กระดูกหักรักษาอย่างไรดี

จุดมุ่งหมายของการรักษา เพื่อให้กระดูกที่หัก เมื่อหายแล้ว กลับมาอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด ลดผลข้างเคียง ลดภาวะแทรกซ้อนให้น้อยที่สุด ผู้ป่วยสามารถทำกายภาพบาบัดได้เร็ว และกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้เร็วที่สุด
แนวทางรักษา
วิธีไม่ผ่าตัด เช่น ใช้ผ้ายืดพัน ใส่อุปกรณ์พยุงข้อ ใส่เฝือก
- ข้อดี คือ ไม่เจ็บ ไม่ต้องเสี่ยงกับการรับเลือด ไม่ต้องเสี่ยงกับการให้ยาระงับความรู้สึก ฉีดยาชาเฉพาะที่ บล็อกหลัง หรือดมยาสลบ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หรือถ้าต้องนอนก็มักไม่กี่วัน เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
- ข้อเสีย คือ ต้องใส่เฝือกนาน (ประมาณ 2 – 4 อาทิตย์) กระดูกที่หักอาจไม่ติด ติดช้าหรือติดผิดรูป เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการพักเป็นเวลานาน เช่น กล้ามเนื้อลีบ ข้อติด แผลกดทับ ปอดติดเชื้อ ท้องผูก เป็นต้น
วิธีผ่าตัด เช่น ผ่าตัดทำความสะอาด และจัดกระดูกให้เข้าที่ แล้วใส่เฝือก ใส่เหล็ก หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ผ่าตัดใส่เหล็กยึดตรึงกระดูก เช่น ลวด แผ่นเหล็ก แกนเหล็ก แท่งเหล็กดามกระดูกด้านนอก
- ข้อดี คือ สามารถจัดกระดูกให้เข้าที่ได้ดีกว่า เริ่มทำกายภาพบำบัดได้เร็ว ดำเนินชีวิตปกติได้เร็วขึ้น
- ข้อเสีย คือ การติดเชื้อ ผลแทรกซ้อนของยาระงับความรู้สึก เสียเลือด ต้องพักในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายสูง ถ้าผ่าตัดใส่แผ่นเหล็กในบางตำแหน่ง เมื่อกระดูกติดสนิทจะต้องผ่าตัดเพื่อเอาแผ่นเหล็กออก
https://gojiactivesdiet.com/1069/incomplete-fracture.html
กระดูกหักที่ควรผ่าตัด เช่น
- กระดูกหักหลายตำแหน่ง
- กระดูกหักตำแหน่งเดียวแต่หลายชิ้น
- กระดูกแตกเข้าข้อ
- กระดูกหักเคลื่อนไปมาก
- มีแผลเปิดเข้าไปถึงบริเวณกระดูกที่หัก
- มีการบาดเจ็บของเส้นเลือด เส้นประสาทร่วมด้วย
- กระดูกหักในบางตำแหน่ง เช่น กระดูกข้อสะโพก กระดูกต้นขา กระดูกปลายแขน
- กระดูกหักในผู้สูงอายุ เพื่อให้ทำกายภาพบำบัดได้เร็วขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนพักนาน
แต่ละทางเลือกมีทั้งข้อดี ข้อเสีย การตัดสินใจว่าจะรักษาแบบไหนจึงขึ้นอยู่กับแพทย์ ผู้ป่วยและญาติ โดยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำว่าควรจะรักษาวิธีไหน มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และตอบคำถามข้อสงสัยต่างๆ แต่ผู้ที่จะตัดสินใจเลือกแนวทางรักษา ในขั้นตอนสุดท้าย คือ ตัวผู้ป่วยเอง
กระดูกหัก เมื่อไรจะหาย
