ปวดกล้ามเนื้อ
ปวดกล้ามเนื้อ (Muscle Pain) คือ ภาวะตึง ปวด หรืออักเสบของกล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยร่างกายมีกล้ามเนื้อลายอยู่ 696 มัด มีความหนักรวมเกือบครึ่งของน้ำหนักตัว การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ หรือมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถพบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน
อาการ
อาการที่พบได้บ่อย
ปวดกล้ามเนื้อมีอาการได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น ปวดหนัก ๆ ปวดเมื่อยล้า ปวดตึง ปวดเสียวเมื่อยกแขน หรือปวดเมื่อเอี้ยวตัว เป็นต้น โดยอาจปวดเป็นครั้งคราว เป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะช่วงขยับตัว ปกติแล้วผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อสามารถบอกลักษณะการปวด รวมถึงสาเหตุได้ด้วยตัวเอง เช่น ปวดบริเวณหลังจากการไปออกกำลังกาย หรือไปยกของหนักมา เป็นต้น
ควรพบแพทย์เมื่อใด
อาการปวดมากจนส่งผลต่อการทำงานหรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน หรือมีอาการเจ็บป่วยอื่นร่วม เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร ข้อยึดติด น้ำหนักลดลงมากกว่า 10% หรืออาการรุนแรงมากขึ้น ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง
โดยหากปวดไม่มาก ไม่มีอาการอื่นร่วม โดยผู้ที่ปวดอาจรู้สาเหตุ เช่น ภายหลังจากการออกกำลังกาย การยกของหนัก อาจใช้การพักเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ พิจารณาทานยาแก้ปวดเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เพราะยาอาจมีผลข้างเคียง
สาเหตุ
สาเหตุของการปวดกล้ามเนื้อ มักเป็นผลมาจากการใช้กล้ามเนื้อทำกิจกรรมต่าง ๆ มากเกินไปหรือใช้ท่าเดิมซ้ำ ๆ จนเกิดการสะสมของของเสียในกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหดตัวและขาดออกซิเจน ทำให้ปวดกล้ามเนื้อ
แต่ในบางครั้งการปวดกล้ามเนื้อ อาจมาจากสาเหตุอื่น เช่น การเจ็บป่วยด้วยกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด (Myofascial pain syndrome/MPS) โรคในกลุ่มออโตอิมมูน (Autoimmune) โรคในกลุ่มผิวหนังและกล้ามเนื้ออักเสบ (Dermatomyositis) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) กลุ่มอาการล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โรคติดเชื้อบางชนิด และผลจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว การปวดกล้ามเนื้อยังมาจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีก เช่น ภาวะติดเชื้อ ปวดหลังการฉีดวัคซีน เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ มะเร็ง ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
การวินิจฉัย
แพทย์จะมีแนวทางการวินิจฉัย โดยการตรวจที่เกี่ยวกับอาการปวด เช่น ตำแหน่งปวด จุดกดเจ็บ ลักษณะการปวด อาการบวม แดง ร้อน ก้อนหรือไตแข็งบริเวณปวด การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวความผิดปกติของข้อบริเวณใกล้เคียง และอาการร่วมอื่น ๆ เช่น ไข้ วิงเวียนศีรษะ อาเจียน อาการชา อ่อนเพลีย เหนื่อย ผื่นผิวหนัง บวมน้ำ ปัสสาวะน้อย หายใจลำบาก โดยหากแพทย์สงสัยว่าไม่ใช่การปวดกล้ามเนื้อธรรมดา แพทย์อาจพิจารณาตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การตรวจความผิดปกติของเอ็นไซม์และเนื้อเยื่อ การตรวจกล้ามเนื้อและเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า (Electrodiagnostic study) เป็นต้น
การรักษา
อาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดจากสาเหตุทั่วไป เช่น การใช้กล้ามเนื้อทำงานหนัก ใช้กล้ามเนื้อทำงานซ้ำซาก สามารถรักษาหรือบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อได้ด้วยต้วเอง โดยการ
- ลดกิจกรรมที่เป็นสาเหตุของการปวดกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อน
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) หรือพาราเซตามอล (Paracetamol)
- ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ช่วง 1 – 3 วันแรก หลังจากนั้นประคบร้อนเพื่อบรรเทาอาการและลดการอักเสบ
- ทำกายบริหารเบา ๆ เพื่อยืดและบริหารกล้ามเนื้อที่มีอาการปวดอย่างระมัดระวัง
ปกติแล้วอาการปวดกล้ามเนื้อทั่วไปสามารถดีขึ้นได้ โดยการทำวิธีการที่กล่าวมาด้วยตนเองที่บ้าน แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นร่วม แพทย์จะวางแผนการรักษาเพิ่มเติม โดยรักษาอาการปวด เช่น การบำบัดด้วยคลื่นความร้อนลึก การฉีดยา/พ่นสเปรย์ให้ชา การปรับรูปแบบการออกกำลังกายเฉพาะบุคคล พร้อมไปกับการรักษาเฉพาะโรคที่เป็นสาเหตุของการปวดกล้ามเนื้อด้วย
ภาวะแทรกซ้อน
อาการปวดกล้ามเนื้อหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ เช่น อาจรบกวนการนอน จนเกิดภาวะนอนไม่หลับ ภาวะเครียด ภาวะซึมเศร้าตามมา หรือบางรายอาจนำไปสู่โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ผู้ป่วยจะมีประสาทสัมผัสไวต่ออาการปวด จนทำให้เกิดภาวะปวดทั่วร่างกาย
ข้อแนะนำและการป้องกัน ปวดกล้ามเนื้อ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะก่อนและหลังการออกกำลังกาย
- ยืดกล้ามเนื้อหรืออบุอุ่นร่างกายทั้งก่อนและหลังทำกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหนัก ๆ เช่น การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การยกแบกของ เป็นต้น
- ในระหว่างการใช้กล้ามเนื้อซ้ำเป็นเวลานาน เช่น นั่ง ยืน เดินนานๆเป็นชั่วโมง ให้ลุก พัก เปลี่ยนอริยาบทเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย กลับสู่ภาวะพร้อมทำงานใหม่อยู่เสมอ ๆ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com