชื่นชม และแน่นอนว่านั่นเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เป็นแบบอย่างของคนรักสุขภาพ มาถึงคำถามที่ว่าทำอย่างไรให้ทุกคนมีโอกาสเป็นคนสุขภาพดีถึงดีเลิศได้ มาดูเรื่องง่าย ๆ ที่คนมีสุขภาพดีส่วนใหญ่ทำกัน

 

1. ทานอาหารมื้อเช้าเป็นประจำ

การรับประทานอาหารเช้า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานได้ดีตลอดทั้งวัน มีผลการศึกษาที่ระบุว่า คนวัยทำงานที่ทานอาหารเช้าเป็นประจำ จะทำงานได้คุณภาพดีตลอดทั้งวัน ขณะที่เด็กวัยเรียนที่ทานอาหารเช้าเป็นประจำ จะสามารถทำคะแนนสอบได้ดีอีกด้วย

 

2. ต้องวางแผนการกิน

การวางแผนการกินว่าควรรับประทานอะไร ตอนไหน ที่ไหน เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการกินให้เป็นประโยชน์กับร่างกายต้องกินให้ถูกหลัก รู้ประเภทของสารอาหารที่ควรได้รับ เช่น ช่วงลดน้ำหนักต้องไม่เน้นแป้งไขมัน เปลี่ยนมาเป็นโปรตีนและวิตามินนอกจากนี้การวางแผนการกินยังช่วยให้คุณประหยัดเวลา และประหยัดเงินอีกด้วย

 

3. ดื่มน้ำเปล่าอยู่เสมอ อย่างน้อยต้องให้เพียงพอ

ดื่มน้ำเปล่าอยู่เสมอ ร่างกายปกติต้องการใช้น้ำในปริมาณหนึ่ง การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงมีแต่ข้อดี รวมถึงการและช่วยลดความอ้วนอย่างไรก็ตามต้องเลี่ยงน้ำหวาน แต่ถ้าติดความหวานของน้ำ ก็ลองเติมผลไม้ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นส้ม แตงโม ในเครื่องดื่มแทน

 

4. ออกกำลังกายเป็นประจำ

คนสุขภาพดี มักจะมีพฤติกรรมการออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังเลิกงาน อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากใครยังไม่สามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยควรหาเวลายืดเส้นสายในระหว่างวัน เช่น จอดรถให้ห่างจากร้านอาหารเพื่อให้มีระยะทางเดิน ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟท์ รวมถึงการเลือกทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดเหงื่อ ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสมองตื่นตัวสดชื่นได้

 

5. ใช้โซเชียล มีเดียแต่พอดี

การติดโซเชียล มีเดีย ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ หลายๆประเทศ เช่น เกาหลีใต้จัดว่าเป็นโรคที่ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต ทางเลือกสำหรับคุณคือ วางโทรศัพท์มือถือ แล้วเปลี่ยนมาใช้เวลากับการเดินเล่น อ่านหนังสือเล่มโปรด หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพแทน

 

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ควรเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาสมองให้ยังคงดีอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร การหาเวลาเข้าอบรมทักษะต่างๆ เช่น การเขียนอย่างสร้างสรรค์ การถ่ายรูป การดูนก หรือฝึกเรียนภาษาใหม่ๆ ล้วนเป็นวิธีกระตุ้นให้สมองทำงาน และป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในอนาคตได้

 

7. ไม่สูบบุหรี่

คนสุขภาพดี ต้องไม่สูบบุหรี่ การตัดสินใจเลิกบุหรี่จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยร่างกายคนเราจะมีระบบซ่อมแซมที่รวดเร็ว สมมุติคุณสูบบุหรี่มวนสุดท้ายแล้วตัดใจเลิก ใน 20 นาทีต่อมา ร่างกายจะตอบสนองด้วยการมีอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตที่ดีขึ้นในทันที

 

8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับให้เพียงพอของแต่ละคน เป็นสิ่งจำเป็น นอกจากการช่วยเรื่องสมาธิและความจำที่ดีขึ้นแล้ว ในระยะยาวยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและช่วยให้สมองมีความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆด้วย

 

9. บริหารกล้ามเนื้อเป็นประจำ

คนสุขภาพดี มักจะมีเวลาในการเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยให้ร่างกายสมส่วน หัวใจทำงานแข็งแรง และมวลกระดูกหนาแน่นขึ้น

 

10. รับแสงแดดอยู่เสมอ

กิจกรรมกลางแจ้งที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีจากแสงแดด ซึ่งมีประโยชน์ต่อกระดูก หัวใจและอารมณ์ มีผลศึกษาพบว่า การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ช่วยให้มีร่างกายและจิตใจที่สงบ ทำให้มีความสุขมากกว่าคนในเมือง ที่แวดล้อมไปด้วยตึกระฟ้า

 

11. รักษาสมดุลให้ร่างกาย

ไม่ว่าจะในวัยหนุ่มสาว หรือวัยผู้ใหญ่ คนสุขภาพดีมักจะมีกิจกรรมที่เป็นการฝึกฝนทักษะในการรักษาความสมดุลของร่างกาย อาทิ โยคะ ไทเก็ก ไทชิ ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บของร่างกายจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน รวมถึงการลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม กระดูกหัก อีกทั้งยังเสริมสร้างความมั่นใจด้วย