ตามธรรมชาติ ร่างกายจะซ่อมแซมกระดูกที่หัก ให้กลับมาติดกันได้อยู่แล้ว แพทย์เป็นเพียงผู้ที่ช่วยจัดกระดูก ให้กลับเข้ามาอยู่ในแนวที่ดี ใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อให้อวัยวะนั้นกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับสภาพเดิม ซึ่งการจัดกระดูกนี้ อาจทำได้ทั้งวิธีไม่ผ่าตัด และวิธีผ่าตัด
ระยะเวลา ตั้งแต่กระดูกหัก จนติดสนิท (หายสนิท) ประมาณ 4 – 6 เดือน จะแตกต่างกันในแต่ละคน ส่วนจะติดดีหรือไม่ดี ติดเร็วหรือติดช้านั้น ปัจจัยสำคัญส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วย เช่น
- อายุ เด็ก กระดูกจะติดดีและเร็ว ผู้สูงอายุ กระดูกก็จะติดช้า
- กระดูกที่หักเคลื่อนที่ไม่มาก ก็จะติดดีกว่า กระดูกที่หักแล้วเคลื่อนที่มาก
- กระดูกหักหลายชิ้น ก็จะติดช้า
- มีการติดเชื้อ ก็จะติดช้า
- กระดูกที่แตกเข้าในข้อ ก็จะติดช้า
- ถ้าไม่ทำกายภาพบำบัด ไม่ออกกำลังบริหารข้อและกล้ามเนื้อ กระดูกก็จะติดช้า
- อาหารที่มีแคลเซียมสูง ยาเม็ดแคลเซียม ยา Ossein-Hydroxyapatite อาจช่วยกระดูกติดเร็วขึ้น
https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases–conditions/distal-humerus-fractures-of-the-elbow/
ระยะเวลาของการซ่อมแซมกระดูก สาหรับผู้ที่อยู่ใน ช่วงวัยหนุ่มสาว แบ่งเป็น
ระยะที่ 1
กระดูกเริ่มติด ใช้เวลาประมาณ 4 – 6 อาทิตย์ ช่วง 2 อาทิตย์แรก จะมีอาการปวดมาก บวมมาก
อาทิตย์ที่ 3-4 อาการปวดลดลง แต่ถ้าเอกซเรย์จะเห็นรอยกระดูกหัก ซึ่งแสดงว่ากระดูกยังไม่ติดสนิท ต้องระมัดระวังการใช้อวัยวะที่มีกระดูกหัก เช่น งดยกของหนัก เดินลงน้ำหนักบางส่วนโดยใช้ไม้เท้า ไม้ค้ำยัน ถ้าลงน้ำหนักหรือใช้แรงมากเกินไป กระดูกอาจหักซ้ำ เหล็กดามกระดูกที่ใส่ไว้ อาจหัก หรือ สกรูถอนออก
ในระยะนี้ บางคนคิดว่าหายแล้วเพราะไม่ปวด ใช้แรงหรือลงน้ำหนักเต็มที่ ช่วงแรกก็พอทำได้ แต่เมื่อผ่านไปสักพัก เหล็กดามกระดูกและกระดูกที่เพิ่งเริ่มติด ก็หักซ้ำ ทำให้ต้องเริ่มรักษากันใหม่ แต่ว่าผลการรักษากระดูกที่หักซ้ำครั้งที่สองนี้ จะไม่ค่อยดีเหมือนกับผลการรักษาในครั้งแรก
ระยะที่ 2
กระดูกติดสนิท ต้องใช้เวลาอีก 3 – 5 เดือน หลังจากระยะที่ 1 รวมทั้งหมด 4 – 6 เดือน
แพทย์จะนัดเอกซเรย์ทุก 1 – 2 เดือน ถ้าไม่เห็นรอยกระดูกหัก จึงถือว่ากระดูกติดสนิท หายสนิท ดังนั้นควรมาตรวจตามแพทย์นัด และ สอบถามแพทย์ว่า กระดูกติดสนิทหรือยัง ถ้าแพทย์ตอบว่า กระดูกติดสนิทแล้ว จึงจะถือว่าหาย สามารถทำทุกอย่างได้ตามปกติ
การรักษากระดูกหักต้องใช้เวลานานหลายเดือน และ ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยและญาติ ที่จะปฏิบัติตามคาแนะนาของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลของการรักษาออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภาพประกอบจาก : อินเทอร์เน็ต และเว็บไซต์ที่ระบุใต้รูป