เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญที่อื่นที่ไม่ใช่มดลูก โดยส่วนใหญ่พบบริเวณอุ้งเชิงกราน เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ เยื่อบุช่องท้อง เป็นต้น ต่อมาเยื่อบุดังกล่าวมีการสะสมของเลือด กลายเป็น “ช็อกโกแลตซีส” (Chocolate cyst)” ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงที่มีรอบเดือน
โรคนี้พบได้ประมาณ 1 ใน 10 ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ และสูงได้ถึง 5 ใน 10 ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ ที่มีอาการปวดประจำเดือนร่วมกับปัญหามีบุตรยาก ทั้งนี้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ไม่ถูกจัดเป็นโรคร้ายแรง บางคนอาจไม่มีอาการ ในรายที่มีอาการ มีความรุนแรงได้หลายระดับ ตั้งแต่อาการปวดประจำเดือนน้อย ๆ ไปถึงปวดประจำเดือนมาก หรือปวดเรื้อรังจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต
อาการ
อาการที่พบบ่อย
อาการของภาวะเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่อาจแตกต่างกันไป โดยที่สังเกตได้โดยทั่วไปมีดังนี้
- ปวดท้องน้อยหรือปวดอุ้งเชิงกรานในช่วงก่อนมีประจำเดือน และปวดมากในช่วงที่มีรอบเดือน
- เจ็บช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยจะมีอาการเจ็บลึกภายในช่องคลอด ซึ่งจะต่างจากอาการเจ็บจากการสอดใส่ขณะมีเพศสัมพันธ์
- เจ็บท้องส่วนล่างเมื่อถ่ายหนักหรือปัสสาวะ บางรายอาจมีเลือดปน
- เลือดออกทางช่องคลอดในช่วงที่ไม่ใช่รอบเดือน หรือเลือดประจำเดือนออกมากหรือนานผิดปกติในช่วงที่มีรอบเดือน
- อาการระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด หรือรู้สึกคลื่นไส้ โดยเฉพาะช่วงที่มีรอบเดือน
- ภาวะมีลูกยากหรือตั้งครรภ์ไม่ได้ มีการอุดตันของรังไข่
- อาการอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับตำแหน่งของโรค เช่น โรคเกิดที่ระบบทางเดินปัสสาวะ อาจทำให้มีอาการปวดปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเป็นเลือด โรคเกิดที่ลำไส้ อาจทำให้มีอาการปวดถ่ายอุจจาระ ถ่ายอุจจาระลำบาก เป็นต้น
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
ปวดประจำเดือนจนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับอุ้งเชิงกราน ระบบย่อยอาหาร ระบบปัสสาวะ
ภาวะแทรกซ้อน
- ภาวะมีบุตรยาก โดยเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ทำให้ท่อนำไข่อุดตัน ไข่ตกไม่สามารถผสมกับอสุจิ ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก
- มะเร็งรังไข่ ผู้ป่วยเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้มากกว่าหญิงทั่วไป
สาเหตุ
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน โดยเชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ได้แก่
- ภาวะประจำเดือนไหลย้อน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อย โดยเลือดประจำเดือนที่มีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก ได้ไหลย้อนเข้าไปในอุ้งเชิงกราน ทำให้มีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเกาะอยู่ตามผนังอวัยวะในอุ้งเชิงกราน ต่อมาได้หนาตัวและสลายเป็นเลือดออกมาตามช่วงของรอบเดือน
- ปัจจัยทางด้านฮอร์โมนทำให้เซลล์เยื่อบุช่องท้องเปลี่ยนแปลงและทำงานคล้ายเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก โดยมีการหนาตัวและสลายเป็นเลือดออกมาตามรอบเดือน
- การไหลของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกไปตามหลอดเลือดหรือระบบน้ำเหลือง และไปเกาะอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ต่อมามีการหนาตัวและสลายเป็นเลือดออกมาตามรอบเดือน