 

12. มีสมาธิเพียงพอ

คนสุขภาพดีมักจะมีการฝึกสมาธิ หยุดแสงสีเสียงไว้ชั่วคราว มีผลศึกษาของการฝึกสมาธิว่า หากร่างกายได้ทำสมาธิติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสมองในส่วนของอารมณ์ การเรียนรู้ และความทรงจำที่ดีขึ้น ทั้งนี้ฝึกสมาธิไม่ได้จำกัดแค่การนั่งสมาธิ แต่หมายรวมถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความจดจ่อ ไม่เลื่อนลอย

 

การเป็นคนมีสุขภาพที่ดีไม่ใช่เรื่องยากเลย ทั้ง 12 ข้อข้างต้นล้วนแต่เป็นคำแนะนำให้มีกิจกรรมที่สามารถทำได้จริงในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก็ตาม หากรักตัวเอง อย่าลืมดูแลตัวเอง ให้มีสุขภาพกายและใจที่ดีเลิศอยู่ตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้คือรางวัลชีวิต ร่างกายแข็งแรง สดใส ดูเยาว์วัย ห่างไกลโรคร้าย.

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งข้อมูล : www.webmd.com
ภาพประกอบ : www.freepik.com


-หลับยาก.jpg

หลาย ๆ คนรู้สึกว่าตัวเองตื่นนอนเร็วกว่าที่เคยเมื่อตอนยังหนุ่ม ยังสาวไหม บางคนตอบว่าเคย แต่ไม่มีปัญหาอะไร แต่อีกหลายคนนอกจากการตื่นเร็วแล้ว ยังมีอาการปวดเมื่อย อ่อนล้าตามมา ยิ่งถ้าเป็นเรื้อรังปัญหายิ่งเพิ่มอีก

เป็นที่รับรู้กันว่าอายุที่มากขึ้น ร่างกายต้องการการนอนหลับน้อยลง แต่กระนั้นร่างกายก็ยังคงต้องการการนอนหลับ ระหว่าง 7 – 9 ชั่วโมงต่อวัน ในกรณีที่ระยะเวลาและคุณภาพการนอน ไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ แน่นอนว่าย่อมมีผลเสียตามมา เช่น มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงการนอนไม่พอกับการดื้อต่ออินซูลิน รวมถึงการเสื่อมสภาพของสมองและปัญหาด้านความจำ

 

สาเหตุการนอนไม่หลับ……ที่เกี่ยวกับอายุ

การอดนอน นอนไม่หลับ นอนหลับยาก ในผู้สูงอายุอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหนึ่งหรือหลายอย่าง ได้แก่

ปัจจัยทางชีวภาพ (Biological)

วงจรนาฬิกาชีวภาพของร่างกายจะกำหนดเวลาหลับตื่นให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของแต่ละคน เมื่ออายุมากขึ้น พบว่ารูปแบบการนอนของเราจะเปลี่ยนไป โดยผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะง่วงนอนตั้งแต่เย็น นั่นหมายความว่าในรายที่ปกติซึ่งใช้เวลาในการนอนหลับ 7 – 8 ชั่วโมง พวกเขาจะต้องตื่นแต่เช้า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่มีผลมากในบางคน แต่มีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง ที่การเปลี่ยนรูปแบบการนอนนี้ ทำให้พวกเขาสับสน ยุ่งเหยิง เกิดปัญหานอนไม่หลับ หลับยาก หากสะสมเป็นเวลานานจะเกิดผลเสียกับร่างกาย

ปัจจัยทางการแพทย์ (Medical)

ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะเป็นโรค ที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอน เช่น โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า โรคข้ออักเสบ ปวดเรื้อรัง การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน รวมถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งเป็นภาวะที่การหายใจเข้าออก ถูกขัดจังหวะอย่างต่อเนื่องในเวลากลางคืน หรือยาที่ใช้อยู่ เช่น ยาขับปัสสาวะเพื่อรักษาความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ที่กล่าวมาล้วนส่งผลต่อการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก เกิดอาการนอนไม่พอ เป็นต้น

ปัจจัยทางอารมณ์ (Emotional)

ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากสถานการณ์ต่างๆเช่น อยู่บ้านคนเดียว การเกษียณอายุ การสูญเสียเพื่อนสนิท ความท้าทายด้านการเงินหรือสุขภาพ ทั้งหมดสามารถทำให้นอนไม่หลับเลย แม้กระทั่งการกังวลเรื่องการนอนหลับไม่เพียงพอ ก็ส่งผลให้นอนไม่หลับหรือหลับได้น้อยลง พูดชัด ๆ การเข้านอนขณะที่กำลังมีอะไรกลุ้มใจ กังวลใจ จะไม่เอื้อต่อการพักผ่อนที่ดี

ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental)

การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม อาทิ การย้ายบ้าน การเดินทางเปลี่ยนสถานที่นอน หรืออยู่ในที่ไม่คุ้นเคย อาจทำให้คุณภาพการนอนลดลง

 

ปรับพฤติกรรม เอาชนะปัญหาการนอน

ถึงแม้ว่าเรื่องของอายุ คุณจะควบคุมไม่ได้ แต่มีบางเรื่องที่คุณสามารถปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงสุขภาพกายและสุขภาพใจ สถาบันแห่งชาติเกี่ยวกับผู้สูงอายุ (National Institute on Aging) แนะนำให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

นอนให้สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย

ตรวจติดตามจังหวะดังกล่าวให้เจอ แล้วเข้าและตื่นนอนในเวลาที่สอดคล้องและเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่เว้นแม้วันหยุดสุดสัปดาห์ โดยถ้าจะงีบหลับ ขอให้ก่อนเวลานอนปกติอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการไม่ง่วง เมื่อถึงเวลานอนจริง

ฝึกให้เป็นกิจวัตรประจำวัน

ทำอะไรที่ผ่อนคลาย ก่อนนอนให้เป็นนิสัย เช่น แช่ในอ่างอาบน้ำ โดยหลีกเลี่ยงการดูทีวีก่อนเวลานอน เพราะแสงจากทีวีมีผลต่อระดับเมลาโทนิน ฮอร์โมนจากสมองที่ช่วยในการนอนหลับ

ปรับแต่งห้องนอน

ห้องนอนควรมีไว้ใช้ 2 เรื่องเท่านั้น คือ การนอนหลับและการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นห้องนอนควรมืด เย็นและเงียบสงบ โดยควรเอาทีวีออกจากห้องนอน

ออกกำลังกาย

ร่างกายที่กระฉับกระเฉงจะช่วยให้นอนหลับดีขึ้น แต่ไม่ออกกำลังกายในช่วง สามชั่วโมงก่อนนอน เพราะร่างกายคุณจะตื่นตัว หลับยาก

กินและดื่มให้เป็น

อาหารมื้อใหญ่ คาเฟอีน แอลกอฮอล์ก่อนนอน จะทำให้คุณหลับยาก ของขบเคี้ยวเล็ก ๆ ก่อนนอนจะช่วยในการนอนหลับ ไม่แนะนำให้ดื่มมากๆในตอนเย็นหรือค่ำ เพราะจะเพิ่มโอกาสที่คุณต้องลุกไปเข้าห้องน้ำหลังจากนอน

 

การนอนหลับมีผลต่อร่างกายและอารมณ์ของเราอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลปัญหาเรื่องการนอนหลับอย่างจริงจัง หากมีปัญหาการนอน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่คุณติดต่อได้

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.everydayhealth.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com


7-นิสัยเสีย-ไม่รีบแก้แก่ตัวสุขภาพแย่แน่นอน.jpg

การเกิดมามีครบ 32 ประการ ถือว่ามีต้นทุนชีวิตที่ดี แต่พฤติกรรมการดำเนินชีวิตผิด ๆ หรือเรียกให้ง่ายว่านิสัยเสียบางอย่างหากไม่รีบแก้ นอกจากจะทำให้ทุนชีวิตที่ดีหดหายหรือมีสุขภาพแย่ลงแล้ว ยังต้องเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แล้วอาจกลับมาได้ไม่เหมือนเดิม ทีมงาน H2C ขอเชิญชวนเพื่อน ๆ ปรับแก้นิสัยเสียหลัก ๆ ที่อาจทำให้สุขภาพแย่ ตามเรื่องนี้ได้เลยค่ะ

 

หยุดทำร้ายร่างกายโดยไม่รู้ตัว

พฤติกรรมหลายอย่างในการดำเนินชีวิตทำร้ายร่างกายโดยไม่รู้ตัว เพื่อนหลายคนอาจคิดว่าร่างกายยังสบายดีอยู่ เช่น ดื่มน้ำเฉพาะเมื่อรู้สึกกระหาย โดยไม่ได้คิดว่าร่างกายต้องการน้ำอย่างต่ำวันละหลายลิตร หรือการนอนวันละ 5 – 6 ชั่วโมง เมื่อตื่นเช้ารู้สึกสมองช้า ไม่ตื่นตัว ก็ดื่มกาแฟเข้าไปกระตุ้นเพื่อให้รู้สึกไม่ง่วง หรือการไม่กินอาหารเช้า แล้วไปกินเพิ่มในมื้ออื่น ๆ ทั้งที่ร่างกายต้องการอาหารเช้าจากการที่ไม่ได้ทานอาหารมาเป็นเวลาเกือบ 8 ชั่วโมง หรือแม้กระทั่งการไม่ออกกำลังกายเพราะคิดว่า ระหว่างการทำงานมีการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ร่างกายต้องการการออกกำลังที่มีความหนักและยาวนานเพียงพอ เพื่อพัฒนาการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย การมีพฤติกรรมไม่ดีหรือนิสัยเสียบางอย่าง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหากไม่ได้รับการแก้ไข มาดูว่านิสัยเสียต่อสุขภาพหลัก ๆ มีอะไรบ้าง

 

7 นิสัยเสียหลัก ๆ ที่อาจทำให้ทุกคนมีสุขภาพแย่ลง

  • นิสัยเสียที่ 1 ไม่ให้ความสำคัญกับการกินให้ถูกโภชนาการ เมื่อพูดถึงการกินหลายๆคนมักจะนึกถึงสถานที่กิน อาหาร ของกินอร่อย ๆ เมนูขึ้นชื่อ โดยละเลยเรื่องของโภชนาการที่ถูกต้องไป นำไปสู่การมีสุขภาพที่แย่ มีสำนวนที่กล่าวว่า “You are what you eat” หรือ “กินอย่างไร ร่างกายก็เป็นอย่างนั้น” เป็นสิ่งที่จริง ไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์แต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น ใครที่ชอบกินข้าว แป้งหรือกับข้าวที่มีมันมาก ๆ ในแต่ละมื้อ อาหารเหล่านั้นจะมีคาร์โบไฮเดรตและไขมันซึ่งให้พลังงานสูง และยิ่งบางคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ร่างกายใช้พลังงานน้อยกว่าที่ได้รับจากอาหาร ก็จะสะสมในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย นานไปเข้าสู่ภาวะอ้วน ก่อให้เกิดโรคที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกหลายโรคปัจจุบันกองโภชนาการ กรมอนามัย ได้ออกข้อปฏิบัติในการกินเพื่อสุขภาพดีหรือธงโภชนาการ เน้นให้แต่ละมื้อควรมีอาหารหลักครบ 5 หมู่ ไม่กินเมนูเดิม ๆ ซ้ำซากจำเจ และที่สำคัญกินอาหารแต่ละหมู่ให้ถูกสัดส่วน ในเบื้องต้นเรียงจากมากไปน้อยจะเป็นข้าวขัดสีน้อยสลับกับแป้ง ต่อด้วยผักและผลไม้ ต่อด้วย เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว ไข่ นม ส่วนน้ำมัน น้ำตาล เกลือ กินให้น้อยสุดเฉพาะที่จำเป็นหรือหากใช้หลักการแบ่งสัดส่วนอาหารในแต่ละมื้อเพื่อสุขภาพ ก็สามารถใช้สัดส่วนง่าย ๆ คือ 2:1:1 โดย เป็นผักและผลไม้ 2 ส่วน ข้าว แป้ง ธัญพืช 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่วเหลือง ไข่ เต้าฮู้ นม รวม 1 ส่วน และลดในแต่ละมื้อ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นต้น
  • นิสัยเสียที่ 2 ไม่ดื่มน้ำหรือดื่มน้ำน้อย ร่างกายคนเราประกอบไปด้วยน้ำราว 60 – 70% ของน้ำหนักตัว โดยอยู่ทั้งในระบบไหลเวียนโลหิต และเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ น้ำมีหลายหน้าที่ ทั้งการเป็นส่วนประกอบ ควบคุมอุณหภูมิ ช่วยขับถ่ายของเสีย และอื่นๆ การขาดน้ำจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบอวัยวะต่างๆในร่างกาย โดยจะมีอาการจากน้อยไปหามาก ตั้งแต่ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ไปจนถึงปัสาวะน้อย ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น นานๆเข้าจะส่งผลให้สุขภาพแย่ลงโดยเฉลี่ยผู้ชายน้ำหนักตัวมาตรฐานควรได้รับน้ำ 3 – 4 ลิตร และผู้หญิง 2 – 3 ลิตรต่อวัน (ข้อมูลจาก NAS และ IOM) ดังนั้นควรสร้างนิสัยดื่มน้ำหลังตื่นนอน ก่อนนอน และดื่มเล็กน้อยเป็นระยะระหว่างวันให้สอดคล้องกับเพศ วัยและกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน
  • นิสัยเสียที่ 3 ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งการช่วยลดน้ำหนัก การลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ คุมน้ำตาลในเลือด ร่างกายแข็งแรง ป่วยยาก ในทางตรงข้ามหากขาดการออกกำลังกายร่างกายจะอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ยิ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือนิสัยเสียด้านอื่นๆประกอบด้วย อาจทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง เป็นต้นดังนั้นใน 1 สัปดาห์ ควรมีการออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิก แบบเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  แบบเพิ่มความยืดหยุ่นและความอ่อนตัว อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงขึ้นไป
  • นิสัยเสียที่ 4 นอนหลับน้อยกว่า 7 – 8 ชั่วโมงเป็นประจำ โดยร่างกายจะใช้เวลาในช่วงการนอนหลับ เพื่อให้ระบบอวัยวะต่างๆได้พัก ลดการทำงานเหลือไว้เฉพาะเท่าที่จำเป็น ในช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนเพื่อช่วยในการซ่อมแทรมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงการจัดระเบียบข้อมูลต่างๆในสมองด้วย หากนอนไม่พอจะทำให้สมาธิน้อย ความคิดช้า ความจำสั้น ภูมิคุ้มกันร่างกายและความต้องการทางเพศต่ำ เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า สุขภาพจะค่อย ๆ แย่ลงทั้งนี้แนะนำให้เพื่อนๆนอนคืนละ 7 – 8 ชั่วโมง และควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม โดยวงจรการนอนหลับจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่มากขึ้น
  • นิสัยเสียที่ 5 ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากหรือน้อยเกินไป น้ำหนักตัวเป็นดัชนีวัดด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยผู้ที่มีน้ำหนักตัวเหมาะสมกับวัย และได้สัดส่วนกับความสูงของตนเอง จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากโรค และมีชีวิตยืนยาว การมีน้ำหนักตัวมากหรือน้อยเกินไป จะนำไปสู่โรคหรือปัญหาสุขภาพได้ เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคข้อเข่าเสื่อม โรคความดันโลหิตสูงและอื่น ๆ เบื้องต้นเพื่อนๆสามารถดูน้ำหนักตัวที่เหมาะสมกับส่วนสูงได้จากการคำณวนค่า BMI โดยค่า BMI มากกว่า 25 ถือเป็นโรคอ้วนขั้นที่ 1 และกรณีค่า BMI น้อยกว่า 18.5 ถือเป็นผอมมาก เสี่ยงต่อการที่ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย เป็นต้น
  • นิสัยเสียที่ 6 สูบบุหรี่ ดื่มสุราหรือน้ำอัดลม สำหรับการดื่มสุรา พบว่าผู้ที่ติดสุราหนักจะมีอายุสั้นกว่าบุคคลทั่วไประหว่าง 10-14 ปี และยังเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคนอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ซึมเศร้า สมองพิการ มะเร็งตับ และโรคเรื้อรังอื่นๆ รวมถึงอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับสำหรับการสูบบุหรี่ องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าควันบุหรี่เต็มไปด้วยนิโคติน สารเคมี สารพิษรวมถึงสารก่อมะเร็งจำนวนมาก ผู้สูบจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ-แตก-ตัน โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดบวม โรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และโรคมะเร็งปอด

    สำหรับการดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า การดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลปริมาณมากสัมพันธ์กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และเสี่ยงต่อโรคอ้วน ภาวะอ้วนลงพุง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน รวมถึงฟันผุ
    ดังนั้นในเบื้องต้นควรลดหรืองดการสูบบุหรี่ ดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์ รวมถึงการดื่มน้ำอัดลม เพื่อลดผลเสียต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ.
  • มองโลกในแง่ลบ ไม่มีวิธีจัดการกับความเครียดที่ดี การมองแบบแง่ลบที่จะเป็นการสร้างความกดดันเพิ่มมากกว่าความเป็นจริงให้กับตัวเอง เป็นต้นเหตุให้เกิดการวิตกกังวล เครียดสะสม ร่างกายเกร็ง กล้ามเนื้อไม่ผ่อนคลาย นอนหลับยาก ภูมิคุ้มกันลด ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่ายการฝึกการมองโลกในแง่บวกหรืออย่างน้อยมองตามความเป็นจริง ไม่สร้างความกดดันเพิ่มขึ้นให้กับตัวเอง เป็นสิ่งดีต่อสุขภาพ โดยการมองเรื่องที่ไม่ว่าจะดีหรือร้ายในด้านบวก เป็นการสร้างแรงผลักดัน กระตุ้นให้มีพลังกายพลังใจ ในการเอาชนะอุปสรรคไปได้แบบไม่เครียด ไม่วิตกกังวลจนเกินไป และสามารถเสริมสร้างความมั่นคงของจิตใจเพิ่มมากขึ้น

 

ปรับแก้พฤติกรรมหรือนิสัยเสีย ให้เป็นของขวัญดี ๆ ให้กับร่างกาย

เพื่อนๆ บางคนอาจจะมีนิสัยเสียข้อใดข้อหนึ่งอยู่ โดยคิดว่าสุขภาพยังดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่นิสัยเสียเหล่านี้หากทำจนติดเป็นนิสัย ผลเสียไม่ได้มีให้เห็นวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า หรือปีหน้า แต่ผลเสียจะมาในรูปของอาการป่วย โรคเรื้อรังต่าง ๆ เมื่อเวลาผ่านไปตามอายุที่มากขึ้น และเมื่อมีอาการหรือเป็นโรคร้ายแล้ว การรักษามีค่าใช้จ่ายสูง ไม่นับผลกระทบในด้านอื่น ๆ ที่จะตามมาทำให้คุณภาพชีวิตด้อยลง ดังนั้นการปรับแก้พฤติกรรมหรือนิสัยเสีย ให้เป็นของขวัญดี ๆ ให้กับร่างกายจึงเป็นสิ่งที่น่าทำอย่างยิ่ง

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.thaihealth.or.th  care.diabetesjournals.org  www.webmd.com  www.pobpad.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com

 


5-rules.jpg

มีคำถามจำนวนมากเกิดขึ้น เมื่อคุณตัดสินใจที่จะลดน้ำหนัก อาทิ  ควรลดคาร์โบไฮเดรตหรือลดไขมันดี สามารถกินช็อคโกแลตหรือน้ำผลไม้ได้หรือไม่ ควรออกกำลังกายแบบกระตุ้นการทำงานของหัวในหรือการแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อดี คำถามอาจมีมาก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการลดน้ำหนัก

 

บทความนี้ต้องการจะบอกว่า ต่อให้คุณสนใจในรายละเอียดมากเพียงใด แต่ถ้าคุณละเลยเรื่องสำคัญ ๆ ไปแล้ว การลดน้ำหนักสำหรับคุณมีโอกาสจะ “ล้มเหลว” มากกว่าประสบความ “สำเร็จ” ตัวอย่างเช่น คุณอาจหยุดกินของหวาน หยุดกินน้ำอัดลมไปได้ แต่ถ้าคุณยังบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่มากกว่าที่คุณใช้ในแต่ละวัน น้ำหนักของคุณก็ไม่มีวันลดลง สิ่งเหล่านี้หมายรวมถึงการออกกำลังกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิตโดยรวมด้วย

ฟาร์ติมา โคดี้ สแตนฟอร์ด (Fatima Cody Stanford, M.D.) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอ้วน ที่ Massachusetts General Hospital กล่าวถึงกฎการลดน้ำหนักขั้นพื้นฐาน 5 ข้อที่สำคัญ

“ฉันขอแนะนำให้คุณใช้กฎ 5 ข้อนี้ พร้อม ๆ กันในทุกข้อ เว้นแต่คุณจะรู้สึกว่ามันยากเกินกว่าที่จะปฏิบัติตามได้ทั้งหมดในคราวเดียว ให้เริ่มทำไปทีละขั้น โดยเริ่มจากเรื่องของอาหารแล้วค่อยไปทำเรื่องของการออกกำลัง”

 

1. เน้นการรับประทานอาหารไม่แปรรูป และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

อาหารที่คุณควรรับประทานจริง ๆ คือ “อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง พวกโปรตีนที่ปราศจากไขมัน (Lean protein) เช่น ไข่ขาว อกไก่ ปลาเนื้อขาว รวมถึงผัก ธัญพืช และผลไม้” อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ ควรเลือกอาหารที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด ข้อมูลจากการศึกษาตีพิมพ์ลงในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคอาหารโปรตีนสูง (High quality diets) ทำให้ไขมันลดลงได้เกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับการบริโภคโปรตีนทั่วไป (Moderate quality diets) นอกจากนี้ยังระบุว่าการกินผัก และผลไม้ยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย ข้อมูลดังกล่าวสนับสนุนเรื่องที่ว่าทุกคนควรให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกินเท่าที่คุณจะทำได้

 

2. เคลื่อนไหวร่างกายทั้งในและนอกฟิตเนส

“การออกกำลังกายไม่ได้ต้องทำ ขณะที่อยู่ในฟิตเนสเสมอไป คุณควรที่จะขยับร่างกายให้ได้ตลอดทั้งวัน” จากบทความตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition กล่าวว่า ไม่ว่าคุณจะออกกำลังกายที่ฟิตเนสมากแค่ไหน แต่ถ้าตลอดทั้งวันคุณนั่งอยู่กับที่ไม่คิดจะขยับร่างกายใด ๆ น้ำหนักของคุณก็จะเพิ่มขึ้น ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกา แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคระดับปานกลาง (Moderate-intensity aerobics)  อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle strength training) เป็นประจำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์

 

3. นอนหลับ พักผ่อนให้มากขึ้น

การอดนอนและปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวมีผลเกี่ยวเนื่องกันโดยตรง  “คุณต้องการการนอนหลับที่มีคุณภาพและต้องทำจนเป็นนิสัย เพราะการนอนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก” ข้อมูลจากวารสาร Annals of Internal Medicine พบว่าผู้ลดน้ำหนักที่ใช้เวลาในการนอนประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่งต่อคืน สามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย (Body fat) ได้น้อยและมวลกาย (Body mass) เพิ่มมาก (ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ต้องการ) เมื่อเทียบกับคนที่นอนหลับ 8 ชั่วโมงครึ่งต่อคืน การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าการอดนอนจะไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนกรีลิน (Ghrelin) ที่ส่งผลในเรื่องของความอยากอาหาร หมอสแตนฟอร์ดแนะนำว่า ปกติเราควรนอนให้ได้ 7 – 9 ชั่วโมงต่อคืน

 

4. จัดเวลานอนหลับและตื่นนอนด้วยนาฬิกาชีวภาพ

ต่อเนื่องจากข้อ 3 ไม่ใช่แค่ว่าคุณต้องนอนหลับให้เพียงพอเท่านั้น การนอนและตื่นนอนให้ตรงตามวงจรนาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) ยังส่งผลในเรื่องของน้ำหนักอีกด้วย  “ปกติร่างกายจะตื่นตัวในตอนเช้าและง่วงในตอนกลางคืน เมื่อเราทำลายรูปแบบกลไกนี้ เช่น ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน จะเป็นการขัดขวางกลไกการทำงานสมองในการควบคุมน้ำหนัก” งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดพบว่า เมื่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตไม่สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพ การเผาผลาญปริมาณแคลอรี่จะลดน้อยลงจากปกติร้อยละ 12 – 16  และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในเรื่องของน้ำหนักตัวและความอ้วน ดังนั้นควรกำหนดเวลาการนอนหลับและการตื่นนอนให้เป็นอุปนิสัย หากคุณต้องทำงานในช่วงเวลากลางคืน ยิ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักเพื่อเป็นการชดเชย

 

5. อย่าเครียดจนเกินไป

แน่นอนว่าพูดง่ายกว่าทำ แต่ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนักจริงๆ ถึงเวลาที่คุณต้องควบคุมสติและความนึกคิดให้มากขึ้น เนื่องจากความเครียดสะสมมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จากวารสาร Obesity เมื่อเทียบระดับความเครียดและน้ำหนักตัวพบว่า คนที่มีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตเมื่อมีความเครียด เป็นกลุ่มคนที่มีน้ำหนักและดัชนีมวลกาย (BMIs) สูงมากกว่ากลุ่มคนทั่ว ๆ ไป

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.womenshealthmag.com
ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com

 


-และพฤติกรรมสุขภาพ-re2.jpg

ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า แบบแผนการดำเนินชีวิตหรือไลฟ์สไตล์นั้น  เป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพมากที่สุด โดยส่งผลทั้งในทางดีและไม่ดีต่อสุขภาพ มีข้อมูลพบว่าร้อยละ 50 ของประชาชนที่เสียชีวิตในอเมริกามีสาเหตุมาจากการมีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกต้อง (Walker et al 1988 :89)

 

แบบแผนการดำเนินชีวิต เกี่ยวกับสุขภาพ

แบบแผนการดำเนินชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ ในเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ สามารถจัดแบ่งได้หลาย ๆ หัวข้อ อาทิ แบ่งจากพฤติกรรมที่ต้องทำเป็นกิจวัตรประจำวัน กับไม่เป็นกิจวัตรประจำวัน แบ่งจากพฤติกรรมสุขภาพในวัยทำงาน วัยเด็กและวัยสูงอายุ  ในบทความนี้จะพูดถึงพฤติกรรมที่เป็นและไม่เป็นกิจวัตรประจำวัน

พฤติกรรมเกี่ยวกับอนามัยส่วนบุคคล เป็นพฤติกรรมที่ปฏิบัติเพื่อการมีอนามัยที่ดี เช่น การแปรงฟัน การอาบน้ำ ความสะอาดของเสื้อผ้า การสระผม การดูแลสุขภาพของผิวหนัง การดูแลความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ สิ่งเหล่านี้เป็นกิจวัตรประจำวันที่บุคคลปฏิบัติ ซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกต้องจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การแปรงฟันไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับเหงือก

พฤติกรรมการรับประทานอาหาร เป็นพฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมาก เช่น การรับประทานของขบเคี้ยวบางอย่างทำให้ฟันผุ การไม่รับประทานผักและผลไม้ ทำให้มีกากอาหารน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ การรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดทำให้ท้องเสีย รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ปลาดิบ ก้อย ปลา ทำให้เป็นโรคพยาธิ บางคนชอบอาหารที่มีไขมันสูง อาจทำให้เป็นโรคอ้วน จากการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับปัจจัยซึ่งมีความสัมพันธ์กับอัตราตายในวัยผู้ใหญ่พบว่า 2 ใน 7 ประการ เกี่ยวข้องกับอาหาร โดยเป็นเรื่องของ อาหารเช้าและน้ำหนักตัว (Breslow Engstrom : 1980 quoted in Kulbok, Earls, and Montgomery 21-35)

พฤติกรรมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ผู้ที่ถ่ายอุจจาระไม่เป็นเวลา ถ่ายลำบาก อุจจาระมีลักษณะแข็งต้องเบ่งถ่ายอุจจาระ มีโอกาสเสี่ยงต่อการป่วย เป็นโรคริดสีดวงทวาร สูงกว่าคนที่มีการขับถ่ายเป็นเวลาและถ่ายสะดวก นอกจากนี้พฤติกรรมการกลั้นปัสสาวะทำให้เกิดเป็นโรคติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ ได้ง่าย

พฤติกรรมการพักผ่อนและการนอนหลับ การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ ผู้ที่พักผ่อนหรือนอนหลับไม่เพียงพอจะมีผลเสียต่อสุขภาพคือ ถ้าอดนอน 48 ชั่วโมง ร่างกายจะผลิตสารเคมีซึ่งมีโครงสร้างคล้าย เอส ดี 25 (D. 25) สารนี้มีผลให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปจากเดิม ผู้ที่อดนอนจะรู้สึกหนักมึนศีรษะ รู้สึกเหมือนตัวลอย ควบคุมสติไม่ได้ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ถ้าอดนอน 4 วัน ร่างกายจะไม่ผลิตสารที่สร้างพลังงานแก่เซล ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีทำให้มีการปล่อยพลังงานออกมา เป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนเพลีย ต่อมาจะเกิดอาการสับสน ประสาทหลอน และปรากฏอาการทางจิตขึ้น (Hayter 1980 quote in Murray and Zentner, 1985:412)

พฤติกรรมทางเพศ การตอบสนองความต้องการทางเพศ เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้ ถ้าบุคคลนั้นมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ถูกต้อง เช่น สำส่อนทางเพศ พฤติกรรมรักร่วมเพศ หรือมีพฤติกรรมทางเพศแบบวิตถาร ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งจากโรคติดเชื้อ เช่น กามโรค โรคเอดส์ หรือร่างกายได้รับบาดเจ็บจากการร่วมเพศ แบบวิตถารหรือรุนแรงถึงขนาดสูญเสียชีวิตจากการฆาตกรรม เพราะความรักและความหึงหวงได้

พฤติกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของทุกคน แต่อาจเป็นพฤติกรรมประจำของบางคน และส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การกินยาบ้า การขับรถเร็ว

  • พฤติกรรมการสูบบุหรี่พบว่าทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจ สู่มะเร็งปอดสูงกว่าบุคคลทั่วไป เพศหญิงที่สูบบุหรี่ขณะรับประทานยาคุมกำเนิดจะยิ่งเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองมากยิ่งขึ้น และถ้าตั้งครรภ์ บุตรในครรภ์จะมีน้ำหนักตัวน้อย
  • พฤติกรรมการดื่มเหล้า ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป็นตับแข็ง มากกว่าบุคคลทั่วไป นอกจากนี้เหล้ายังเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ รวมถึงผลเสียที่ตามมาในเรื่องอื่น ๆ อีกหลายประการ
  • การกินยาบ้า ยาบ้าเป็นยาที่มีส่วนประกอบของแอมเฟตามิน (amphetamine) เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉงสามารถทำงานต่อไปได้ ทั้ง ๆ ที่สภาพจริง ๆ ของร่างกายต้องการพักผ่อน ทำให้เกิดผลเสียมากมาย เช่น ประสาทหลอน เกิดอุบัติเหตุ คดีอาชญากรรม
  • การขับรถเร็ว ทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง และการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ทำให้อุบัติเหตุแต่ละครั้ง มีการบาดเจ็บที่รุนแรง

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.healthcarethai.com
ภาพประกอบจาก : www.pixabay.com

 


-มีประโยชน์อย่างไร-พบมากที่ไหน.jpg

กวาวเครือ ที่พบในประเทศไทยนั้นมี 4 ชนิด คือ

  1. กวาวเครือขาว (Pueraria mirifica Airy Shaw et Suvatab) เป็นไม้เถา ขึ้นกับต้นไม้ หรือเลื้อยไปบนดิน ก้านใบหนึ่งมี 3 ใบ ใบเล็กกว่าชนิดแดง หัวคล้ายมันแกว การใช้ทำยาให้เลือก หัวแก่ เอามีดปาดดูจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม เนื้อเปราะมีเส้นมาก
  2. กวาวเครือแดง (Butea superba) เมื่อสะกิดเปลือกหัวจะมียางสีแดงคล้ายเลือดไหลออกมา เมื่อใช้ทำเป็นยา ชนิดแดงแรงกว่าชนิดขาว
  3. กวาวเครือดำ (Mucuna macrocarpa Wall.) ลำต้นและเถาเหมือนกวาวเครือแดง แต่ใบและหัวมีขนาดเล็กกว่า มียางสีดำ ใช้ทำเป็นยามีฤทธิ์แรงมาก ขนาดที่ใช้จึงน้อยมาก
  4. กวาวเครือมอ ทุกส่วน ต้น เถา ใบ หัว เหมือนกับชนิดดำ แต่เนื้อในหัวและยางมีสีมอ ๆ

 

ประโยชน์ของกวาวเครือที่กล่าวไว้ ในตำรายาไทยหลวงอนุสารสุนทร ได้กล่าวถึงสรรพคุณต่าง ๆ ดังนี้

  • เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุ ใช้ได้ทั้งหญิงและชาย (คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน)
  • ทำให้กระชุ่มกระชวย
  • ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นกลับเต่งตึงมีน้ำมีนวล
  • ช่วยเสริมอก กระตุ้นเต้านมขยายตัว โดยเฉพาะกวาวเครือขาว
  • ช่วยทำให้เส้นผมที่หงอกกลับดำ และเพิ่มปริมาณเส้นผม
  • แก้โรคตาฟาง ต้อกระจก
  • ทำให้ความจำดี
  • ทำให้มีพลังการเคลื่อนไหวการเดินเหินจะคล่องแคล่ว
  • ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยทำให้รับประทานอาหารอร่อย

นอกจากนี้ ในการใช้กวาวเครือขาวเพื่อประโยชน์ทางยานั้น ควรมีการศึกษาข้อมูลอย่างแน่ชัด เพราะจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะกวาวเครือที่กำลังได้รับความนิยม คือ กวาวเครือขาวนั้นมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนที่พบในเพศหญิง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ดังนั้น การใช้ประโยชน์ทางยา จึงไม่ควรใช้ในปริมาณมาก ๆ และติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงได้ คือ ในเพศหญิงจะทำให้เต้านมโตเกินไป เต้านมแข็งเป็นก้อน และทำให้เป็นเนื้องอก หรือมะเร็งที่เต้านมได้ ส่วนเพศชายจะมีเยื่อหุ้มที่อัณฑะหนาตัวขึ้น และนำไปสู่การเป็นมะเร็งที่อัณฑะได้

ส่วนแหล่งที่พบกวาวเครือนั้น ส่วนใหญ่จะพบในป่าเต็งรัง ป่าผลัดใบผสมป่าใบ ป่าเบญจพรรณ ป่าก่อเชิงเขาหินปูน ริมห้วย หรือลำธารที่มีน้ำไหลตามฤดูกาล และมักจะมีหินปูน ทับทราย หรือดินลูกรังผสมอยู่ พบมากในภาคเหนือลงมาจนถึงเทือกเขาตะนาวศรีในภาคตะวันตก และในแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ ทางฝั่งขวาของแม่น้ำป่าสัก จากจังหวัดเลยลงมาจนถึงจังหวัดลพบุรี สระบุรี และนครราชสีมา

 

ภาพประกอบจาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก