ครบเครื่องการดูแลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันโรค การเงินเพื่อสุขภาพ สำหรับวัยทำงาน

-และสารต้านอนุมูลอิสระ-1.jpg

อนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ (Free radical) เป็นอะตอมหรือโมเลกุล ที่มีอิเล็กตรอนไม่เป็นคู่ (unpaired electron) อย่างน้อย 1 ตัวโคจรรอบวงนอกสุด ซึ่งอะตอมหรือโมเลกุลประเภทนี้ เกิดขึ้นจากกระบวนการต่าง ๆในการดำรงชีวิต ทั้งจากปัจจัยภายในร่างกาย เช่น การเผาผลาญอาหาร กระบวนการสร้างพลังงาน การหายใจระดับเซลล์ กลไกการป้องกันตัวเองของร่างกายจากเชื้อโรค และปัจจัยภายนอก เช่น การสูบบุหรี่ การสัมผัสกับแสงแดด การสัมผัสรังสี การรับประทานอาหารที่มีน้ำมัน อาหารปิ้ง ย่าง เผาที่ไหม้ เป็นต้น

 

สารต้านอนุมูลอิสระ

ร่างกาย มีการป้องกันการสะสมของอนุมูลอิสระ อยู่ 2 วิธี  วิธีแรก จากการที่ร่างกาย มีการสร้างเอนไซม์หรือกลไก เช่น เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant enzymes) ขึ้นมาควบคุม โดยเป็นกลไกในการเปลี่ยนอนุมูลอิสระ ให้กลายเป็นน้ำ วิธีที่สอง การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารที่รับประทาน เช่น วิตามินอี เบ้ตาแคโรทีน แอนโทไซยานิดิน (Anthrocyanidin) สารประกอบโฟลีฟีนอล รวมถึงโคเอนไซม์คิวเท็น (Coenzyme Q10) เป็นต้น

 

ผลเสียกรณีไม่สมดุล

ปริมาณอนุมูลอิสระ ที่สมดุล มีส่วนช่วยทำลายสิ่งแปลกปลอม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในกรณีเกิดความไม่สมดุลระหว่างการเกิดกับการกำจัดหรือการป้องกันการสะสมของอนุมูลอิสระ เช่น ร่างกายต้องสัมผัสแดดเป็นประจำ พฤติกรรมรับประทานอาหารปิ้งจนไหม้ หรือเจ็บป่วย ชรา จนกลไกการป้องกันเสื่อมลง ทำให้มีการสะสมของสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น จนกลายเป็นสารพิษที่สามารถทำร้ายร่างกาย โดยทำให้ร่างกาย มีความเสี่ยงจากการที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ เยื่อหุ้มเซลล์ รวมถึง DNA ถูกทำลาย และนำไปสู่โรคในหลายระบบ เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคทางสมองและระบบประสาท เช่น Parkinson และ Alzheimer โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ มะเร็ง รวมถึงความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ความยืดหยุ่นของผิวหนัง

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ

แหล่งข้อมูล :
  1. ผศ. ดร. พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์. ศ. เกียรติคุณ ดร. นิธิยา รัตนาปนนท์. ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหารครบวงจร. “อนุมูลอิสระ” (ระบบออนไลน์) แหล่งที่มา : pharm.swu.ac.th (15 กุมภาพันธ์ 2561)
  2. ดร. อธิป สกุลเผือก. “อนุมูลอิสระ และสารต้านอนุมูลอิสระ” (ระบบออนไลน์). แหล่งที่มา : ccpe.pharmacycouncil.org (15 กุมภาพันธ์ 2561)
  3. แหล่งที่มา : dna.kps.ku.ac.th (15 กุมภาพันธ์ 2561)
.