- ผู้ที่ผ่าตัดมดลูกหรือผ่าคลอดอาจเสี่ยงต่อโรคนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดไปเกาะอยู่ตามอวัยวะอื่น ๆ ได้
- เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญภายนอกมดลูกได้
การวินิจฉัย
สูตินรีแพทย์จะทำการสอบถามอาการและซักประวัติสุขภาพของผู้ป่วย และบุคคลในครอบครัวอย่างละเอียด ทั้งการปวดท้อง ปวดประจำเดือน การมีบุตร รวมทั้งตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่น ๆ ตามเหมาะสม เช่น
- การตรวจภายใน โดยแพทย์จะคลำหาก้อนหรือตรวจความผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายในอุ้งเชิงกรานของผู้ป่วย
- การตรวจอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์ MRI เพื่อตรวจความผิดปกติที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- การตรวจส่องกล้อง เป็นการส่องกล้องผ่านรอยผ่าขนาดเล็กใกล้ ๆ สะดือ เพื่อดูว่ามีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือไม่ โดยอาจมีการตัดชิ้นเนื้อที่สงสัยไปตรวจ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดส่องกล้องทุกราย
การรักษา
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่บางรายอาการดีขึ้น เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางรายยังต้องรับการรักษาเพื่อลดหรือกำจัดอาการ โดยแพทย์สามารถพิจารณารักษาโดย
- การรักษาด้วยยาและฮอร์โมนบำบัด ใช้ในรายที่มีอาการปวดประจำเดือน โดยที่ไม่มีหรือมีถุงน้ำที่รังไข่ขนาดเล็ก ไม่เกิน 2 – 3 เซนติเมตร มักจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ต้องการมีบุตร เนื่องจากยาจะมีผลต่อฮอร์โมนเพศและกดการทำงานของรังไข่ ทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้ในระหว่างการรักษา โดยยาที่ใช้ในการรักษามี
- การใช้ยา เช่น การใช้ยาแก้ปวดกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบไม่มีสเตียรอยด์
- การใช้ฮอร์โมนบำบัด เช่น ยาเม็ด/ยาฉีดคุมกำเนิด ทั้งนี้ต้องระวังผลข้างเคียง เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ ภาวะซึมเศร้า น้ำหนักตัวเพิ่ม นอกจากนั้นยังมียาฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจน ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงลักษณะของเพศชายได้ เช่น ผิวมัน หน้ามัน เป็นสิว มีขนหรือหนวดขึ้น โดยอาการส่วนใหญ่จะหายไปหลังหยุดใช้ยา, ยาฮอร์โมนกอนาโดโทรฟิน ( Gonadotropin-releasing hormone, GnRH) ชนิดฉีด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ยังต้องการมีบุตร โดยหลังจากหยุดยาแล้ว รังไข่จะกลับมาทำงานได้ตามปกติทันที แต่ยามีผลข้างเคียง เช่น มีอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ใช้เป็นเวลานานอาจมีภาวะกระดูกพรุน
- การรักษาด้วยการผ่าตัด สำหรับผู้ที่วางแผนมีบุตร แต่มีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง หรือรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดแล้วไม่ได้ผล อาจต้องเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่กระทบต่ออวัยวะสืบพันธุ์ แต่จะมีโอกาสกลับมาป่วยได้อีก
โดยการผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) ช่วยให้เจ็บน้อย แผลเล็ก โอกาสเกิดพังผืดหลังผ่าตัดลดลง และการผ่าตัดเนื้องอกผ่านผนังหน้าท้องแบบแผลเล็กกว่าหรือเท่ากับ 6 เซนติเมตร (Minilaparotomy Myomectomy) และการผ่าตัดเนื้องอกผ่านผนังหน้าท้อง (Abdominal Myomectomy)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีพังผืดปริมาณมาก หรือเคยผ่าตัดมาก่อนแล้วพบว่าเป็นช็อกโกแลตซีสต์ การผ่าตัดส่องกล้องจะค่อนข้างเหมาะสมมากกว่า
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com