ภาพประกอบจาก :www.yourhealthsupport.in

 


temp.jpg

ความดันโลหิต (Blood pressure) อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) อัตราการหายใจ (Respiratory rate) และอุณหภูมิของร่างกาย (Body temperature) ถือเป็น 4 สัญญาณชีพหลักของมนุษย์

 

อุณหภูมิร่างกายของผู้ใหญ่ปกติ วัดทางปาก คือ 37 +/- 0.5 องศาเซลเซียส เมื่อตัวร้อนขึ้นหมายถึง เราอาจมีไข้ และเมื่อตัวเย็นลง อาจเป็นอาการของความดันต่ำ หน้ามืด เป็นลมอ่อนเพลีย หรือขาดน้ำ แต่มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอุณหภูมิร่างกายอีกหลายข้อ ที่อาจเป็นประโยชน์ในยามฉุกเฉินได้

  • ร่างกายสามารถปรับอุณหภูมิเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ โดยจะร้อนขึ้นเมื่อออกกำลังกาย และเย็นลงในตอนกลางคืน หากวัดอุณหภูมิ จะพบว่าช่วงตื่นนอนอุณหภูมิจะต่ำกว่าช่วงบ่ายๆ เป็นต้น ถ้าคืนไหนหลับยาก ลองปรับอุณหภูมิให้เย็นขึ้น คุณอาจหลับได้ง่ายกว่าเดิม
  • อุณหภูมิร่างกายของเด็กทารกจะสูงกว่าผู้ใหญ่ เพราะทารกมีเหงื่อออกน้อยกว่า และทารกมักเป็นไข้บ่อยกว่าผู้ใหญ่
  • อาการไข้ คือ ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ปกติไข้มักหายได้เองภายใน 2 – 3 วัน แต่หากไม่หาย อาจเป็นได้ว่ามีโรคอื่น ๆ ซ่อนอยู่ ผู้ใหญ่ที่มีไข้เกิน 39.4 องศาเซลเซียส ถือว่าอันตราย ควรไปพบแพทย์โดยด่วน แต่สำหรับทารกและเด็กเล็ก อุณหภูมิร่างกายสูงผิดปกติเพียงเล็กน้อย ควรรีบไปพบกุมารแพทย์ทันที
  • อย่างไรก็ตาม การเป็นไข้ต่ำ ๆ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกที่ดีว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อโรค หมายถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย กำลังทำงานเพื่อต่อต้านการอักเสบหรือติดเชื้อ
  • ยาหลายชนิดที่ซื้อได้ตามร้านขายยา อาจช่วยลดอาการไข้ลงได้  แต่ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเมื่อจะใช้กับเด็ก
  • อาการที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีไข้ มีดังต่อไปนี้ หนาวสั่น ปากแห้งอ่อนเพลีย ปวดศรีษะ ไม่อยากกินอาหาร ปวดกล้ามเนื้อ และเหงื่อแตก หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปเองใน 2 – 3 วันให้รีบไปพบแพทย์
  • เด็กที่อายุ 6 เดือนถึง 5 ขวบอาจเกิดอาการชักได้เมื่อมีไข้สูง ต้องรีบพาไปพบแพทย์เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายลงทันที และค้นหาสาเหตุของไข้เพื่อรักษาต่อไป
  • นอกจากความเจ็บป่วยแล้ว อุณหภูมิร่างกายของเราจะเปลี่ยนไปเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นอาการไข้ของผู้สูงอายุ อาจเกิดได้แม้ในอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำกว่าคนอายุน้อย
  • การกินอาหารเผ็ด ๆ เช่น พริกอาจทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นได้ในขณะย่อยอาหาร
  • ในขณะสูบบุหรี่ อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้น เพราะความร้อนจากบุหรี่ที่สูบเข้าไป ผลที่ตามมาคือปอดร้อนขึ้น ทำให้การทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์
  • เมื่อเราโกหก อุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้น โดยเฉพาะส่วนจมูก  เรียกอาการนี้ว่า “Pinocchio effect”  สาเหตุเกิดจากความวิตกกังวลที่ซ่อนเร้นอยู่ จึงมีวิธีจับเท็จชนิดใช้กล้องถ่ายภาพความร้อนของร่างกาย
  • อุณหภูมิร่างกายสามารถบ่งบอกเวลาเสียชีวิตได้ เมื่อเสียชีวิต อุณหภูมิร่างกายจะลดลงเรื่อย ๆ ในอัตราระดับหนึ่ง โดยแพทย์จะใช้หลักข้อนี้เพื่อประกอบการบ่งบอกเวลาเสียชีวิตด้วย

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอุณหภูมิร่างกายที่กล่าวมาคือข้อควรจำ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ได้ในยามคับขันเพื่อตัดสินใจเบื้องต้นว่าจะรีบส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลหรือไม่ เพื่อให้แพทย์ทำการรักษาอย่างทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินไป

 

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.everydayhealth.com
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com


-เกี่ยวกับเอนไซม์-Enzyme.jpg

สำหรับหลาย ๆ คน คงจะเคยได้ยินเรื่องของเอนไซม์ (Enzyme) กันมาบ้างแล้ว วันนี้กองบรรณาธิการได้เรียบเรียงเนื้อหาเบื้องต้น เป็นการทบทวนความรู้อีกครั้ง เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีมากยิ่งๆขึ้น

เอนไซม์ ( Enzyme) เป็นโปรตีนที่สิ่งมีชีวิตสร้างขึ้น เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ให้มีประสิทธิภาพ โดยลดพลังงานที่จะใช้ในปฏิกิริยาเหล่านั้น มีข้อมูลพบว่า มากกว่า 5,000 ปฏิกิริยาชีวเคมี ที่มีเอนไซม์เป็นตัวร่วมที่สำคัญ โดยเอนไซม์จะเปลี่ยนสารตั้งต้นให้เป็นสารอื่น ๆ เพื่อทำให้ระบบที่เกี่ยวข้องทำงานได้ดี เช่น ระบบย่อยอาหาร จะมีเอนไซม์เป็นตัวเร่งในการย่อยอาหาร จากสารโมเลกุลใหญ่ให้เป็นสารโมเลกุลเล็ก ในระดับที่สามารถผ่านผนังเซลล์ของแต่ละเซลล์ในร่างกายได้ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารตามที่เรารับประทาน นอกจากนี้เอนไซม์ยังมีหน้าที่ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อ ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหดตัว สลายสารพิษ ทำให้เลือดบริสุทธิ์ ช่วยกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอด และช่วยลดความเครียดของตับอ่อนและอวัยวะอื่น ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งบางครั้ง ถ้าไม่มีเอนไซม์ ปฏิกิริยาทางเคมีอาจใช้เวลานานมากกว่าจะเสร็จสิ้น หรืออาจจะไม่เกิดเลยก็ได้

 

คุณสมบัติของเอนไซม์

  • เอนไซม์มีโครงสร้างทางเคมีเป็นโปรตีน ประกอบไปด้วยโพลีเปปไทด์ (Polypeptide) ม้วนกันเป็นก้อนกลม มีโครงรูปที่จำเพาะ กำหนดโดยลำดับการเรียงตัวของกรดอะมิโน โดยเอนไซม์บางชนิดต้องอาศัยโคแฟกเตอร์ (Cofactor) หรือโคเอนไซม์ (Coenzyme) ถึงจะทำงานได้ ทั้งนี้ในการทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี เอนไซม์จะกลับคืนสภาพเดิม ขณะที่โคเอนไซม์จะหมดเปลืองไปเรื่อย ๆ จึงจำเป็นที่ร่างกายต้องหามาเสริม
  • เอนไซม์แต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะตัว โดยจะทำปฏิกิริยาเคมีจำเพาะกับสารตั้งต้นหรือซับสเตรด (Substrate) ที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้น เช่น เอนไซม์ชนิดย่อยไขมันจะไม่ย่อยแป้ง และเอนไซม์ย่อยแป้งจะไม่ย่อยโปรตีน เป็นต้น
  • เอนไซม์มีความไวต่อปฏิกิริยามาก แม้ในปริมาณน้อยก็สามารถเร่งปฏิกิริยาได้ ถ้าไม่มีเอนไซม์ปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดจะเกิดขึ้นช้ามาก จนชีวิตไม่สามารถรอดอยู่ได้
  • การแช่แข็งจะไม่ทำลายความสามารถของเอนไซม์ส่วนใหญ่ แต่เอนไซม์จะถูกทำลายได้โดยง่ายที่ความร้อนสูงเกิน 45 องศาเซลเซียส
  • อัตราการทำงานของเอนไซม์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ อุณหภูมิ โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการทำงานอยู่ในช่วง 25-40 องศาเซลเซียส ความเป็นกรดเบส โดยส่วนใหญ่จะทำงานได้ดีในช่วงค่า pH 6-7 ปริมาณของเอนไซม์และซับสเตรด ถ้าปริมาณไม่สมดุลจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเอนไซม์ได้
  • เอนไซม์แต่ละชนิดที่ร่างกายผลิตขึ้นมาจะมีชีวิตหรืออายุได้เพียง 20 นาที และจะต้องมีเอนไซม์ใหม่เข้ามาทดแทนอยู่เรื่อย ๆ แต่อาจมีบางชนิดที่อยู่ได้เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์
  • เอนไซม์ที่กระตุ้นปฏิกิริยาเคมี จะถูกยับยั้งด้วย “ตัวยับยั้งเอนไซม์” ซึ่งมีแบบที่เป็นการยับยั้งแบบถาวร การยับยั้งแบบชั่วคราว และการยับยั้งแบบย้อนกลับ

 

ชนิดของเอนไซม์

เอนไซม์สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด คือ

  • เอนไซม์จากอาหาร (Food enzyme) คือ เอนไซม์ที่พบได้ในอาหารสด อาหารดิบทุกชนิด ทั้งที่มาจากพืชและสัตว์ เอนไซม์ชนิดนี้จะช่วยในการย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยความร้อนสามารถทำลายเอนไซม์ในอาหารได้โดยง่าย
  • เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive enzyme) คือ เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นโดยร่างกาย ส่วนใหญ่จะผลิตมาจากตับอ่อนเพื่อใช้ในการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่า
  • เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic enzyme) คือ เอนไซม์ที่ผลิตในเลือด ในเซลล์เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อช่วยในการเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน ความเจริญเติบโตให้กับร่างกาย รวมไปถึงการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะภายใน และช่วยบำบัดและรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ของร่างกาย

 

การขาดเอนไซม์

เอนไซม์ที่มีระดับต่ำในร่างกาย จะมีความสัมพันธ์กับความเสื่อมของอวัยวะและระบบต่างๆในร่างกาย ถ้าเอนไซม์มีระดับต่ำมาก โรคที่เกี่ยวเนื่องกับความเสื่อมดังกล่าวก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
แหล่งที่มา : www.medthai.com  www.britannica.com
ภาพประกอบจาก : www.medicalnewstoday.com


-Acupuncture-คืออะไรedit.jpg

การฝังเข็มเจ็บหรือไม่ ?

ขณะที่เข็มผ่านผิวหนัง จะมีอาการเจ็บอยู่บ้างแต่ไม่มาก และเมื่อเข็มแทงเข้าไปลึกถึงตำแหน่งของจุดฝังเข็มจะมีอาการปวดตื้อ ๆ หรือปวดหน่วง ๆ และปวดร้าวไปตามทางเดินของเส้นลมปราณ

 

เข็มที่ใช้ฝังเป็นอย่างไร

เข็มที่ใช้ในการฝังเข็มมีขนาดเล็กและบางมาก เป็นเข็มตันปลายตัด ไม่มีสารหรือยาชนิดใดเคลือบอยู่

 

การฝังเข็มรักษาอาการอะไรได้บ้าง

การฝังเข็มสามารถรักษาหรือบรรเทาอาการของโรคได้หลายโรค ได้แก่ 

  • อาการปวดต่าง ๆ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดเข่า ปวดไมเกรน ปวดศีรษะ ปวดประจำเดือน
  • อาการอ่อนแรงจากอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • อาการของภูมิแพ้ หวัดเรื้อรัง หอบหืด ไซนัสอักเสบ
  • อาการเครียด นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า
  • อาการทางผิวหนัง เช่น สิว ฝ้า ผมร่วง ผื่นคัน
  • อาการของระบบทางเดินอาหาร เช่น สะอึก ปวดท้องเรื้อรัง โรคกระเพาะ
  • ความดันโลหิตสูง และความดันโลหิตต่ำ
  • ลดความอ้วน และเพิ่มน้ำหนักในคนผอม
  • เลิกสิ่งเสพติดต่าง ๆ เช่น สุรา บุหรี่ ยาเสพติด
  • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ วัยทองทั้งหญิงและชาย
  • อาการอื่น ๆ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป

 

ชนิดการรักษาในหน่วยเวชศาสตร์แผนจีน

  1. การฝังเข็มร่างกาย (Body Acupuncture)
  2. การฝังเข็มที่ศีรษะ (Scalp Acupuncture)
  3. การฝังเข็มร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า (Electro Acupuncture)
  4. การครอบแก้ว (Cupping)

 

วิธีการอื่น  ๆ ที่แพทย์แนะนำ

  1. การเคาะด้วยเข็มดอกเหมย กระตุ้นผิวหนัง (Cutaneous needle)
  2. การเจาะปล่อยเลือด (Blood Letting)
  3. การฝังเข็มบนใบหู (Ear Acupuncture) ด้วยเม็ดผักกาด หรือเม็ดแม่เหล็ก (Magnetic Ball)
  4. การรมยา (Moxibution)

 

การกระตุ้นด้วยเครื่องไฟฟ้า

เมื่อฝังเข็มแล้ว ใช้สายไฟเชื่อมต่อเข็มกับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าชนิดพิเศษเป็นกระแสไฟตรงเพียง 9 โวลท์ จึงไม่ทำให้เกิดไฟดูด แต่จะกระตุ้นกล้ามเนื้อเป็นจังหวะตามกระแสไฟฟ้า ทำให้เข็มกระดิกตาม และไม่ทำให้เจ็บปวดจนทนไม่ไหว

 

การครอบแก้ว (Cupping)

เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและขจัดความชื้นในบริเวณที่ลมปราณมีการติดขัด ทำให้รักษาอาการปวดได้ หลังจากการทำแล้ว บริเวณผิวหนังอาจมีสีม่วงคล้ำเป็นจ้ำ แต่ไม่มีอันตราย และจะหายได้เองในเวลา 1-2 สัปดาห์

 

ข้อห้ามในการฝังเข็ม

  1. สตรีตั้งครรภ์
  2. ผู้ป่วยโรคมะเร็ง (ที่ยังไม่ได้รับการรักษา)
  3. ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด เช่น โรคเกล็ดเลือดต่ำ โรคไต โรคตับแข็ง โรคหัวใจ และผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด
  4. ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือเคยได้รับการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ (bypass ) ไว้
  5. ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ หรือเป็นแผลบริเวณที่จะฝังเข็ม

 

การเตรียมตัวก่อนการฝังเข็ม

  1. พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ และรับประทานอาหารก่อนมาฝังเข็มเสมอ เพราะถ้าฝังเข็มในช่วงผู้ป่วยหิวหรืออ่อนเพลีย จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นลมง่าย
  2. ไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป ควรสวมกางเกงที่หลวม และสวมเสื้อแขนสั้น
  3. ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด

 

ข้อปฏิบัติขณะฝังเข็ม

  1. ควรทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด และทำตามคำแนะนำของแพทย์
  2. สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดมากขึ้น หรือหน้ามืด จะเป็นลม ต้องรีบแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบทันที
  3. ไม่ควรขยับเขยื้อนแขนขาหรือบริเวณที่คาเข็มไว้ ในช่วงการรักษา (ประมาณ 20-30 นาที) เพื่อป้องกันไม่ให้เข็มบิดงอ อาจจะทำให้มีอาการปวดมากขึ้น

 

ต้องมารับการฝังเข็มบ่อยแค่ไหน

ควรมาฝังเข็มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ครั้ง หรือแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: คณะกรรมการแผ่นพับเพื่อการประชาสัมพันธ์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.(2010).การฝังเข็ม (Acupuncture) คืออะไร.6 ธันวาคม 2558.เข้าถึงจาก//www.tm.mahidol.ac.th
ภาพประกอบจาก : www.natural-fertility-info.com


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก